คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1227 เอาแผ่นค่ายอาคม กลับคืนสู่เจ้าของเดิม
ตอนที่ 1227 เอาแผ่นค่ายอาคม กลับคืนสู่เจ้าของเดิม
………………..
เฟิงซิวมาที่วังหลวงเพราะการไหว้วานของฉินหลิวซีให้มาเอาของบางอย่างจากฉีเชียน
หลังจากให้ข้าราชบริพารชั้นสูงถอยออกไป เขาก็กล่าวกับฉีเชียนอย่างตรงไปตรงมา
ในคลังของวังหลวงมีเครื่องรางลัทธิเต๋าอยู่อย่างหนึ่ง คือแผ่นค่ายอาคมทำนายหยินหยางไท่จี๋ เขามาเพื่อสิ่งนี้
ฉีเชียนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “ในคลังมีของเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ ข้าไม่เคยสังเกตเลย คงเพราะมีสมบัติล้ำค่ามากมาย”
ก่อนหน้านี้ผู้ดูแลคลังเคยมอบสมุดคลังให้เขา เขาตรวจดูอย่างคร่าวๆ ไม่ได้อ่านอย่างละเอียด อย่างไรเสียก็เพิ่งเป็นฮ่องเต้ได้ไม่นาน ไหนเลยจะมีเวลาว่างเพียงนั้น
“ท่านพึ่งเป็นฮ่องเต้ได้ไม่เท่าไหร่ ย่อมไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง นอกจากแผ่นค่ายอาคมนี้แล้ว ยังมีตำราโบราณอันล้ำค่าของลัทธิเต๋ากับเครื่องรางอีกมากมาย” เฟิงซิวยิ้มใบหน้านิ่งพลางมองเขา กล่าวว่า “ท่านลองเดาดูว่าได้มาอย่างไร”
ฉีเชียนมองดูรอยยิ้มขี้เล่นและค่อนข้างประชดประชันนี้ ไม่รู้ว่านึกอะไรได้ ใบหน้าร้อนระอุ อ้าปากพะงาบ แต่กลับไม่กล้าเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว เป็นเสด็จพ่อของอดีตฮ่องเต้ ก็คือฮ่องเต้เจี้ยนซิ่งที่เป็นเสด็จปู่ของท่าน เมื่อแก้แค้นให้กับบรรพบุรุษของเขาเพื่อเป็นการแสดงความกตัญญู ก็ได้แย่งชิงมาตอนที่ปราบปรามลัทธิเต๋า” เฟิงซิวหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “ท่านคงไม่คิดว่าสิ่งที่เรียกว่าการปราบปรามนั้นคือไม่ให้อารามเหล่านั้นปิดตัวลง เพียงแค่ไล่นักพรตไปก็พอแล้วอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก”
เขาเล่นแหวนจิ้งจอกในมือพลางเอ่ย “การปราบปรามที่แท้จริงไม่เพียงแต่ขับไล่นักพรต รื้อถอนอาราม แต่สิ่งทีสำคัญที่สุดคือการทำลายความศรัทธาและมรดกสืบทอดของพวกเขา แต่ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัว เมื่อได้เห็นของดีก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความโลภ”
เมื่อฉีเชียนได้ฟังดังนั้นก็ใบหน้าร้อนระอุ กลายเป็นสีม่วงบวมเหมือนสีตับหมู
“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ลัทธิเต๋าประสบปัญหาการปราบปรามและความเสื่อมถอย นักพรตจำนวนไม่น้อยถูกบีบบังคับให้ซ่อนตัวฝึกบำเพ็ญในภูเขาลึก หากมีเวลาก็ซ่อนของดีเหล่านั้นไว้ หากไม่มีเวลาก็ทำได้เพียงแย่งตำราโบราณแล้วหนีไป แต่เครื่องรางอันล้ำค่าและตำราพื้นฐานจำนวนมากกลับตกอยู่ในมือของตระกูลฉี หลังจากสามชั่วอายุคน ก็ไม่รู้ว่าเหลือจำนวนเท่าไหร่ แต่แผ่นค่ายอาคมนี้ ในเมื่อนางบอกว่ายังอยู่ เช่นนั้นก็ยังอยู่”
