คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1231 ก้าวหน้า เผยกรงเล็บ!
ตอนที่ 1231 ก้าวหน้า เผยกรงเล็บ!
………………..
พายุกำลังมา
เมฆดำลอยมาเต็มท้องฟ้า บดบังแสงอาทิตย์เหนือซากปรักหักพัง ราวกับท้องฟ้าจะร่วงตกลงมา มีสายฟ้าแลบเป็นครั้งคราวในกลุ่มเมฆ
เฟิงซิวไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายในม่านอาคมได้ชัดเจน แต่ขยายกระแสจิตออกไปถึงขีดสุด ภายในระยะหนึ่งร้อยลี้ อำนาจของราชาปีศาจถูกปลดปล่อยออกไปจนหมด ปีศาจเหล่านั้นที่กำลังจะเคลื่อนไหวมาตามกลิ่นได้หยุดนิ่งในทันที ได้แต่หมุนเป็นวงกลมอยู่ที่เดิม ก่อนจะรีบมุดลงดิน
เฟิงซิวกลับเพ่งความสนใจไปที่กลุ่มเงาดำ ก่อนจะขมวดคิ้ว สิ่งนี้คืออะไร เป็นสิ่งที่ดีหรือเป็นสิ่งชั่วร้ายกันแน่?
เขาแยกกระแสจิตเป็นรูปร่างไปขวางอยู่ตรงหน้าสิ่งนั้น พลังปีศาจปะทุออกมาอย่างรุนแรง ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไร ห่อหุ้มมันไว้แล้วบดขยี้
เงาดำกลับหายไป
เฟิงซิวขมวดคิ้ว ไม่มีอะไรเลย
เขามองไปรอบๆ พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงดึงกระแสจิตกลับคืนมา เพ่งความสนใจกลับคืนมาที่ม่านอาคมของฉินหลิวซีอีกครั้ง
จากสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ เขาคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงได้ใช้พลังปีศาจสร้างม่านอาคมอีกหนึ่งชั้นไว้ข้างนอก หากต้องการจะรบกวนนางก็ต้องข้ามศพเขาไปก่อน
แต่ว่า ตอนนี้ฉินหลิวซีสถานการณ์เป็นอย่างไร นอกเหนือจากนำมาซึ่งเมฆด่านเคราะห์แล้ว ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดอีกเลย
ปีศาจจิ้งจอกนั้นกังวลจนจะบ้าตายอยู่แล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งโดยไม่สามารถปกปิดความกังวลบนใบหน้าได้ สายตามองไปยังเมฆด่านเคราะห์ที่รวมตัวกันอยู่เหนือศีรษะเขา
ผู้ฝึกบำเพ็ญต้องการก้าวหน้า หรือต้องการหล่อหลอมเครื่องรางหรือยา เมื่อไปถึงระดับสูง เมฆด่านเคราะห์ที่นำมาก็จะยิ่งใหญ่และรุนแรง แต่ไม่ใช่เพียงแค่มารวมตัวกันเท่านั้น ยังต้องดูว่าผู้ที่ฝ่าด่านเคราะห์สามารถไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ หากไปไม่ถึง เช่นนั้นเมฆด่านเคราะห์ก็จะสลายตัวออกไป ซึ่งหมายถึงความล้มเหลว
ตอนนี้เมฆด่านเคราะห์พึ่งจะเริ่มรวมตัวกัน จะอยู่รอนางหรือไม่ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด
แต่การที่สามารถดึงดูดเมฆด่านเคราะห์มาได้ หมายความว่านางอยู่ห่างจากความสำเร็จเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
“ไม่สำเร็จก็ต้องสำเร็จ ท่านเป็นคนบอกเอง อย่าปล่อยให้ข้ามีโอกาสดูหมิ่นท่าน!” เฟิงซิวกล่าวพึมพำ
ฉินหลิวซีอยู่ในม่านอาคม เลือดที่กระอักออกมาทำเอาคอเสื้อถูกย้อมเป็นสีแดงแล้ว ดวงจิตได้ชาไปหมดแล้ว พลังจิตก็แทบจะหมดลง แผ่นค่ายอาคมทองคำดำขนาดเล็กลอยขึ้นตรงหน้านาง เปล่งประกายแสงสีทองและพลังอันแข็งแกร่ง
