คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1215 ดาวฮ่องเต้ตกลง
ตอนที่ 1215 ดาวฮ่องเต้ตกลง
………………..
พระชายารัชทายาทวังตะวันออกนอนป่วยอยู่บนเตียงมานาน ขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงต่างก็รู้เรื่องนี้มานานแล้ว ตอนนี้เมื่อนางจากไป ก็ไม่ได้มีใครรู้สึกประหลาดใจหรือรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ กลับรู้สึกว่าการที่ทนอยู่มาได้หนึ่งปีนั้นนางได้กำไรแล้ว ตอนนี้นางได้จากไป ทำให้หลายคนเริ่มมีความคิดฟุ้งซ่าน
ตอนแต่งตั้งรัชทายาท มู่ซื่อได้รับแต่งตั้งเป็นพระชายา ฮ่องเต้ยังได้ประทานนางสนมเหลียงตี้กับนางสนมเหลียงย่วนให้แก่รัชทายาท แต่รัชทายาทกลับหักห้ามใจในเรื่องของสตรี ทั้งตำหนักหลังของวังตะวันออก จึงมีสนมเพียงสามคน ตอนนี้พระชายาได้เสียชีวิต ตำแหน่งนี้ก็ไม่มีทางที่จะว่างตลอดไป
ดังนั้นหลังจากที่พระชายารัชทายาทประชวรหนัก การแต่งงานของหญิงสาวในวัยที่เหมาะสมถูกระงับไว้จำนวนมาก ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร
ตอนนี้พระชายารัชทายาทจากไปแล้ว รัชทายาทล้มป่วยเนื่องจากโศกเศร้ามากเกินไป เจ้าชายน้อยทั้งสองพระองค์ในวังตะวันออกถูกรับไปดูแลในวังเฟิ่งหยาง และพิธีศพได้จัดการโดยกรมพิธีการ
ฉินหลิวซีก็ได้รู้จากมู่จิ่นว่าการตายของนางนั้นไม่ได้เกี่ยวกับการแก่งแย่งชิงดีกันในหมู่สนม แต่ที่ฮ่องเต้ยังคงต้องการให้นางตายคงเป็นเพราะเห็นว่าตระกูลมู่มีคนสืบทอดต่อจึงได้เกิดความกังวลกระมัง
ใช่แล้ว ปีนี้ตระกูลมู่ได้มีเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาที่เสื่อมถอยลงมาตลอดทันใดนั้นก็อยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง ฮูหยินน้อยมู่ไม่มีบุตรมาเป็นเวลาสามปี ทันทีที่ให้กำเนิดก็คลอดบุตรออกมาสองคน ในที่สุดมู่ซีก็ไม่ใช่ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของทั้งสองตระกูลแล้ว
ตอนนี้ตระกูลมู่ทั้งสองจวนได้มีผู้สืบทอดแล้ว แม้ว่าจะพึ่งให้กำเนิด แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี ซึ่งหมายความว่าคำสาปที่ทำให้ตระกูลมู่เสื่อมถอยลงได้ถูกทำลายแล้ว
และตระกูลมู่ก็มีเชื้อสายที่มีตำแหน่งราชวงศ์ถึงสองคน บุตรสาวคนหนึ่งยังคงเป็นฮองเฮาในวังหลวง อีกคนหนึ่งเป็นพระชายารัชทายาท และพระชายารัชทายาทมีบุตรชายสองคน หากในภายภาคหน้าบุตรชายของนางได้เป็นฮ่องเต้ นางก็จะได้เป็นไทเฮา ซ้ำตระกูลมู่ก็มีทายาทสืบทอดเชื้อสายตระกูล รับตำแหน่งไทเฮาติดต่อกันสองคน มีทายาทที่แข็งแกร่ง สำหรับฮ่องเต้นั้นไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้
ฮ่องเต้กระทั่งรู้สึกเสียใจภายหลังที่แต่งตั้งฉีเชียนเป็นรัชทายาท หากตอนนั้นแต่งตั้งเฉิงอ๋องก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นปัญหามักนัก
แต่ฮ่องเต้ไม่มีทางยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง แต่จะทำให้ความผิดนี้กลายเป็นความถูกต้อง