ฉีเชียนปากเต็มไปด้วยรสชาติสนิม ไม่รู้ว่าเขากัดริมฝีปากตัวเองเป็นแผลตั้งแต่เมื่อไหร่ กลิ่นเลือดฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งปาก
“เจ้าตามข้ามาเถิด” เขามุมปากกระตุกพลางฝืนยิ้ม
หลังจากผ่านประตูวังหลายแห่ง ฉีเชียนก็พาเฟิงซิวเข้าไปในคลังที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา ห้องพระคลังขนาดใหญ่มีสมบัติล้ำค่ามากมายให้เชยชม มีตำราและภาพวาดโบราณจำนวนนับไม่ถ้วน และสิ่งของบางอย่างก็เต็มไปด้วยฝุ่น
เฟิงซิวไม่ได้มองสิ่งเหล่านั้นด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้ฉีเชียนรู้สึกละอายใจมากยิ่งขึ้น สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งของล้ำค่าอย่างไร้ที่เปรียบในสายตาของคน แต่ในสายตาของผู้ที่ฝึกบำเพ็ญอย่างพวกเขากลับเหมือนกับของไร้สาระ
“ข้าไม่รู้เลยว่าแผ่นอาคมนั้นรูปร่างเป็นอย่างไร ข้าจะให้ขุนนางกรมคลังเอาสมุดคลังมาตรวจสอบดีหรือไม่”
เฟิงซิวส่ายหน้า “ไม่จำเป็น”
เขากระจายพลังกระแสจิตออกไป ปกคลุมไปทั่วทั้งพระคลัง ค้นหาที่อยู่ของพลังวิญญาณทุกแห่ง
ความจริงแล้ว คลังของฮ่องเต้มีสมบัติล้ำค่าจำนวนไม่น้อยจริงๆ สิ่งที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณไม่ได้มีเพียงสิ่งของของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า ตำราและภาพวาดโบราณหรือแม้กระทั่งหินหมึกเหล่านั้นก็มีพลังวิญญาณเช่นกัน แม้แต่ต้นฉยงไถหยกก็ยังมีจิตวิญญาณของช่างฝีมือ
เจอแล้ว
เฟิงซิวเดินไปในทิศทางนั้น ฉีเชียนเดินตามเขาไป มันเป็นมุมที่ลึกที่สุดของคลัง มีชั้นวางหลายชั้นซึ่งวางสิ่งของของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าเอาไว้มากมาย ศาสนาพุทธมีคัมภีร์พระไตรปิฎก พระพุทธรูปพระโพธิสัตว์ ซ้ำยังมีทังกา[1] กระทั่งมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง ซ้ำยังมีไม้เคาะกับลูกประคำ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาได้สะสมพระบรมสารีริกธาตุของจริง
และลัทธิเต๋าก็มีกระบี่ทองกระบี่เงิน ตำรายันต์โบราณ พระสูตรยาเต๋าโบราณ ซ้ำยังมีแส้หางม้า รูปปั้นซานชิง ของเลียนแบบระฆังตงหวง แต่ล้วนแกะสลักอักขระเหมือนกัน เป็นเครื่องราง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยฝุ่นทุกชิ้น
เฟิงซิวเหลือบมองสิ่งของบนชั้นวาง หันไปหาฉีเชียนโดยไม่ได้กล่าวอะไร
แต่ฉีเชียนรู้สึกถึงการประชดอย่างชัดเจน ใบหน้าแทบจะลุกเป็นไฟ กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ เจ้าวางใจได้ ข้าจะให้พวกมันกลับคืนสู่ที่ที่ควรอยู่”
แทนที่จะวางไว้เป็นไข่มุกโดนฝุ่นกลบที่นี่ มิสู้ส่งพวกมันคืนสู่วัดวาอาราม เก็บไว้เป็นสมบัติล้ำค่าต่อๆ ไป
เฟิงซิวเอ่ย “ท่านต้องเป็นราชาผู้ชาญฉลาด โอรสของท่านก็ต้องเป็นราชาผู้ชาญฉลาด เช่นนี้ใต้หล้าก็จะยังมีตระกูลฉีไปอีกหลายสิบปี แต่หากพวกท่านรักษาไว้ไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องขุ่นเคือง ผลกรรมอยู่ที่นี่แล้ว!”