แต่ว่า ยังไม่พอ ยังใช้ไม่ได้
ฉินหลิวซีหยิบรากโสมที่เจ้าโสมน้อยให้ขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา ยัดเข้าใส่ปากทั้งชิ้น เคี้ยวสองสามครั้งแล้วกลืนลงไป มือทั้งสองข้างร่ายคาถา ดึงพลังวิญญาณอันน้อยนิดในค่ายอาคมรวบรวมวิญญาณเข้าสู่วังจิต แต่ก็ถูกแผ่นค่ายอาคมแย่งไปอยู่บ้าง
ฉินหลิวซีเศร้าใจเล็กน้อย ไม่มีอารมณ์โมโหแม้แต่นิด
ค่ายอาคมรวบรวมวิญญาณไม่เพียงแต่เติมเต็มพลังวิญญาณที่เหือดแห้งของนาง แต่เมื่อแผ่นค่ายอาคมใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ พลังวิญญาณที่มันแย่งไปก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
โชคดีที่โสมพันปีไม่ใช่ของปลอม เมื่อกินรากโสมเข้าไปหนึ่งเส้น นางก็ดีขึ้น
ฉินหลิวซีสายตาเกรี้ยวกราด มองแผ่นค่ายอาคม พลังจิตวิญญาณรวมตัวขึ้นมาอีกครั้ง แผ่นชะตาชีวิต นางต้องทำสำเร็จ
ในเวลานี้ที่อารามชิงผิง เจ้าโสมน้อยวิ่งไปหาเถิงเจา ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “เจาเจา ข้าถูกกินแล้ว”
เถิงเจา “?”
“ข้าหมายถึงรากโสมของข้าที่มอบให้จอมมารซีถูกนางกินไปแล้ว” แม้ว่ารากโสมนั้นจะเป็นเพียงแค่ราก แต่ก็มีต้นกำเนิดของโสมอยู่เล็กน้อย เมื่อนางกินเข้าไป เขาย่อมรับรู้ได้
เถิงเจาสีหน้าเป็นกังวลในทันที เขาขยับมือ อยากจะทำนาย
เจ้าโสมน้อยกดมือของเขาไว้ “อย่าทำนาย ตบะของนางสูงกว่าเจ้าอยู่มาก ทั้งยังเป็นอาจารย์ของเจ้า หากเจ้าทำนายนาง ผลสะท้อนกลับที่ได้รับนั้นไม่อาจนับได้”
เถิงเจาตัวแข็งทื่อ มองเขาอย่างทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
เจ้าโสมน้อยถอนหายใจ กล่าวว่า “อย่ากังวลมากเกินไป นางบอกแล้วว่าจะหล่อหลอมแผ่นค่ายอาคมไม่ใช่หรือ การที่กินสิ่งนี้ จะต้องเป็นเพราะมาถึงช่วงเวลาวิกฤตถึงขีดสุด หากไม่ใช่ฝ่าด่านเคราะห์ก็คงใกล้จะถึงเขตแดนแล้ว”
เถิงเจาเม้มริมฝีปาก หายตัวออกไปจากห้องเต๋า รีบมาที่หอไจเซียนที่สูงที่สุดในอารามชิงผิง มองไปทางทิศตะวันตกด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ไม่นานเขาก็ลงจากหอไจเซียน หยิบไม้กฤษณาชั้นดีมาไว้ที่หน้าอกแล้วจุดบูชา จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเจ้าลัทธิเต๋า นั่งสมาธิสวดพระสูตรภาวนา และใต้ที่นั่งของเจ้าลัทธิเต๋าก็มีรูปปั้นทองคำเหมือนจริงอยู่ด้วย
เป็นอวี้ฉังคงที่นำมาถวาย
พลังแห่งความปรารถนาทะลุผ่านท้องฟ้าตกลงบนร่างของฉินหลิวซี
วังจิตของฉินหลิวซีสั่นสะท้าน นำพลังจิตวิญญาณสลักลงบนตำแหน่งมนุษย์ในวังทั้งเก้าของแผ่นค่ายอาคม ลวดลาดค่ายอาคมสำเร็จ แผ่นทองคำดำสั่นสะท้านไม่หยุด
