คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1222 สักวันหนึ่งข้าจะสังหารเทพ
ตอนที่ 1222 สักวันหนึ่งข้าจะสังหารเทพ
………………..
หลังจากจัดการเรื่องต่างๆ ในเมืองแล้ว ปรมาจารย์ไท่เฉิงก็กล่าวลา ฉินหลิวซีมองไปยังเฟิงซิว เขาสบถเล็กน้อย
“หากไม่ใช่เพราะจิตวิญญาณที่ข้าผนึกไว้ในตัวท่านเกิดความเคลื่อนไหว ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านจะสู้ตายกับเขา เกิดอะไรขึ้น ดวงตาค่ายอาคมที่นี่ไม่เหมือนที่เคยทำลายเมื่อก่อนหน้านี้หรือ เหตุใดจึงได้ไปเผชิญหน้ากับเขา”
“เป็นหมากที่วางไว้ให้ข้า” ฉินหลิวซีมาที่ร่างของชายที่ถูกซื่อหลัวยึดครอง มองดูอย่างละเอียด คนผู้นี้ดูคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย
“หมากอะไร” เฟิงซิวมองดูนางดึงศพนั้น ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ท่านจะทำอะไรกับศพนี้ ไม่รังเกียจว่าสกปรกหรือ”
“คนผู้นี้ดูคุ้นเคย ข้าดูว่าจะสามารถหาเบาะแสเกี่ยวกับตัวตนของเขาได้หรือไม่” ฉินหลิวซีถอดถุงเงินของเขา ลุกขึ้นยืน มองเฟิงซิวพลางกล่าวว่า “ซื่อหลัวบอกว่าข้าเป็นลูกไฟแห่งไฟนรกบงกชแดง มีบาปทำลายล้างโลก”
เฟิงซิวรูม่านตาหดลงในทันที “อะไรนะ”
ฉินหลิวซีเปิดถุงเงินพลางอธิบายสิ่งที่ซื่อหลัวเปิดเผยให้ฟังอย่างคร่าวๆ กล่าวว่า “เขาวางแผนการนี้เพื่อที่จะดูว่าข้าใช่อย่างที่เขาคิดหรือไม่ เป็นไฟบงกชแดงกลับชาติมาเกิด”
“เดี๋ยวนะ แค่นี้ท่านก็เชื่อแล้วหรือ” เฟิงซิวกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ว่ากันว่าการโจมตีจิตใจนั้นสำคัญที่สุด เขาก็แค่อยากจะให้ท่านสับสนในตัวเอง สงสัยในตัวเอง ท่านคงไม่เชื่อคำหลอกลวงของเขาหรอกกระมัง”
ทันทีที่ฉินหลิวซีเกิดความคิด ไฟก็ลุกขึ้นมา นางกลายเป็นคนไฟ พลังเปลวไฟที่ดุดันและน่าสะพรึงกลัวทำให้เฟิงซิวอดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้ จิตสั่นสะท้าน
เขาเป็นปีศาจ ย่อมยำเกรงพลังอันชอบธรรมเหล่านั้น ไม่ต้องเอ่ยถึงว่านี่คือไฟนรกที่สามารถแผดเผากระดูกกลืนกินวิญญาณได้ หากเขาสัมผัสมัน แม้แต่ราชาปีศาจก็ยังต้องทุกข์ทรมาน
“เจ้าว่ามีผู้ฝึกบำเพ็ญเต๋าคนไหนบ้างที่เป็นเหมือนกับข้า”
เฟิงซิวอ้าปาก กล่าวว่า “เอาล่ะ รู้ว่าท่านเก่งกาจ รีบหยุดอภินิหารของท่านได้แล้ว”
ฉินหลิวซีหยุดไฟนรก ก่อนจะเอ่ย “ดังนั้นกล่าวได้ว่าหากข้าเป็นลูกไฟกับชาติมาเกิดเป็นคนจริงๆ เฟิงซิว ข้าก็ไม่ใช่คนดีอะไร ข้าแบกรับบาปอันใหญ่หลวง”
“เดิมทีท่านก็ไม่ใช่คนดีอะไรอยู่แล้ว…เอ่อ ข้าหมายถึง ท่านไม่ใช่คนดี ไม่สิ เอาเป็นว่าท่านไม่ใช่คนที่ควรไปยั่วยุ ท่านก็คือเทพแห่งความชั่วร้ายที่เป็นปฏิปักษ์กับใต้หล้า จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ ที่สามารถทำเรื่องเช่นนั้นได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร!” เฟิงซิวลูบคางพลางกล่าวว่า “ท่านอย่าลืมว่าลูกไฟแห่งไฟประหลาดเกิดจากปัญญาทางจิตวิญญาณ หากปราศจากการศึกษา ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะยับยั้งได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเทพเซียน หรือเป็นปีศาจในโลกใบนี้ หากไม่มีการควบคุมก็จะเกิดความวุ่นวาย”
