คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1217 นายท่านน้อย ข้าว่าท่านจะโชคร้ายครั้งใหญ่แล้ว
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1217 นายท่านน้อย ข้าว่าท่านจะโชคร้ายครั้งใหญ่แล้ว
ตอนที่ 1217 นายท่านน้อย ข้าว่าท่านจะโชคร้ายครั้งใหญ่แล้ว
………………..
ในวันส่งท้ายปีเก่าในรัชศกคังอู่ที่สามสิบสองไม่มีเสียงดอกไม้ไฟ แต่กลับเป็นเสียงระฆังการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้ดังขึ้น ราษฎรที่กำลังกินอาหารมื้อเย็นต่างพากันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มองหน้ากัน มีความตื่นตระหนกบนใบหน้า
ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว
ทั้งเมืองหลวงอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกทันที ประตูเมืองทั้งหมดได้รับการคุ้มกันแน่นหนา ห้ามเข้าออกโดยเด็ดขาด และห่างจากประตูเมืองไปไม่ถึงยี่สิบลี้ มีกองทัพทหารสามหมื่นนายวางกองกำลังอยู่รอบเมือง
สำหรับในเมืองหลวง กองปัญจทิศรักษานครกำลังลาดตระเวนทุกพื้นที่เพื่อค้นหาคนต้องสงสัย องครักษ์มังกรกับองครักษ์ลับที่มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถออกคำสั่งได้ ได้ไปทั่วเมืองหลวงเพื่อตรวจสอบหาสายลับของอาณาจักรอื่น นกพิราบสื่อสารที่บินกันขวักไขว่ในตอนกลางคืนก็ไม่รู้ว่าถูกยิงลงมากี่ตัวแล้ว
ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ การผลัดเปลี่ยนระหว่างเก่าและใหม่มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายมากที่สุด เป็นเรื่องจริงที่ต้าเฟิงเป็นอาณาจักรใหญ่ แต่หากเกิดการผลัดเปลี่ยนจากสิ่งเก่าไปสู่สิ่งใหม่ เมื่อผู้รุกรานจากอาณาจักรอื่นเข้ามาพร้อมกันก็จะนำไปสู่สารพัดสงคราม
หลายปีมานี้ต้าเฟิงตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย โดยเฉพาะสองปีนี้ ภัยพิบัติต่างๆ ราวกับก้อนหินขนาดใหญ่ที่ลากต้าเฟิงเข้าไปสู่จุดที่ยากลำบาก ไม่สามารถทนการทรมานได้อีกแล้ว
ต้าเฟิงอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก แต่กลับไม่สามารถขวางฉินหลิวซีได้ นางได้รับสารจากปรมาจารย์ไท่เฉิง จึงรีบไปยังเมืองผีที่เขากล่าวถึง ที่แห่งนั้นตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของมณฑลซานชีซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรหลายพันคน เหตุใดจึงเรียกว่าเมืองผี เป็นเพราะผู้คนที่นี่ถูกวิญญาณร้ายลุกล้ำเข้าสู่ร่างกายจนเหมือนกับศพเดินได้
และหินสัตว์แกะสลักที่มีอยู่ในที่แห่งนี้ก็ยากต่อการจัดการมากกว่าหินสัตว์แกะสลักที่เคยเจอเมื่อก่อนหน้านี้ พวกมันถูกตั้งอยู่ในถ้ำ ถูกจัดวางค่ายอาคมเป็นพิเศษ และใจกลางของเมืองในค่ายอาคมก็คือดวงตาของค่ายอาคม
ค่ายอาคมเช่นนี้คือค่ายอาคมสิบสองตาข่ายฟ้าทะลวงดิน ก็คือค่ายอาคมสังหาร
สิ่งที่เรียกว่าตาข่ายฟ้าทะลวงดิน ราวกับเป็นตาข่ายกลมที่รวบรวมหยินและหล่อหลอมวิญญาณร้าย ใครก็ตามที่อยู่ในค่ายอาคมก็จะถูกวิญญาณร้ายลุกล้ำเข้าสู่ร่างกาย เมื่อเวลาผ่านไปนานก็จะกลายเป็นศพผี ก็คือศพเดินได้นั่นเอง
ค่ายอาคมสังหารเช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงความเสียหาย หากพยายามทำลาย วิญญาณร้ายในร่างของผู้คนก็จะส่งผลสะท้อนกลับในทันที กลืนกินดวงวิญญาณ คนก็จะกลายเป็นศพผีที่ไร้ความรู้สึกไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อไม่มีดวงวิญญาณแล้วก็จะเหลือเพียงเปลือกว่างเปล่า ต่อให้มีดวงวิญญาณใหม่เข้ามา ก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ปรมาจารย์ไท่เฉิงย่อมไม่กล้าแบกรับผลกรรมนี้อย่างง่ายๆ และเขาก็ไม่สามารถทำลายค่ายอาคมได้ จึงทำได้เพียงส่งสารถึงฉินหลิวซี