ข้างนอก ท้องฟ้ามืดมนเต็มไปด้วยเมฆดำราวกับมังกรยักษ์ที่กำลังม้วนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆ สะสมสายฟ้าจนเกิดฟ้าแลบแปลบปลาบบ่อยครั้ง แฝงไว้ด้วยพลังอันแข็งแกร่งที่ยากต่อการต้านทานที่สุด ทำให้คนแทบหายใจไม่ออก
พายุโหมกระหน่ำ
เฟิงซิวมองเข้าไปในม่านอาคมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มือทั้งสองข้างกำหมัดโดยไม่รู้ตัว
และฉินหลิวซีติดอยู่ในแผ่นศักดิ์สิทธิ์ที่หมุนรอบตัวนางอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองข้างร่ายคาถา ท่องคาถาเทพเก้าดาวอย่างเงียบๆ “…เต็มใจที่จะสละร่างกาย รับพลังจากฟ้าดิน…”
พรึบ
ไฟนรกบงกชแดงปะทุออกมาจากร่างกายของนาง เผาไหม้ทั้งร่างกายอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าไฟนรกบงกชแดงขนาดเล็กก็พุ่งเข้าใส่แผ่นค่ายอาคมกักเทพ แสงสีทองสว่างจ้าทันที ราวกับวิญญาณเครื่องรางถือกำเนิดขึ้น วิ่งอาละวาดอยู่ในค่ายอาคม ราวกับกำลังจะบินออกไป
ลูกไฟกลับมาที่ร่างของนาง ฉินหลิวซีกระโดดขึ้นคว้าแผ่นกักเทพไว้ในมือ กล่าวว่า “หากไม่ฝ่าด่านเคราะห์สวรรค์ ไม่สามารถเรียกว่าเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้”
แผ่นค่ายอาคมอยู่ในมือ เมฆด่านเคราะห์ที่ก่อตัวเป็นเวลาสองวันในที่สุดสายฟ้าสีม่วงเส้นแรกของสายฟ้าเก้าสวรรค์ทมิฬก็ผ่าลงมา
เฟิงซิวลุกขึ้นยืนอย่างมีความสุขเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสายฟ้าเก้าสวรรค์ทมิฬฟาดลงมาก็ขนลุกไปทั้งตัว
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ต้องถูกหล่อหลอมด้วยสายฟ้า เก้าชุด ชุดละเก้าเส้น ทั้งหมดแปดสิบเอ็ดเส้น ทุกเส้นล้วนเป็นด่านเคราะห์ และเป็นพลัง หากผ่านไปได้ก็จะถือกำเนิดเครื่องรางระดับเทพ
หากผ่านไปไม่ได้…
นางก็จะม่องเท่ง!
สายฟ้าทมิฬขนาดหนาเท่าแขนดูเหมือนจะหยุดลง จากนั้นก็ผ่าลงมาโดยไม่สนใจอะไร คิดว่าสายฟ้าโมโหไม่เป็นหรือ
ฉินหลิวซีกับแผ่นค่ายอาคมแทบจะหล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว พลังจิตวิญญาณที่เดิมทีเกือบจะหมดลงเพราะหล่อหลอมแผ่นค่ายอาคม เนื่องจากถูกสายฟ้าฟาดจนแทบจะล้มลง นางจึงรีบกลืนยาลูกกลอนลงไปทันที ระดมพลังวิญญาณ ต่อต้านสายฟ้าด่านเคราะห์
พ่อค้าและผู้คนที่เชิงเขาคุนหลุนมองดูพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงจากไกลๆ ด้วยความตกใจ ถูกสายฟ้าสีม่วงขนาดเท่าแขนทำให้ตกใจจนตัวสั่น
“นี่มัน สหายเต๋าที่ไหนกำลังเผชิญด่านเคราะห์” ฉากนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
สายฟ้าเก้าสวรรค์ทมิฬไม่ให้โอกาสฉินหลิวซีกับเฟิงซิวได้หายใจ สายฟ้าสีม่วงฟาดลงมาติดต่อกัน พลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้น แม้แต่เฟิงซิวเองก็ยังอดตัวสั่นไม่ได้
โหดร้ายเกินไปแล้ว ในเมื่อต้องการให้นางกอบกู้โลก เหตุใดจึงได้โหดร้ายขนาดนี้!