ฉินหลิวซีกอดอกมองเขา “เจ้ากำลังปลอบใจข้าหรือ รู้จักพูดก็พูดให้มากๆ หน่อย”
“ไม่ว่าท่านจะเป็นลูกไฟหรือไม่ มันก็อยู่ห่างไกลเกินไป ไฟประหลาดนี้มีมานานนับหมื่นปี แต่ว่าเสี่ยวซี อย่าว่าแต่หมื่นปีเลย แม้แต่ยุคสมัยของปีศาจเฒ่าตนนั้นท่านก็ยังนึกภาพไม่ออก นับประสาอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ตอนนี้ท่านก็แค่นักพรตที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ในโลกมนุษย์เท่านั้น” เฟิงซิวเม้มริมฝีปาก “หากเป็นอย่างที่เขากล่าวว่า ท่านกลับชาติมาเกิดก็เพื่อกอบกู้โลกชดใช้บาป เช่นนั้นท่านก็มาที่นี่เพื่อฝ่าด่านเคราะห์กรรมในโลกมนุษย์เท่านั้น”
“ใช่ ข้าก็แค่มาฝ่าด่านเคราะห์กรรมในโลกมนุษย์” ฉินหลิวซีลดสายตาลง เปิดถุงเงิน เทเศษเงินออกมา แล้วยังมีเครื่องรางหยกเล็กๆ ที่พันด้วยเงื่อนสมปรารถนา
นางหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง
เฟิงซิวเหลือบมองเครื่องรางหยกนั้น หยิบมันมา “เอ๋ ยันต์คุ้มภัยนี้ท่านเป็นคนทำไม่ใช่หรือ”
ด้านบนมีลวดลายเต๋าที่คุ้นเคยอยู่บ้าง รู้จักกับนางมาเป็นเวลานาน เขายังพอจำสิ่งที่ฉินหลิวซีเป็นคนทำได้
ฉินหลิวซีพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็มองดูศพนั้นอีกครั้ง กล่าวว่า “ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดเขาถึงคุ้นหน้าคุ้นตา เขาคือคนตระกูลเหยียน”
เขาดูคล้ายกับเหยียนฉีซานอยู่บ้าง คิดว่าอาจไม่ใช่ลูกหลานของเหยียนฉีซาน แต่ก็เกี่ยวข้องกับเขาทางสายเลือดอยู่บ้าง เกรงว่าจะเป็นเชื้อสายเดียวกัน
ฉินหลิวซีก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ สายตาเย็นชา
นางจุดไฟเผาศพ เก็บของต่างๆ แล้วจากไปพร้อมกับเฟิงซิว ตรงไปยังหลุมศพบรรพบุรุษตระกูลเหยียน
เฟิงซิวเห็นพลังโชคลาภสีทองของหลุมศพบรรพบุรุษตระกูลเหยียน เบิกตาโต กล่าวว่า “โชคลาภของตระกูลเหยียนแข็งแกร่งเกินไปแล้วกระมัง เพียงแค่พลังงานมงคลสีทองนี้ ก็แทบจะร่ำรวยมีเกียรติไปได้ไม่ต่ำกว่าร้อยปี พวกเขาไปทำความดีอะไรไว้”
ฉินหลิวซีกลับสีหน้าดูแย่เป็นอย่างมาก
เดิมทีตระกูลเหยียนก็เต็มไปด้วยพลังงานโชคลาภสีทอง บรรพบุรุษของพวกเขากลายเป็นกึ่งเทพ โชคลาภตระกูลพวกเขาจะแข็งแกร่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว นางมาเมื่อครั้งที่แล้ว โชคลาภนี้ยังไม่สูงทะลุท้องฟ้าเหมือนตอนนี้ มีเกียรติไปร้อยปี เฟิงซิวกล่าวน้อยไป ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ หากดำเนินต่อไป ตระกูลเหยียนก็จะผลิดอกออกไปเป็นหลายร้อยปี
แต่ว่าโชคลาภที่มากเกินไปนี้กลับดูไม่ปกตินัก