เรื่องดีๆ ไหนเลยจะปล่อยให้หนึ่งตระกูลได้รับไปเต็มๆ ดังนั้นมู่จิ่นจึงต้องตาย และที่สำคัญที่สุดคือยาที่ดื่มเป็นประจำซึ่งทำให้นางถึงแก่ชีวิต ก็เป็นฉีเชียนที่ป้อนให้นางโดยที่ไม่รู้ตัว
มู่จิ่นเอ่ยเช่นนี้ และก็ได้เอ่ยกับฉีเชียนด้วยเช่นกัน
และที่ฉีเชียนคุกเข่าแสดงความจงรักภักดีหน้าตำหนักก็เพื่อร้องขอหนึ่งชีวิต
ยาแก้พิษนั้นไม่สำคัญ ตราบใดที่ฮ่องเต้พยักหน้าเห็นด้วย มู่จิ่นก็จะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นตรงกันข้าม
นางต้องตาย
คำพูดของฮ่องเต้ราวกับบ่วงรัดอยู่บนศีรษะของเขา
การเป็นฮ่องเต้ ถูกกำหนดให้อยู่อย่างสันโดษ สิ่งที่อยู่ในสายตาเขาควรมีเพียงราษฎร และภาพรวม ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึก
ราชวงศ์นั้นโหดเหี้ยมที่สุด
เป็นคำพูดที่มีมายาวนานนับพันปี
ฮ่องเต้ใช้การตายของมู่จิ่นเพื่อใช้ฉีเชียนเป็นตัวแทนสร้างความแตกแยกของราชวงศ์กับตระกูลมู่ ในภายภาคหน้าเมื่อเขาขึ้นครองบัลลังก์ ฮองเฮามู่คนปัจจุบันได้แต่งตั้งเป็นไทเฮา ย่อมคิดถึงมู่จิ่นน้องสาวของนางที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังสาว หรือแม้แต่บุตรชายทั้งสองของเขาก็ล้วนรู้ว่าเหตุใดมู่จิ่นจึงตาย ตายได้อย่างไร
บางทีตระกูลมู่ กระทั่งหลานชายทั้งสองอาจจะรู้ว่านี่เป็นสถานการณ์โดยรวม แต่จะทำใจได้จริงๆ หรือ
ฮ่องเต้ใช้ประโยชน์จากความเป็นคน
ตราบใดที่ฝ่ายหนึ่งทำใจไม่ได้ ความแตกแยกนี้ก็จะคงอยู่ตลอดไป
บทบาทของฮ่องเต้ เขาเล่นได้อย่างชัดเจน
“ไม่จำเป็นต้องขุ่นเคือง อีกไม่นานจะมีสองคนมารับเขา คนหนึ่งสวมหมวกสีขาว อีกคนหนึ่งสวมหมวกสีดำ หากเจ้าได้พบระหว่างทางไปยมโลก บอกชื่อของข้า พวกเขาจะช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้า” ฉินหลิวซีเปิดประตูวิญญาณขณะเอ่ยกับมู่จิ่นเช่นนี้
มู่จิ่นจากไปโดยไม่มีความกังวลใดๆ ในความหมายของนาง สิ่งที่นางควรทำและสิ่งที่ควรเสียสละก็ได้ทำทุกอย่างแล้ว ตระกูลมู่กับฉีเชียนจะเป็นอย่างไร กาลเวลาจะเป็นคำตอบ นางแค่สนใจเรื่องไปเกิดใหม่ก็พอ
ฉินหลิวซีส่งมู่จิ่นจากไป เงยหน้าขึ้นมองดาวฮ่องเต้อีกครั้ง ยิ้มเยาะ
ความรู้สึกอันตรายนี้ได้สืบเนื่องมาจนถึงสิ้นปีที่สามสิบสองของรัชศกคังอู่
หิมะตกหนักในวันส่งท้ายปีเก่า
เนื่องจากการจากไปของพระชายารัชทายาทยังไม่ทันครบสี่สิบเก้าวัน จึงได้ห้ามจัดงานเลี้ยงรื่นเริงและงานแต่ง ดังนั้นแม้จะเป็นวันส่งท้ายปีเก่า แต่ก็มีเพียงไม่กี่ตระกูลที่กล้าเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนาน เพียงแค่รับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างเรียบง่าย แม้แต่ในวังก็ไม่มีการจัดงานเลี้ยง
อย่างไรก็ตามเมื่อมาถึงยามโหย่ว[1]สองเค่อ ทุกคนในเมืองหลวงก็รู้สึกถึงแผ่นดินสั่นสะเทือน จึงนึกถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปีที่แล้ว ต่างก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก คิดว่าจะเกิดแผ่นดินไหวอีกครั้ง มีคนหมอบฟังอยู่บนพื้น ยิ่งเหมือนกับทหารม้านับหมื่นมารวมตัวกันมากกว่า