ฉินหลิวซียืนอยู่กลางอากาศ มองดูค่ายอาคมสังหารใหญ่ข้างล่างด้วยสายตาเย็นชา
ค่ายอาคมสังหารนั้น พลังหยินชั่วร้ายหนาทึบราวกับหมึก เย็นยะเยือกอย่างน่าประหลาด ผู้คนที่เดินไปมาอยู่ในค่ายอาคมสูญเสียดวงจิตราวกับคนโง่
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” ปรมาจารย์ไท่เฉิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หินสัตว์แกะสลักที่นี่ อักขระยังใหม่อยู่มาก ไม่เหมือนว่าแกะสลักไว้นานแล้ว ราวกับพึ่งแกะสลักเมื่อเร็วๆ นี้ ข้าเคยเข้าไปในเมือง พบว่าอาหารในนั้นยังไม่ได้เน่าเสียมาก ยิ่งกว่านั้นในเรือนหลักก็มีปฏิทิน วันที่แสดงให้เห็นว่าผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว”
ฉินหลิวซีหันไปมอง “ท่านหมายความว่าค่ายอาคมนี้ถูกวางไว้ไม่ถึงครึ่งเดือน”
“ข้าเดาว่าเป็นเช่นนั้น” ปรมาจารย์ไท่เฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “มันไม่เหมือนกับค่ายอาคมที่พวกเราทำลายมาก่อนหน้านี้ ราวกับพึ่งวางเมื่อเร็วๆ นี้โดยได้เตรียมการเอาไว้แล้ว และค่ายอาคมสังหารอย่างสิบสองตาข่ายฟ้าทะลวงดินนี้ ข้าก็แค่เคยได้ยินจากที่ท่านอาจารย์เล่าให้ฟัง คนรุ่นข้าคงจะไม่มีใครสามารถวางค่ายอาคมนี้ได้ แน่นอนว่าเป็นเพราะตบะของข้ายังไม่ถึงขั้น”
ฉินหลิวซีเอาลิ้นดันเพดานปาก ครุ่นคิดเล็กน้อย “เตรียมการเอาไว้แล้วหรือ”
นางก้มหน้าลงมองนิ้วชี้ซ้ายอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็มองปรมาจารย์ไท่เฉิง เอ่ย “ท่านปรมาจารย์ช่วยทำนายโชคชะตาให้ข้าได้หรือไม่”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงหางตากระตุก ราวกับได้ยินเรื่องขบขันบางอย่าง กล่าวว่า “เจ้าล้อเล่นแล้ว ตบะข้าไม่สู้เจ้า จะทำนายเจ้าได้อย่างไร”
“เช่นนั้นท่านก็ลองดูโหงวเฮ้ง?”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงมึนงงเล็กน้อย ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องค่ายอาคมสังหารหรอกหรือ เหตุใดจึงให้เขาดูโหงวเฮ้งทำนายดวง
เขามองไปยังฉินหลิวซี “ให้ดูจริงๆ หรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ไม่ต้องฝืน หากเปลืองแรงมากเกินไปก็ล้มเลิก”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงจึงได้วางใจ มือทั้งสองข้างร่ายคาถาโชคลาภ นำพลังวิญญาณเคลื่อนย้ายมาที่ดวงตาทั้งสองข้าง จากนั้นก็มองไปยังใบหน้าของฉินหลิวซี
แต่เป็นดั่งที่เขาคิดไว้ มองไม่เห็น
นางราวกับภูเขาอันไกลโพ้น ถูกหมอกควันหนาทึบปกคลุมใบหน้า มองชะตากรรมจากโหงวเฮ้งของนางไม่ออกแม้แต่น้อย
ปรมาจารย์ไท่เฉิงหยุดตามสัญชาตญาณ ถอยหลังหนึ่งก้าว หลับตาพักผ่อน จากนั้นจึงได้ลืมตาขึ้น
“เป็นอย่างไร”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงขมวดคิ้ว “ข้าว่าเจ้าจะโชคร้ายครั้งใหญ่แล้ว มีภัยพิบัตินองเลือด”
ฉินหลิวซีหัวเราะในลำคอ
ปรมาจารย์ไท่เฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ไม่แน่ข้าอาจจะมองผิดไป อย่างไรเสียก็แค่เหลือบมองครู่เดียว ไม่ได้ดูอย่างละเอียด”
“ไม่เป็นไร พวกเราไปดูหินสัตว์แกะสลักในถ้ำกันดีกว่า”
เมื่อปรมาจารย์ไท่เฉิงเห็นว่านางเอ่ยจบก็เดินไปเลย รู้สึกสับสนเล็กน้อย ค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง
เขาพาฉินหลิวซีมาที่หินสัตว์แกะสลักสองตัวในถ้ำ เป็นเสือขาวดุร้ายสองตัว และมีอายุค่อนข้างยาวนานแล้ว แต่อย่างที่ปรมาจารย์ไท่เฉิงกล่าว อักขระที่อยู่บนตัวเสือขาวใหม่เป็นอย่างมาก แต่อักขระเหล่านั้น?
