คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1225 ขโมยความศรัทธาก่อปัญหา
ตอนที่ 1225 ขโมยความศรัทธาก่อปัญหา
………………..
หลังจากสถาปนาราชวงศ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามโจรหรือลงโทษขุนนางทุจริต ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ได้ดำเนินการแก้ไขครั้งใหญ่ การปราบปรามโจรในพื้นที่ต่างๆ ก็ได้บรรลุผลในไม่ช้า ซึ่งทำให้พ่อค้าและราษฎรจำนวนมากที่เดินทางเข้าออกวางใจไม่น้อย เมื่อโจรขโมยน้อยลง ไม่ว่าพวกเขาจะทำกิจการหรือใช้ชีวิต ก็ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นกังวลหรือหวาดระแวง
ส่วนผู้ลี้ภัยที่หนีจากบ้านเกิด เนื่องจากได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเวลาสองปี ซ้ำราชสำนักยังมีคำสั่งให้แจกจ่ายเสบียงอาหารในปีนี้ คนจำนวนมากล้วนเต็มใจที่จะกลับไปทำการเกษตรที่บ้านเกิด เมื่อชีวิตมีความหวัง ใครบ้างอยากจะละทิ้งบ้านเกิดตัวเอง
แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเต็มใจกลับบ้านเกิด บางคนเกียจคร้านจนเคยชิน ในสถานที่อย่างเมืองหลวงซึ่งมีคนรวยอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพียงแค่ทำตัวเป็นขอทานน่าสงสารก็สามารถแลกของกินได้แล้ว ไหนเลยจะต้องไปทุกข์ทรมานระหว่างทาง และราชวงศ์ใหม่พึ่งได้รับการสถาปนา แลดูมั่นคง แต่ความจริงแล้วคลังสมบัติหลวงว่างเปล่า และสงครามที่ชายแดนก็ไม่เคยหยุดลง หากลุกลามจนไปเกิดสงครามครั้งใหญ่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ทำไมน่ะหรือ
ย่อมเป็นเพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าต้าเฟิงได้เปลี่ยนฮ่องเต้ อยากจะอาศัยโอกาสก่อนที่ภายในจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์ ยึดครองอาณาจักร สตรี ทาส และสมบัติ
ใครจะไปรู้ว่าสงครามใหญ่จะเกิดขึ้นจนไม่มีที่ให้หลบซ่อนหรือไม่ อยู่ในเมืองหลวงก็ไม่ได้แย่ อย่างน้อยหากถูกรุกราน ทางนี้มีขุนนางชั้นสูงมากมาย ยังพอยืนหยัดได้บ้าง
สรุปก็คือแม้จะมีนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อราษฎร แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมั่นใจในสถานการณ์ในตอนนี้ของแคว้น หากต้องการสร้างราชวงศ์ที่รุ่งเรือง ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล
การรักษาเสถียรภาพของแคว้นเป็นหน้าที่รับผิดชอบของขุนนางทุกคนที่สวมเครื่องแบบ ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารหลายร้อยคน ขุนนางพลเรือนสามารถเขียนและตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย ส่วนขุนนางทหารก็ถือดาบปกป้องอาณาจักร แต่ใครจะบอกพวกเขาได้ล่ะว่าเมื่อราชวงศ์ใหม่ได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว เหตุใดจู่ๆ จึงได้มีภูตผีปีศาจปรากฏตัวขึ้นเพื่อแสดงอำนาจและสร้างความโกลาหล
สิ่งนี้อยู่นอกเหนือขอบเขตของสิ่งที่พวกเขารู้โดยสิ้นเชิง
ใช่แล้ว เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ได้นำขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างความมั่นคงให้กับอาณาจักร ในขณะที่กำลังดูแลบ้านเมือง นักพรตเต๋าในอารามบางแห่งในต้าเฟิง จู่ๆ ก็ไม่บูชาเจ้าลัทธิเต๋าแล้ว แต่กลับไปบูชาเทพแทน
หากเจ้าจะบอกว่าพวกเขาเป็นนักพรตมารก็ไม่ใช่เช่นนั้น นั่นเป็นนักบวชที่ได้รับเอกสารรับรองอย่างถูกต้อง กล่าวก็คือพวกเขาได้รับการยอมรับจากทางการ เพียงแต่ทรยศเจ้าลัทธิเต๋าของตัวเอง เปลี่ยนมาศรัทธาเทพองค์อื่นก็เท่านั้น
เจ้าก็ไม่สามารถไปตำหนิที่เขาเปลี่ยนใจกลางคันได้ ความศรัทธา เจ้าคงไม่สามารถศรัทธาได้เพียงหนึ่งอย่างหรอกกระมัง
ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าก็มีองค์เทพอยู่จำนวนไม่น้อย เช่นเดียวกับบางคนที่นับถือพระโพธิสัตว์กวนอิม บางคนนับถือพระตถาคต บางคนนับถือมหาเทพไท่ซ่าง พวกเขาบูชาเทพองค์อื่นก็ถือเป็นเรื่องปกติ
บอกได้เพียงว่าเจ้าลัทธิเต๋าหรือพระโพธิสัตว์บางองค์ได้ถูกเทพองค์นี้ขโมยความศรัทธาไป