ฉินหลิวซีหันหลังแล้วไปที่เมืองอวี๋หัง แต่กลับพบว่าแม้ว่าในเมืองจะแขวนโคมขาวและธงขาวไว้ทั่วเมืองเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้คังอู่ แต่ราษฎรในเมืองกลับมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน
นั่นคือทิศทางของทะเลสาบลวี่หู
นางจึงมุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบลวี่หู มาที่ศาลเทพเจ้าน้ำ ศาลเล็กๆ ในอดีตกลายเป็นศาลเทพเจ้าที่มีความงดงามอลังการ มีกระถางธูปขนาดใหญ่อยู่หน้าศาล เผาธูปขนาดใหญ่ ผู้คนคุกเข่ากราบไหว้อยู่หน้าศาลไม่ขาดสาย ปากกล่าวพึมพำ จริงจังเป็นอย่างมาก
ฉินหลิวซีรูม่านตาหดลง มือกำไม้จินกังในมือไว้แน่น
เฟิงซิวก็ตกตะลึงเล็กน้อย
“เกิดอะไรขึ้น เทพเจ้าน้ำไม่ใช่คนของพวกเราหรอกหรือ”
แต่เมื่อเห็นสิ่งที่ราษฎรที่มากราบไหว้กำลังทำอยู่นั้น ทุกครั้งที่พวกเขาหมอบกราบ จุดธูปบูชา โชคลาภและพลังชีวิตของพวกเขาก็ถูกดึงไปส่วนหนึ่ง ลอยเข้าไปในศาลของเทพเจ้าน้ำ
นอกจากนี้ยังมีพลังแห่งความศรัทธาที่ไม่สิ้นสุด
ต่อให้เฟิงซิวไม่เข้าใจก็รู้ว่าความศรัทธาคือความศรัทธา แต่ไม่มีทางเหมือนกับตอนนี้ พลังชีวิตและโชคลาภถูกพรากไป นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดีนัก
ไม่แปลกใจเลยที่พลังโชคลาภมงคลสีทองในหลุมศพบรรพบุรุษตระกูลเหยียนเจริญรุ่งเรืองและแข็งแกร่งขนาดนี้ มีการเซ่นไหว้ของราษฎรเหล่านี้ ไหนเลยจะไม่เจริญรุ่งเรือง
โชคลาภของพวกเขาตกอยู่กับเทพเจ้าน้ำ และเทพเจ้าน้ำก็ป้อนให้แก่หลุมศพบรรพบุรุษ หากไม่เจริญรุ่งเรืองจึงจะเป็นเรื่องแปลก
ทันใดนั้นเฟิงซิวก็คิดถึงด้านที่เลวร้ายที่สุด
เทพเจ้าน้ำคงไม่ได้กลายเป็นเทพชั่วร้ายไปแล้วกระมัง
แต่เฟิงปั๋วอาศัยกระดูกพุทธะของซื่อหลัวจึงได้กลายเป็นกึ่งเทพ
เฟิงซิวมองไปยังฉินหลิวซีตามสัญชาตญาณ เห็นร่องรอยของความโศกเศร้าและความโกรธในดวงตาของนาง ใจเต้นแรง ทันใดนั้นก็นึกถึงสิ่งที่นางเคยเอ่ยกับเขาเมื่อก่อนหน้านี้
วันหนึ่งเขาจะเปลี่ยนไปหรือไม่
หรือว่าตอนนั้นนางก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนไปของเฟิงปั๋วแล้ว
ฉินหลิวซีเดินจากความว่างเปล่าก้าวเข้าสู่โลกมนุษย์ รอบตัวเต็มไปด้วยราษฎรที่เดินไปมา สิ่งที่ออกจากปากของพวกเขาล้วนเป็นความยำเกรงและความเคารพที่มีต่อเทพเจ้าน้ำ ควันจากไม้จันทน์ทำให้นางตาพร่ามัว แต่นางยังคงมองผ่านควันหนาทึบไปยังรูปปั้นเทพเจ้าที่ปกคลุมด้วยทองคำเปลวในศาล
เป็นเฟิงปั๋ว แต่ก็ไม่ใช่เฟิงปั๋ว เขาอ่อนโยน เขาสูงส่ง มองลงมาข้างล่างราวกับเทพเจ้า
ควันปกคลุมใบหน้าของเขา ทำให้ดูเลือนรางเล็กน้อย ราวกับมองผ่านผู้คนแน่นหนามาที่นาง เผยให้เห็นรอยยิ้ม
แต่แล้ว เทพเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่
ฉินหลิวซีรู้สึกโกรธแค้นในใจ ผู้คนรอบตัวราวกับสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ต่างพากันหลีกทางด้วยความกลัว พวกเขามองนางอย่างระมัดระวัง
นางมองดูเทวรูปนั้นอยู่นาน กล่าวลอดไรฟันว่า “สักวันหนึ่งข้าจะสังหารเทพ”
………………..