ฉินหลิวซีสัมผัสอักขระเหล่านั้นทีละตัว เอ่ย “นี่ไม่ใช่อักขระยันต์เรียกสิ่งชั่วร้ายทั้งหมด”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงตกตะลึง เข้าไปดูอักขระยันต์เหล่านั้น ก่อนจะเอ่ย “เป็นไปได้อย่างไร”
ฉินหลิวซีถอยหลังสองก้าว มองดูตำแหน่งของถ้ำและหินสัตว์แกะสลักสองตัวนั้น จากนั้นก็มองไปยังค่ายอาคม กล่าวว่า “เป็นคาถาอัญเชิญผีปรภพ เพียงแต่เขาผสมยันต์เรียกวิญญาณร้ายเข้าไปด้วย ใช้สิ่งชั่วร้ายเป็นเครื่องบูชา ใช้คนเป็นเครื่องเซ่นไหว้ อัญเชิญผีร้ายออกสู่โลกมนุษย์”
“นี่มันไม่ใช่ค่ายอาคมสังหารตาข่ายฟ้าทะลวงดินหรอกหรือ”
“ใช่แล้ว” ฉินหลิวซีหรี่ตาลง กล่าวว่า “ดังนั้นคนในค่ายอาคมนี้ล้วนเป็นเครื่องเซ่นไหว้”
“อัญเชิญผีร้ายแบบใดกัน ยังมีคนร้ายกาจกว่าเขาอีกหรือ” ปรมาจารย์ไท่เฉิงขมวดคิ้ว
ฉินหลิวซีหันกลับมา มองดูถ้ำพลางเอ่ย “นี่คงจะเป็นแผนการที่วางไว้สำหรับข้า เชิญวีรบุรุษเข้าสู่หนทางแห่งความตาย”
“หา?”
นางยื่นมือออกไปกดลงบนถ้ำ พลังอันชั่วร้ายจากถ้ำลอยออกมาอย่างน่ากลัว นางเคลื่อนไหวจิตสำนึกตามสัญชาตญาณ ปราบปรามพลังกลับคืนไป
ปรมาจารย์ไท่เฉิงตกใจ กล่าวว่า “ข้างใน ข้างในนี้มีบางอย่าง”
ฉินหลิวซีหันกลับไปมองยังค่ายอาคม พลังชั่วร้ายรุนแรง กำลังพุ่งมาทางนี้ ซ้ำยังมีชาวเมืองที่สูญเสียสัญชาตญาณของคนเหล่านั้น
“ท่านปรมาจารย์ ท่านอยู่ขวางทางนี้ หากสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา ไม่ต้องเรียกข้า จัดการมันได้เลย!” ฉินหลิวซีเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็มุ่งไปทางตำแหน่งใจกลางเมือง
ปรมาจารย์ไท่เฉิง “ข้า…”
ข้าอะไรอีก คนไม่อยู่แล้ว
เดี๋ยวนะ ข้างในมีอะไร นายท่านน้อยช่วยบอกก่อนจะไปได้หรือไม่
มีเสียงดังอึกทึกคึกโครมขึ้นอีกครั้ง
ถ้ำสั่นสะเทือนราวกับมีบางอย่างกำลังจะระเบิดออกมา หินถล่มลงมา หิมะไหลลงมากองบนพื้น
ปรมาจารย์ไท่เฉิงเคลื่อนตัวหลบหิมะถล่มอย่างรวดเร็ว อันตรายเหลือเกิน เกือบถูกฝังแล้ว
เขาจ้องมองถ้ำเพื่อเตรียมตัว ขมวดคิ้วแน่น วันนี้คงไม่ม่องเท่งอยู่ที่นี่หรอกกระมัง
[1] จมูกสามตาห้า กล่าวคือ ความยาวของหน้า = ความยาวของจมูก x 3 และความกว้างของหน้า = ความยาวของตา x 5 โดยจมูกจะอยู่กึ่งกลางใบหน้า สัดส่วนหน้าสมบูรณ์แบบของจีน