คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1226 ใจดำเหมือนนายท่านน้อย
ตอนที่ 1226 ใจดำเหมือนนายท่านน้อย
………………..
ณ ราชสำนัก
ฉีเชียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร โดยมีมหาเสนาบดีลิ่นกับผู้เฒ่าอวี๋และข้าราชบริพารคนสำคัญอื่นๆ อยู่ข้างล่าง นอกจากนี้ยังมีอีกสองคนคือปรมาจารย์ไท่เฉิงแห่งอารามจินหัวกับท่านอาจารย์ฮุ่ยเฉวียนแห่งวัดอวี้ฝอ
เมื่อพิจารณาความจริงที่ว่าพระและนักพรตมารเหล่านั้นที่จู่ๆ ก็ ‘กบฏ’ กลางคัน ได้สร้างความสับสนแก่ราษฎรด้วยคำพูดหลอกลวง ซึ่งทำให้ผู้คนเชื่อในเทพเจ้าน้ำมากขึ้น พวกเขาเองก็มึนงงเล็กน้อย เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฉินหลิวซีเคยกล่าวไว้ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชิญทั้งสองท่านมาร่วมประชุมราชสำนักเช้า ฟังเสียงของบรรดาขุนนาง
ฉีเชียนกับมหาเสนาบดีลิ่นก็อยากจะเชิญฉินหลิวซี แต่นางราวกับหายตัวไป ได้ยินว่ากำลังกักตัวฝึกบำเพ็ญ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชิญสองท่านนี้ อย่างไรเสียอารามจินหัวกับวัดอวี้ฝอต่างก็อยู่ในอันดับหนึ่ง วัดอวี้ฝอยิ่งเป็นวัดที่มีอายุพันปี ทุกปีจะมีสาวกจำนวนนับไม่ถ้วนมาเข้าร่วมปฏิบัติธรรม
และปรมาจารย์ไท่เฉิงกับฮุ่ยเฉวียนก็ล้วนเป็นผู้ปฏิบัติขั้นสูง วัดวาอารามที่อยู่เบื้องหลังก็เป็นตัวแทนที่ดี ให้พวกเขามาปรึกษาพูดคุยเรื่องนี้ก็ดีเช่นกัน
“ท่านเจ้าอาวาสกับท่านปรมาจารย์ก็ได้ยินเรื่องนี้จากหลังม่านแล้ว ตอนนี้ราษฎรที่บูชาเทพเจ้าน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นลัทธิใหม่แล้ว พึ่งจะสถาปนาราชวงศ์ใหม่ สิ่งที่ต้าเฟิงต้องการคือการพักฟื้น ไม่ใช่ความวุ่นวาย ใช่ว่าเราเห็นว่าศาสนาพุทธกับลัทธิเต๋าขัดหูขัดตา ต้องการกำจัดด้วยเหตุผลส่วนตัว แต่เป็นเพราะสาวกในลัทธินี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากปล่อยทิ้งไว้ เมื่อมีคนมีเจตนายุยงราษฎร ย่อมนำไปสู่หายนะใหญ่”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงกับฮุ่ยเฉวียนมองหน้ากัน กล่าวว่า “ไม่ขอปิดบังฮ่องเต้ พวกเราเข้าใจมานานแล้ว เทพเจ้าน้ำนั้นมีอยู่เมื่อร้อยปีก่อนจริงๆ แต่เทพเจ้าน้ำในปัจจุบันนี้ ได้กลายเป็นเทพชั่วร้าย”
ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนไป
ทันใดนั้นมหาเสนาบดีลิ่นนึกถึงสิ่งที่ฉินหลิวซีเอ่ยเกี่ยวกับการมีอยู่อันน่าสะพรึงกลัวที่ต้องการจะทำลายล้าง
ฉีเชียนขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เทพชั่วร้าย กำจัดได้หรือไม่”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงยิ้มอย่างขมขื่น เอ่ย “มีเพียงท่านเซียนปู้ฉิวแห่งอารามชิงผิงเท่านั้นที่สามารถกำจัดได้ แต่ตอนนี้นางกำลังกักตัวฝึกบำเพ็ญ ไม่อาจรบกวนได้”
มหาเสนาบดีลิ่นกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้วหรือ”
อาจารย์ฮุ่ยเฉวียนประนมมือทั้งสองข้าง กล่าวว่า “อมิตาภพุทธ ลัทธิของเทพเจ้านั้นสามารถดูดซับสาวกได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เป็นเพราะผู้คนในศาสนาพุทธและลัทธิเต๋ามีใจแน่วแน่ที่จะสั่งสอนและนำทาง”
ใต้เท้าจั่วกล่าวขึ้นมาหนึ่งประโยคว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากไม่ใช่เพราะการเผยแพร่ของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า ทุกคนก็คงไม่ศรัทธาเทพเจ้าน้ำองค์นี้ในทันที”