ไม่แปลกใจเลยที่ซื่อหลัวต้องการจะทำลายวิถีแห่งสวรรค์ แม้แต่เขาเองก็อยากจะต่อต้านสวรรค์แล้ว
พลังแห่งสายฟ้าทำเอาเฟิงซิวที่อยู่ใกล้ม่านอาคมมากที่สุดรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากเส้นลมปราณและแขนขาของตัวเอง นับประสาอะไรกับนางที่อยู่ใจกลางสายฟ้าฟาด
เฟิงซิวกัดฟัน เดินเข้าไปใกล้ เขาไม่ได้จะช่วยใคร เขาแค่อยากจะใช้ประโยชน์ ผ่าข้าเลย
เปรี้ยง
สายฟ้าสีม่วงขนาดใหญ่ได้ฟาดลงมา แม้ว่าจะไม่ได้ผ่าลงบนตัวของเฟิงซิว แต่เขาเข้าใกล้มากเกินไป จนทำให้ขนไหม้ทั้งตัว และมีสายฟ้าเปล่งประกาย พลังสายฟ้าเข้าสู่ทุกส่วนของร่างกาย เนื้อหนังเกือบจะฉีกขาด
เฟิงซิวนำพลังสายฟ้าไปหล่อหลอมปราณปีศาจของตัวเอง ผ่าลงมาอีก
ส่วนฉินหลิวซี เนื้อหนังได้ฉีกขาดนานแล้ว เส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกายและจินตันสีแดงเพลิงของนางถูกปกคลุมไปด้วยพลังสายฟ้าสีม่วงทอง หากมีคนมองเห็นได้ นางไม่สามารถถูกเรียกว่าคนได้อีกต่อไป
การหล่อหลอมระดับเทพแบ่งเป็นสามขั้น ขั้นแรกฉินหลิวซีกับแผ่นทองคำดำผ่านไปได้อย่างปลอดภัย ม่านอาคมป้องกันพังทลายลง
เฟิงซิวมองเห็นนาง พลันรูม่านตาปีศาจหดลง ทันทีที่เห็น ปราณปีศาจมีสัญญาณของความโกลาหล เขารีบระงับไว้ สร้างม่านอาคมขึ้นมา
เขากำลังจะสร้างให้ฉินหลิวซีอีกหนึ่งอัน แต่กลับเห็นนางหยิบไม้จินกังออกมา นั่นคือเครื่องรางที่หล่อหลอมโดยกษิติครรภโพธิสัตว์ซึ่งมีพลังศักดิ์สิทธิ์
ฉินหลิวซีชูแผ่นค่ายอาคมให้สูงเท่าคน วางไม้จินกังไว้เหนือศีรษะในแนวขวาง สายฟ้าผ่าลงมา ไม้จินกังช่วยนางขวางไว้อยู่บ้าง นางกระอักเลือดออกมา แทบจะคุกเข่าลงบนพื้น
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…
เฟิงซิวทนดูไม่ได้อีกต่อไป เขาดึงพลังของสายฟ้าไปที่เส้นลมปราณและกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะปราณปีศาจก็ได้หล่อหลอมไปด้วย
ฉินหลิวซีรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะพังทลาย
อยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด
ชีวิตนี้นางไม่เคยเจอสายฟ้าด่านเคราะห์รุนแรงขนาดนี้เลยจริงๆ ดังนั้นนางไม่ใช่ธิดาของเทพเจ้าจริงๆ แต่เป็นบุตรทรพี!
เนื่องจากบาปที่ร้ายแรง ดังนั้นจึงโจมตีนางอย่างหนัก
เอาเถิด เด็กที่ไม่ถูกอัด ไม่สิ เด็กที่ไม่ถูกฟาดย่อมไม่มีวัยเด็กที่สมบูรณ์ นางตระหนักรู้แล้ว!
ฉินหลิวซีเห็นว่าไม้จินกังกำลังจะแตก และไม่มีแรงขวางอีกต่อไป จึงรีบกินยาฟื้นคืนชีพไปหนึ่งเม็ด จากนั้นก็เอาหินเก้าตาของเทพเฟิงตูออกมา เป็นเพราะมหาเทพไม่ได้ดูแลคนใต้บังคับบัญชาให้ดี จึงปล่อยให้ซื่อหลัวหนีออกไปได้ เขาควรจะช่วยขวางด้วยสักหน่อย!