เขาชี้ไปยังสิ่งของเหล่านี้ บาปที่ราชวงศ์กระทำไว้ล้วนต้องชดใช้ เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อใด
ฉีเชียนรูม่านตาหดลงเล็กน้อย นี่หมายความว่าผู้ปกครองใต้หล้าจะเปลี่ยนไปหรือ
เฟิงซิวไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพียงแต่หยิบแผ่นค่ายอาคมที่มีขนาดเท่าฝ่ามือของสตรีออกมาจากกองพระสูตรยุ่งเหยิง ทันทีที่พลังปีศาจกระจายออกไป ฝุ่นที่ปกคลุมอยู่ก็หายไปในทันที เผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของมัน
แผ่นค่ายอาคมขนาดเล็กละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก แต่ด้านบนมีสีสันของแปดประตูดาวนพเก้าของฟ้าดินและแปดเทพอสูร ดินแดนแห่งพื้นดวงชะตา ล้วนอยู่ในจิ่วกาน เมื่อดูลิ่วอี๋ ทั้งหมดตกอยู่ในตำแหน่งที่สอดคล้องกันในเรือนทั้งเก้า นี่คือแผ่นค่ายอาคมที่สมบูรณ์แบบซึ่งไม่ได้รับความเสียหาย จิตวิญญาณเครื่องรางก็ยังอยู่
อย่างไรก็ตามหากฉินหลิวซีต้องการมัน เกรงว่าจะเหมือนกับศาสตราวุธเทพในมือนาง ต้องทำการหล่อหลอมใหม่อีกครั้ง
หล่อหลอมแผนภาพค่ายอาคมนั้นสิ้นเปลืองพลังวิญญาณและใช้สมาธิยิ่งกว่าการหล่อหลอมศาสตราวุธเทพ อย่างไรเสียค่ายอาคมจำเป็นต้องมีการคำนวณที่แม่นยำ ห้ามพลาดแม้แต่ก้าวเดียว หากเป็นค่ายอาคมใหญ่ที่ทรงพลังกว่านี้ก็จะยิ่งซับซ้อน สิ้นเปลืองจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก
นี่เป็นการทดสอบอันยิ่งใหญ่
เฟิงซิวเก็บแผ่นค่ายอาคมแล้วหันหลังกำลังจะจากไป ฉีเชียนเรียกเขาไว้ “เจ้าดูว่าในพระคลังนี้ยังมีอะไรที่พวกเจ้าใช้ได้อีกหรือไม่ เอาไปได้เลย”
เฟิงซิวเลิกคิ้ว “นี่เป็นพระคลังในของราชวงศ์ ในเมื่อท่านเป็นฮ่องเต้ก็เป็นของท่านแล้ว ในฐานะฮ่องเต้ ต้องประทานให้กับพระสนมและผู้ที่มีความจงรักภักดี หากไม่มีอะไรมอบให้จะน่าเกลียด”
ฉีเชียนกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นของข้าแล้ว เช่นนั้นข้าอยากให้ใครก็จะให้คนนั้น นางเป็นผู้มีผลงานที่ทำให้ข้าได้นั่งตำแหน่งใหญ่นี้ ประทานให้นางจะเป็นไรไป ส่วนคนนอก ถวายของดีเป็นเครื่องราชบรรณาการแก่ฮ่องเต้จึงจะเป็นสิ่งที่พวกเขาควรทำ ส่วนข้า ประทานหมึกล้ำค่าให้พวกเขาดีกว่าประทานของสิ่งอื่นเสียอีก”
เอาเถิด จะเป็นคนขี้เหนียวให้ได้เลย
เฟิงซิวไม่เกรงใจ ปลดปล่อยกระแสจิตอีกครั้ง นำสิ่งของที่มีประโยชน์ซึ่งเต็มไปด้วยพลังวิญญาณไปทั้งหมด ไม่เอาไปจะเสียเปล่า
เมื่อเอาไปหมดแล้วเขาก็โบกมือ จากนั้นก็หายตัวไปต่อหน้าฉีเชียน
ฉีเชียนยืนอยู่ในพระคลังเป็นเวลานาน เห็นเฟิงซิวไปมาอย่างอิสระ แอบทอดถอนใจระหว่างตัวเองกับพวกเขา อย่างไรก็ไม่ใช่ประเภทเดียวกัน
“ผู้ที่เป็นฮ่องเต้ ต้องไม่ใจอ่อน”
ทันใดนั้นเสียงของฮ่องเต้คังอู่ก็ดังขึ้นในหัว
ฉีเชียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่เขาเคยพูดตอนที่อยู่กับฮ่องเต้คังอู่ตามลำพัง ในฐานะฮ่องเต้ไม่ควรให้ผู้อื่นนอนหลับสนิท ยิ่งไม่ควรเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ ลัทธิเต๋ามีความสามารถด้านอภินิหารจริงๆ หากพวกเขากบฏต่อราชสำนัก สามารถพลิกแพลงสถานการณ์ได้ สิ่งนี้เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าเฟิงซิวได้ทำให้กรมอาญาวุ่นวายไปหมด ดังนั้นจะปล่อยไว้ไม่ได้
ฮ่องเต้คังอู่ต้องการสังหารลัทธิเต๋าและผู้ฝึกบำเพ็ญทุกคนที่มีฝีมือไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะพวกเขาจะเป็นคนหรือเป็นปีศาจ
ช่างน่าขัน เขาก็ไม่คิดดูสักหน่อย หากคนเหล่านี้ต้องการครอบครองใต้หล้าจริงๆ ตรงนี้ก็ไม่ใช่หน้าที่อะไรของตระกูลฉีแล้ว
“ใครก็ได้” ฉีเชียนเรียกผู้ดูแลคลังมา ให้คนจัดการสิ่งของของศาสนาพุทธและลัทธิเต๋า ทำรายการทรัพย์สินทั้งหมดของลัทธิเต๋าส่งคืนให้กับอารามชิงผิง
นำทรัพย์สินคืนสู่เจ้าของเดิม
[1] ทังกา เป็นคำเรียกจิตรกรรมพุทธทิเบตที่ทำลงบนผ้าฝ้าย ผ้าไหม หรือ ผ้าเย็บประดับ
………………..