ทุกครัวเรือนต่างพากันปิดประตูตามสัญชาตญาณ โดยเฉพาะขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวง ต่างพากันรออย่างเงียบๆ
เสนาบดีลิ่นและขุนนางคนสำคัญอื่นๆ ในราชสำนักได้เข้าไปในวังนานแล้ว
ฉินหลิวซีเดินออกมาจากห้องส่วนตัวในโรงประมูลจิ่วเสียน กระโดดขึ้นไปบนหลังคา เงยหน้าขึ้นมองดาวฮ่องเต้ จนกระทั่งแสงสลัวสุดท้ายได้หายไป มันตกลงมาอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก
ดาวฮ่องเต้ตกลง
ทุกอย่างจบลงแล้ว
หมดยุคสมัยรัชศกคังอู่แล้ว
ฉินหลิวซีหรี่ตาลง ราวกับได้ยินเสียงฟันดาบต่อสู้และเสียงดังเอะอะมาจากประตูวัง นางหายตัวไปจากบนหลังคา มาที่วังหลวง ได้พบยมทูตขาวดำสองตนกำลังนำดวงวิญญาณของฮ่องเต้คังอู่ไป
ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ ยมทูตขาวดำมานำทางวิญญาณด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องจำเป็น อย่างไรเสียก็เป็นฮ่องเต้ในโลกมนุษย์
ฮ่องเต้คังอู่ยังคงเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองม่องเท่งแล้ว จนกระทั่งยมทูตสวมหมวกขาวดำที่อยู่ข้างซ้ายและข้างขวาคำนับใครบางคน เขาจึงได้มองไปตามสัญชาตญาณ
เมื่อฉินหลิวซีเดินเข้าไปใกล้ กลายร่างเป็นราชครู ฮ่องเต้คังอู่ก็กระตือรือร้นขึ้นมาในทันที “ราชครู ราชครูรีบช่วยเราเร็วเข้า”
“เจ้าเบิกตาดูสิว่าข้าคือราชครูหรือ” ฉินหลิวซีค่อยๆ กลับคืนสู่ร่างเดิม
คนกลายร่างได้เช่นนี้ ทำเอาฮ่องเต้คังอู่ร้องด้วยความตกใจ “ปีศาจ พวกเจ้าล้วนเป็นปีศาจ บังอาจนัก เราเป็นถึงมังกรสวรรค์ที่แท้จริง เป็นฮ่องเต้ พวกเจ้ากล้ามากลั่นแกล้งเราได้อย่างไร”
“พูดอะไรกัน ไม่ใช่เจ้าให้คนไปตามข้าให้มารักษาเจ้าหรอกหรือ ข้าก็มาแล้วนี่ไง แต่น่าเสียดาย เจ้าเสียชีวิตแล้ว” ฉินหลิวซีมองไปยังร่างที่นอนเหยียดตรงอยู่ตรงแท่นบรรทมมังกร ยิ้มเย้ยหยัน “ก็ไม่รู้ว่าจะว่าอะไรเจ้าดี ตอนที่อยากมีชีวิตเป็นอมตะ ก็ได้แต่ตั้งราชครูมาปรุงยา ทำเอาราษฎรในต้าเฟิงทุกข์ยาก ต่อมาจู่ๆ ก็เกิดไม่เชื่อ จึงปราบปรามลัทธิเต๋าอย่างไม่ลืมหูลืมตา เมื่อร่างกายนี้ไม่ดีขึ้น เพียงแค่ฟังบุตรชายเจ้ากล่าวสองสามประโยคก็เชื่อแล้ว ต้องการให้คนลัทธิเต๋ามาช่วยเจ้า ยังมีหน้าอยู่อีกหรือ คนในลัทธิเต๋าอย่างพวกเราไม่มีศักดิ์ศรี เจ้าบอกให้ช่วยก็ต้องช่วยเจ้าหรือ”
“เจ้า เจ้าๆๆ” ฮ่องเต้คังอู่ชี้ไปที่นางด้วยความโกรธจนพูดไม่ออก
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ข้าทำไมหรือ ข้าก็คือปรมาจารย์ปู้ฉิวแห่งอารามชิงผิงที่เจ้าตามหา เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้กล่าวผิดไปกระมัง ลัทธิเต๋าอย่างพวกข้าไม่ได้มีความอดทนว่าง่ายเหมือนกับศาสนาพุทธ อยากให้ข้าช่วยเจ้า ฝันไปเถอะ! จริงสิ ราชครูที่เจ้าแต่งตั้งถูกข้าฆ่าตายไปตั้งนานแล้ว ราชครูในสองปีมานี้เป็นเพียงแค่หุ่นเชิด ใช่แล้ว เป็นฝีมือข้าเอง!”
ฮ่องเต้คังอู่โกรธจนบุญกุศลแตกกระจาย
ฉินหลิวซีรีบดึงมาทันที บุญกุศลที่มีโชคลาภอาณาจักร ไม่เอาไว้จะเสียเปล่า
ยมทูตขาวดำ “…”
นางจงใจกระมัง
[1] ยามโหย่วเวลา17.00 น.-19.00 น.