เมื่อเทพเฟิงตูเห็นภาพปรากฏผ่านทางกระจกหลุนหุยก็ใบหน้าเขียว
ราชาแห่งยมโลกหัวเราะ กดไปที่วังจิตซึ่งปวดบวมเล็กน้อย ถูกฟ้าผ่า ไม่รู้ว่าไม่ได้ลองมากี่ปีแล้ว
เทพเฟิงตูมือชา สบถอย่างรุนแรง สกัดพลังสายฟ้าเส้นนั้น
เวลาผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ฉินหลิวซีมองดูสายฟ้าสีม่วงขนาดหนาเท่าสองแขนสุดท้ายที่ผ่าลงมา ทั้งร่างกายพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากรับไม่ไหว สติสัมปชัญญะหลุดลอย พลังวิญญาณแทบจะหมดลง นางไม่แม้แต่จะสามารถขยับนิ้วได้
เมฆสายฟ้าสลายไปอย่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์ขึ้น อาวุธศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิด แสงสีทองส่องสว่างจ้า
ฝนแห่งจิตวิญญาณหลากสีตกลงมาโปรยปราย หล่อเลี้ยงพื้นที่ขนาดใหญ่ของเทือกเขาที่ได้รับความเสียหายจากสายฟ้าด่านเคราะห์ สัตว์ต่างๆ ที่รอคอยมาเป็นเวลานานต่างก็ส่งเสียงร้องด้วยความยินดี
ฝนแห่งจิตวิญญาณตกลงบนร่างกายที่แตกสลายของฉินหลิวซี กระดูกเติบโตและเชื่อมต่อกันอีกครั้ง เส้นลมปราณได้รับการจัดระเบียบใหม่ แฝงไว้ด้วยพลังสายฟ้าสีม่วงทอง เลือดเนื้อรวมตัวขึ้นมาใหม่
วิญญาณแห่งฟ้าดินกลับคืนมา สามารถทำให้ฟื้นจากความตายได้
เมื่อเข้าไปหาเขาก็ตกตะลึงแล้วหันหลังกลับมา หูทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นสีแดง รีบหยิบเสื้อผ้าอีกชุดหนึ่งออกมา หรี่ตาเรียวยาวของจิ้งจอกลง โยนเสื้อผ้าให้นาง กล่าวพึมพำว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจมอง อย่างมากก็จะให้ท่านมองคืน”
เขานั่งยองๆ ลงด้านข้าง เห็นว่านางไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อดยื่นมือไปไม่ได้ วางไว้ใต้จมูกของนางเป็นการทดสอบ
ยังหายใจ มีชีวิต
ก็จริง หลังจากผ่านพ้นบทลงโทษของสวรรค์ ก็จะได้รับการฟื้นฟูพลังวิญญาณธาตุทั้งห้าในใต้หล้า ร่างกายของนางเติบโตแล้ว ย่อมมีชีวิตอยู่
ฉินหลิวซีค่อยๆ มีสติ เปลือกตาสั่นไหว นางลืมตาขึ้น สบตากับดวงตาเรียวยาวของจิ้งจอกคู่หนึ่ง
เฟิงซิวดีดตัวออกไป รู้สึกใจสั่นเล็กน้อย
“ไปทำความผิดมาหรือ” ฉินหลิวซีพยายามลุกขึ้นนั่ง เสื้อผ้าไหลลงมา นางหยิบขึ้นมาพาดบนลำตัว นวดขมับที่ปวดบวม
ให้ตายเถอะ เจ็บชะมัด!
ด่านเคราะห์สวรรค์นี้ไม่อ่อนข้อให้เลยจริงๆ
เฟิงซิวหยิบกระจกออกมา กล่าวว่า “ท่านดูตาของท่านสิ”
ฉินหลิวซีมองเข้าไปในกระจก สิ่งแรกที่มองเห็นคือผมสีดำบนหัวแฝงไว้ด้วยสีม่วง ดวงตาที่ชาญฉลาดคู่นั้นมีสีแดงทองปนม่วง สายตาเฉียบคม พลังสายฟ้าพุ่งออกมา
เปรี้ยง
กระจกแตก
ฉินหลิวซี “…”
เฟิงซิว “!”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน
ฉินหลิวซีส่งเสียงกรีดร้อง กล่าวว่า “ให้ตายเถอะ ข้ามีตาสายฟ้าหรือ”
เฟิงซิว “?”