และเทพองค์นี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นมา แต่มีอยู่จริง เขาคือเทพเจ้าน้ำแห่งทะเลสาบลวี่หูในอวี๋หังผู้ซึ่งช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน ได้ปกป้องราษฎรในอวี๋หังมาตลอดร้อยปี และได้รับความเคารพบูชาจากราษฎร มีตำนานท้องถิ่นมากมายเกี่ยวกับเทพเจ้าน้ำ บางคนบอกว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นมังกรน้ำที่ซ่อนอยู่ในทะเลสาบลวี่หู เชี่ยวชาญด้านการควบคุมน้ำโดยเฉพาะ บางคนก็บอกว่าความจริงแล้วเขาเป็นนางเงือกที่อ่อนโยน บางคนก็บอกว่าเขามีหน้าตาดุร้าย ทั้งยังทรงพลัง
ยิ่งมีคนแพร่กระจายออกไปเท่าไหร่ ซ้ำยังมีนักบวชเผยแพร่คำสอน ทำให้มีคนศรัทธาเทพเจ้าน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นสัญญาณที่ไม่เป็นผลดีต่ออาณาจักรสำหรับบรรดาขุนนางในราชสำนัก
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าขงจื้อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับ ในใจของทุกคนล้วนมีการชั่งใจเรื่องผีสางนางไม้ หากเชื่อก็จะมี หากไม่เชื่อก็ไม่มี เคารพอยู่ในใจก็พอแล้ว
แต่ปรากฏการณ์โดยรวมในตอนนี้คือราษฎรเชื่อในเทพเจ้ามากกว่าราชสำนักกับฮ่องเต้ นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะในระยะยาว ราษฎรอาจจะถูกล้างสมอง หากศาสนาพุทธและลัทธิเต๋ามีเจตนาก่อกบฏ ยุยงให้ราษฎรสร้างปัญหาโดยอาศัยความบ้าคลั่งในความเชื่อของพวกเขา เช่นนั้นก็จะน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ในประวัติศาสตร์ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่ราชครูควบคุมราชสำนัก เมื่อพระและนักพรตมารเข้ายึดครอง เช่นนั้นก็จะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่
การป้องกันก่อนที่จะเกิดขึ้น ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เป็นความรู้สึกที่ขุนนางทุกคนมี
มีรายงานอย่างต่อเนื่องจากขุนนางท้องถิ่นที่ขอให้ปิดวัดวาอารามบางแห่ง ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธหรือลัทธิเต๋าหรือลัทธิอิสระ ล้วนไม่อนุญาตให้เผยแพร่คำสอน
แต่จะให้ฮ่องเต้องค์ใหม่เหมือนกับเสด็จปู่ของเขาที่ปราบปรามลัทธิเต๋าอย่างเคร่งครัด ไม่ ตอนนี้ร้ายกาจยิ่งกว่านั้น ครั้งนี้แม้แต่ศาสนาพุทธก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย
มีขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งบอกว่าจะตัดสินทั้งหมดไม่ได้ ใช่ว่าพระภิกษุและนักพรตจะเหมือนกันหมด หากปราบปรามทั่วทั้งต้าเฟิง เกรงว่าจะกระตุ้นจิตใจที่ต่อต้านของราษฎร
ความจริงแล้วไม่รวมราษฎรธรรมดาทั่วไป แม้แต่ขุนนางในราชสำนักอย่างพวกเขาเหล่านี้ มีตระกูลใดบ้างที่ไม่มีนายหญิงผู้เฒ่าหรือภรรยาและบรรดาสตรีที่นับถือศาสนาพุทธหรือลัทธิเต๋า หากพวกเขาสนับสนุนการปราบปรามและปิดวัดวาอารามขึ้นมาจริงๆ เกรงว่านับจากนี้ไปจะไม่มีวันสงบสุข หากไม่ถูกด่าว่าอกตัญญูก็คงถูกฮูหยินให้นอนนอกห้อง
ฝ่ายที่สนับสนุนชี้ให้เห็นประวัติศาสตร์อันน่าเศร้าที่พระหรือนักพรตมารผู้นั้นเข้ามามีอำนาจทำลายอาณาจักรจนกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่น่าสลดใจ
ฝ่ายค้านกลับอ้างว่าทุกคนในใต้หล้ามีความเชื่อมากกว่าหนึ่งความเชื่อ หากปราบปรามทั้งหมด ราษฎรไร้ที่เคารพบูชา ก็จะเกิดการกบฎ
ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันในราชสำนักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ใบหน้าของฉีเชียนดำคล้ำราวกับก้นหม้อ เขาคิดไม่ถึงว่าเป็นฮ่องเต้ก็ยังต้องมาตัดสินว่าควรจะทำลายความศรัทธาหรือไม่ ซ้ำยังถูกบรรดาขุนนางเอามาถกเถียงกันในราชสำนัก
สิ่งที่เขาควรทำคือการหาวิธีเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย บำรุงฟื้นฟูบ้านเมือง ให้ราษฎรสามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างมีความสุขไม่ใช่หรือ
เป็นไปไม่ได้ที่จะปราบปรามและปิดวัดวาอารามทั้งหมดอย่างเคร่งครัด ในฐานะกษัตริย์ ฉีเชียนก็มีความศรัทธาเช่นกัน
เขาศรัทธาฉินหลิวซี!