“ใช่แล้ว ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าของพวกเจ้ามีส่วนที่ต้องรับผิดชอบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ควรจะชำระล้างสำนักอย่างเคร่งครัด” มีคนกล่าวขึ้นมา
อาจารย์ฮุ่ยเฉวียนกล่าวว่า “นี่ก็คือสิ่งที่อาตมากับปรมาจารย์อยากจะกล่าว ใครก็ตามที่กบฏจะถูกนำทางกลับไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง”
พระภิกษุและนักพรตที่ช่วยเผยแพร่ความศรัทธาในเทพเจ้าน้ำล้วนถูกอาคมของซื่อหลัวล่อลวง การพากลับไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาควรทำ
“ใช่แล้ว พวกเราจะไม่นั่งดูอยู่เฉยๆ อย่างแน่นอน” ปรมาจารย์ไท่เฉิงก็กล่าวอย่างแน่วแน่เช่นกัน
เขาจะไม่พูดไปมากกว่านี้ ในยุคที่แสวงหาอำนาจทางการเมือง ขุนนางเหล่านี้จะคิดว่าบรรดาสาวกจะนำไปสู่การกบฏจนเกิดความวุ่นวาย และสิ่งที่พวกเขาคิดก็คือยิ่งมีผู้ศรัทธามากขึ้นเท่าไหร่ แรงปรารถนาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เมื่อถึงเวลาก็จะรับมือได้ยาก
“พากลับเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง พูดฟังดูเหมือนง่าย หากพวกเขาดึงดันที่จะเดินในทางที่ผิดล่ะ”
น้ำเสียงของประโยคคำถามนี้ทำเอาปรมาจารย์ไท่เฉิงขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ก็มีความเคลื่อนไหวในความว่างเปล่า และน้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่ไม่มีความยำเกรงก็ได้ดังขึ้น
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่านั้นเป็นเส้นทางสู่ความตาย เช่นนั้นก็ส่งพวกเขาไปตามทาง จะยากอะไร”
เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนตกใจ
แม้ว่าฉีเชียนจะตกใจเช่นกัน แต่ไม่ช้าก็จำได้ว่านั้นเป็นเสียงของใคร สงบนิ่งอย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้นหยุดไม่ให้องครักษ์ลับเคลื่อนไหวอย่างหุนหันพลันแล่น
เมื่อเฟิงซิวเห็นท่าทางของฉีเชียนก็เบะมุมปาก ปรากฏกายขึ้น
“อ้าก ป้องกัน ป้องกันฮ่องเต้” ข้าราชบริพารที่ซักถามผู้นั้นเกือบจะหงายหลังล้มด้วยความตกใจ ก่อนจะเป็นลมก็ไม่ลืมที่จะแสดงความจงรักภักดี รีบเดินโซเซไปหาฉีเชียน
ข้าราชบริพารคนอื่นๆ ก็ขวางอยู่ข้างหน้าฉีเชียนเช่นกัน
เทพชั่วร้ายอะไรกัน ไหนเลยจะเป็นบุรุษผู้งดงามราวกับปีศาจที่ล่อลวงผู้คนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศได้
เฟิงซิวพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทาย จากนั้นก็มองไปยังคนผู้นั้น เอ่ย “ตื่นตระหนกอะไรกัน ไม่ได้จะกินเจ้าเสียหน่อย”
ทุกคน “…”
เขามองปรมาจารย์ไท่เฉิงพลางเอ่ย “เจ้าไม่ควรกล่าวกับพวกเขาอย่างคลุมเครือเช่นนี้ หากคนทรยศเหล่านั้นเป็นอย่างที่เขากล่าวมาจริงๆ ดึงดันจะเดินในเส้นทางที่ผิด เช่นนั้นก็สู้กันให้ตายไปข้างหนึ่ง มิเช่นนั้นจะเก็บพวกเขาไว้ให้ไปช่วยคนทำชั่วหรือ”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงยิ้มอย่างลำบากใจ
อาจารย์ฮุ่ยเฉวียนไม่ได้กล่าวอะไรอย่างรู้ความ ไม่รู้ว่าจิ้งจอกตัวนี้มาจากไหน พลังชั่วร้ายปกคลุมไปทั่วร่างกาย อย่าไปล่วงเกินจะดีกว่า