นั่นคืออะไร
ฉินหลิวซีอาละวาดอยู่กับที่ มันทรงพลังมากก็จริง แต่ลองคิดดู มีสายฟ้าพุ่งออกมาจากตาทั้งสองข้าง ก็เหมือนกับลำแสงในยุคต่อมาไม่ใช่หรือ
เฟิงซิวกระแอมไอ อดกลั้นหัวเราะ กล่าวว่า “อย่าลืมเรื่องสำคัญ แผ่นค่ายอาคมกักเทพล่ะ”
ฉินหลิวซีชะงักฝีเท้า ทันทีที่เกิดความคิด แผ่นค่ายอาคมที่ละเอียดอ่อนเล็กกะทัดรัดก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ เนื่องจากได้ผ่านด่านเคราะห์สายฟ้า แผ่นค่ายอาคมที่เดิมทีเป็นสีทองคำดำได้เปลี่ยนเป็นสีม่วงทอง ลวดลายค่ายอาคมที่แกะสลักไว้ด้านบนสาดส่องแสงสีทองแห่งคุณธรรม
นางอัญเชิญแผ่นค่ายอาคมออกมา พลังศักดิ์สิทธิ์อันแข็งแกร่งก็แผ่กระจายไปอย่างท้วมท้น ทำเอาสัตว์ที่มาตามเสียงตกใจกลัวหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
เฟิงซิวเห็นแผ่นค่ายอาคมทำนายฉีเหมินไท่จี๋ที่สมบูรณ์แบบ และวิถีค่ายอาคมสี่สิบเก้าขั้นของแผ่นค่ายอาคมกระสับกระส่ายพร้อมที่จะเคลื่อนไหว
เขาหวาดกลัวเล็กน้อย
เขามองฉินหลิวซีเรียกแผ่นค่ายอาคมกลับไป ทันทีเข้าสู่ฝ่ามือของนาง เขาก็เบิกตาโตในทันที กล่าวว่า “ท่านหล่อหลอมเป็นแผ่นชะตาชีวิตหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า
“ท่าน!” เฟิงซิวร้อนใจ ไม่อาจระงับพลังปีศาจได้ ฟุ้งกระจายอย่างบ้าคลั่ง
เหตุใดจึงได้หล่อหลอมแผ่นค่ายอาคมนี้ แล้วเตรียมไว้เพื่อใคร ในใจเขารู้ดี แผ่นค่ายอาคมชะตาชีวิต หากถูกทำลาย นางก็จะตายด้วยเช่นกัน
“ตื่นตระหนกอะไร ไม่ต่อสู้โดยไม่เตรียมพร้อมนั้นเป็นนิสัยของข้าอยู่แล้ว วางใจเถิด หากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่มีทางเดินไปถึงขั้นสุดท้าย” ฉินหลิวซียิ้มพลางเดินไปหา ตบบ่าเขาเบาๆ “สหาย เมื่อถึงเวลาก็ต้องอาศัยให้เจ้าช่วยออกแรงให้มากหน่อย”
เฟิงซิวเต็มไปด้วยความขมขื่น
“อย่าทำหน้าเศร้าไปเลย ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย แผ่นอาคมศักดิ์สิทธิ์สำเร็จแล้ว ข้าเองก็ก้าวหน้าไปด้วย มีโอกาสชนะมากขึ้นแล้ว พวกเรามาจัดการเขาด้วยกัน!” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “เอาล่ะ เก็บข้าวของ พวกเรากลับเมืองหลวง”
แม้ว่าจะต้องต่อสู้กับซื่อหลัวที่คาดเดาไม่ได้ แต่จะไปแล้วไปเลยไม่ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่มั่นคงของราษฎรเมื่อเกิดการต่อสู้ จะต้องกำชับพวกฉีเชียนให้เตรียมพร้อม
กำชับก็คือการบอกลากระมัง
เฟิงซิวลดสายตาลง ถอนหายใจ
และซื่อหลัวในเวลานี้ มองดูอู๋ฉิงที่ขดตัวเป็นก้อนกลมจากที่สูง กล่าวว่า “หลังจากเลี้ยงเจ้ามาหลายปี แม้แต่เข้าใกล้ยังทำไม่ได้ จะเก็บเจ้าไว้ทำไม หรือว่าเส้นทางไร้หัวใจของเจ้า ไม่ได้ฝึกฝนอย่างสมบูรณ์แบบ เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้า”
เขายื่นมือออกมา ดึงสามจิตเจ็ดวิญญาณออกมาจากวังจิตของนาง บดขยี้ดวงวิญญาณและจิตที่เป็นความรักและความสุข ยัดกลับคืนไป แล้วเสกผนึกวิญญาณ
อู๋ฉิงกรีดร้องพลางสั่นไปทั้งตัว ในไม่ช้าก็เหม่อลอย ทั้งร่างกายราวกับตายไปแล้วเหมือนเสื้อคลุมสีดำของนาง
“ประโยชน์เดียวของเจ้าก็คือเป็นจิตมารของนาง ไปเถิด” ซื่อหลัวยกริมฝีปาก
เขามองท้องฟ้าก่อนจะขมวดคิ้วแล้วผ่อนคลาย ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็หัวเราะในลำคอขึ้นมา ครั้งนี้เจ้าเด็กเมื่อวานซืนได้เผยกรงเล็บออกมาจริงๆ แล้ว
………………..