กล่าวคือเขาพึ่งขึ้นครองบัลลังก์และคลังสมบัติก็ว่างเปล่า มิเช่นนั้นเขาก็อยากจะหล่อร่างทองสร้างอารามทองคำให้ฉินหลิวซี แต่งตั้งเป็นเทพีแห่งอาณาจักร ไม่ใช่แค่ตั้งแท่นบูชาเล็กๆ ในตำหนักไท่ผิง เอาแต่จุดธูปบูชารูปปั้นทองคำขนาดเล็กทั้งวันทั้งคืน
หากเห็นด้วยกับฝ่านสนับสนุน เช่นนั้นอารามชิงผิงจะไม่ประสบกับหายนะหรือ
ฉีเชียนหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ตบบัลลังก์มังกรอย่างแรง กล่าวว่า “เหตุใดราษฎรจึงได้ศรัทธาในเทพเจ้าน้ำองค์นั้น พวกเจ้าไม่ได้ไปหาคำตอบจากต้นเหตุ เอาแต่บอกให้ปราบปรามจะไปมีประโยชน์อะไร ความศรัทธาใช่ว่าจะอาศัยการปราบปรามก็จะหายไป คนคนหนึ่งหากไม่มีความศรัทธา จะเกิดความวุ่นวายแบบใด ความศรัทธาไม่เพียงแต่เป็นความคิดทางจิตวิญญาณของราษฎร ซ้ำยังเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ตั้งแต่สมัยโบราณ ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าคงอยู่มาตลอดก็เพราะอาศัยความศรัทธาไม่ใช่หรือ หากพวกเจ้าปราบปรามเช่นนี้ ต้องการจะทำลายวัฒนธรรมของบรรพบุรุษหรือคิดอยากจะแข่งขันกับสวรรค์ว่าใครสูงกว่ากัน”
“ฝ่าบาท อย่าทรงพิโรธพ่ะย่ะค่ะ” บรรดาขุนนางพากันคุกเข่าลง
“ความศรัทธาเป็นพลังอย่างหนึ่ง ไม่มีทางที่จะหายไปได้จากการปราบปราม แทนที่จะคิดว่าจะปราบปรามอย่างไร ไม่สู้ไปคิดหาวิธีว่าจะชี้นำราษฎรอย่างไร คนเรามีความศรัทธาได้ แต่ไม่ควรถูกครอบงำกลายเป็นทาสของมัน ถูกล่อลวงจนสูญเสียสติ”
ฉีเชียนลุกขึ้นยืน เอ่ย “การแก้ปัญหาไม่ควรตัดสินทั้งหมด และไม่ควรเป็นการชี้ขาดของใครคนใดคนหนึ่ง มิเช่นนั้นพฤติกรรมนี้จะแตกต่างอะไรจากการเผาหนังสือของขงจื้อ เราไม่อยากเห็นนักบวชในศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าต้องหลบหนีไม่มีที่อยู่”
ทุกคนตกตะลึง คุกเข่าลงบนพื้น ตะโกนพร้อมกันว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
“เลิกประชุม” ฉีเชียนสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
จนกระทั่งเสื้อคลุมมังกรหายไป บรรดาขุนนางจึงได้ลุกขึ้น มองหน้ากัน แม้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะทรงพระเยาว์ ขึ้นครองบัลลังก์เร็ว แต่ก็หลอกไม่ง่ายเลย
มหาเสนาบดีลิ่นกับผู้เฒ่าอวี๋มองหน้ากัน สายตามีความโล่งใจ
เด็กน้อยฝึกฝนได้ แคว้นจึงมีความหวัง