เฟิงซิวมองฉีเชียนพลางเอ่ย “พระภิกษุและนักพรตเหล่านั้น คนฝึกบำเพ็ญเต๋าอย่างพวกเราย่อมจัดการเอง ส่วนผู้ศรัทธาเหล่านั้น คนในราชสำนักอย่างพวกท่านต้องเป็นคนจัดการ คนเราย่อมมีความเห็นแก่ตัว ตราบใดที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน ไม่ว่าจะเป็นเทพองค์ใดก็ล้วนเป็นของปลอม ออกราชโองการ เทพเจ้าน้ำเป็นเทพชั่วร้ายที่กลืนกินดวงวิญญาณ ผู้ที่บูชาจะพบกับความโชคร้าย ไม่อนุญาตให้บูชา ให้ทำลายเทวรูปหลังจากที่เห็นประกาศภายในสามวัน ส่วนผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม หากตรวจพบจะถูกตีด้วยไม้กระดานสามสิบที หรือถูกโบยยี่สิบไม้พร้อมกับปรับเงินห้าสิบตำลึง หากไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ หลังจากที่ถูกลงโทษจะถูกส่งให้ไปใช้แรงงาน นอกจากนี้รางวัลและบทลงโทษแบ่งแยกชัดเจน ให้มีการตบรางวัลหากมีคนมารายงานว่าตระกูลใดบูชาเทพเจ้าน้ำ ให้รางวัลเป็นเงินสิบตำลึง ท่านว่าหากราชโองการนี้ประกาศออกไป ใครจะกล้าบูชา”
ทุกคนพิจารณาดู กลอุบายนี้ใช้ได้
ธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีความเห็นแก่ตัว เมื่อเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง ย่อมนึกถึงตัวเองก่อน ดูว่าบทลงโทษนั้นรุนแรงแค่ไหน ถูกตีไม่พอซ้ำยังต้องจ่ายค่าปรับอีก มีเงินไม่ดีหรืออย่างไร
นอกจากนี้ยังมีการรายงาน เจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก เงินรางวัลสิบตำลึง ตราบใดที่มารายงานเรื่องการบูชาเทพเจ้าน้ำก็จะได้รับไป หากใช้อย่างประหยัด ทั้งครอบครัวก็จะมีกินไปอีกหนึ่งปี
“ขอบคุณเถ้าแก่ที่ให้คำแนะนำ” ฉีเชียนคำนับ
เฟิงซิวโบกมือ เอ่ย “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า นี่เป็นแผนการสูญเสียที่เป็นความคิดของอวี้ฉังคง ข้าเพียงแค่ได้พบเขาระหว่างทาง จึงนำข้อความมาบอก”
ฉีเชียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในใจรู้สึกอบอุ่น
“หากมีผู้ที่ต้องการเงินรางวัลโดยการใส่ร้ายผู้อื่นจะทำอย่างไร อีกอย่างอวี๋หังในเจียงหนานก็อุดมสมบูรณ์และเจริญรุ่งเรือง คนส่วนใหญ่ที่ศรัทธาสิ่งนี้คือตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย และยังได้รับการคุ้มครองจากขุนนาง หากพวกเขาปลุกปั่นราษฎร จะไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายหรือ” ขุนนางที่ตั้งคำถามในตอนแรกกล่าวขึ้น
เฟิงซิวแสยะยิ้มเบาๆ “โง่หรืออย่างไร ไม่กลัวว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหว กลัวพวกเขาจะไม่เคลื่อนไหวมากกว่า คลังสมบัติหลวงของพวกเจ้ายากจนจนคนจนก็ยังรังเกียจ หากขุนนางผู้มั่งคั่งในอวี๋หังแห่งเจียงหนานต้องการปลุกปั่นให้ราษฎรก่อปัญหา ไม่สู้ยึดทรัพย์ของพวกเขาในข้อหาก่อตั้งพรรคกบฏเพื่อแก้ไขปัญหาคลังสมบัติหลวงที่ว่างเปล่า ยึดทรัพย์หลายตระกูลหน่อย คลังสมบัติหลวงก็มีเงินแล้ว ฉีเชียน ท่านเป็นฮ่องเต้แล้ว บอกว่าใครมีความผิด เขาก็มีความผิด จะเกรงใจทำไม”
ฉีเชียน “…”
นี่เกรงว่ากำลังสอนข้าให้เป็นราชาผู้เลอะเลือนอยู่กระมัง
เสนาบดีเฉียนรีบดีดตัวออกมาทันที “ฝ่าบาท กระหม่อมสนับสนุนข้อเสนอนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
การเคลื่อนไหวนี้ดีกว่าการขายตำแหน่งพระสนมวังหลังของฮ่องเต้เป็นอย่างมาก
ทุกคนสีหน้าสับสน แต่ก็ยกมือขึ้นคำนับด้วยเช่นกัน “กระหม่อม สนับสนุนข้อเสนอนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงเหลือบมองเฟิงซิว กล่าวในใจว่า ‘คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล คำนี้ข้าเชื่อแล้ว ช่างใจดำพอๆ กันกับนายท่านน้อยผู้นั้น!’
………………..