คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1233 บุตรจะจากไปไกล
ตอนที่ 1233 บุตรจะจากไปไกล
………………..
ฉีเชียนมองดูกุญแจหัวสุนัขจิ้งจอกในมือ รู้สึกลวกมือเล็กน้อย มากไปกว่านั้นคือความรู้สึกซาบซึ้งและละอายใจ
เขามองไปยังเสนาบดีลิ่น กล่าวว่า “เรื่องนี้มีเพียงเราสามคนเท่านั้นที่รู้ หากไม่จำเป็นจริงๆ เราจะไม่ใช้กุญแจนี้”
เสนาบดีลิ่นกับอวี๋เหมี่ยวยกมือขึ้นคำนับ ใบหน้าเต็มไปด้วยความนับถือ กล่าวว่า “ลัทธิเต๋ามีแนวคิดกอบกู้โลกรับใช้อาณาจักรในยามลำบาก ถอยกลับไปบำเพ็ญเต๋าในยามเจริญรุ่งเรืองนั้นเป็นเรื่องจริง พวกเขาเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญที่แท้จริง เป็นห่วงใต้หล้า”
ฉีเชียนกล่าวว่า “ดังนั้นเราอยากจะสร้างร่างทองให้พวกเขา ได้ยินมาว่าพลังแห่งความปรารถนาก็ช่วยผู้ที่ฝึกบำเพ็ญได้มากเช่นกัน”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอันเหมาะสม ก่อนหน้านี้มีเรื่องวุ่นวายมากมายเกี่ยวกับเทพเจ้าน้ำ ราษฎรก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก หากตอนนี้ฝ่าบาทต้องการจะสร้างร่างทองให้อาจารย์ เกรงว่าจะทำให้ราษฎรสูญเสียความมั่นใจในฝ่าบาทและราชสำนัก เมื่อเกิดหายนะใหญ่ขึ้น พวกเราจะยิ่งดำเนินการได้ยาก” เสนาบดีลิ่นกล่าวพลางส่ายหน้า
ฉีเชียนขมวดคิ้ว “เช่นนั้นพวกเราช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือ”
อวี๋เหมี่ยวก้าวไปข้างหน้าพลางเอ่ย “หรือว่าจะลองสร้างกระแสในหมู่แวดวงผู้มีอำนาจในเมืองหลวงก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเชียนมองไป
“คนเราชอบไปตามกระแส หากเป็นความชอบส่วนตัวของฮ่องเต้ ไม่ว่าจะเพื่อเอาใจพระองค์หรือเพื่อสิ่งอื่น ก็จะต้องคล้อยตามไปด้วย” อวี๋เหมี่ยวกล่าวว่า “ความศรัทธาของฮ่องเต้คืออะไร ขุนนางที่อยู่ภายใต้การปกครอง เพื่อที่จะทำให้ฝ่าบาทถูกใจ ก็จะคล้อยตามไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่เสนาบดีลิ่นเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่ว่าไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมไม่ใช่หรือ”
“อารามชิงผิงก็สืบทอดมานับพันปี นับว่าเป็นนิกายโบราณ ไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายที่เกิดจากเทพเจ้าน้ำ และอารามชิงผิงก็ไม่เคยหยุดทำการกุศล ท่านเจ้าอาวาสก็คือไต้ซือที่มีจิตใจฝักใฝ่ในความดี สองปีนี้เกิดภัยพิบัติ นางก็ได้พาลูกศิษย์ในอารามชิงผิงช่วยรักษาโรคระบาดแก่ผู้คน บุญกุศลที่นางทำแต่ภายนอกก็เพียงพอที่จะทำให้ฮ่องเต้นับถือในตัวนางแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ส่วนสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ แต่ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ในใจมีความศรัทธาก็พอแล้ว
อวี๋เหมี่ยวยกมือขึ้นคำนับพลางกล่าวว่า “วันพระราชสมภพของฮ่องเต้ใกล้มาถึงแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถจัดงานใหญ่ได้ แต่เชิญข้าราชบริพารคนสำคัญมางานเลี้ยงเล็กๆ จากนั้นก็ให้ทางฝั่งไทเฮาจัดงานเลี้ยงเชิญบรรดาฮูหยิน เพียงแค่บอกต่อกันเล็กๆ น้อยๆ ก็จะสามารถแพร่กระจายได้แล้ว”
เสนาบดีลิ่นพยักหน้าเล็กน้อย “ความจริงแล้วในเมืองหลวงก็มีฮูหยินมากมายที่บูชาแผ่นป้ายอายุยืนของท่านอาจารย์”
ฉีเชียนแบกุญแจจิ้งจอกในมือ กล่าวว่า “ได้”
เขาไม่รู้ว่ากุญแจดอกนี้เก็บสิ่งของไว้มากมายเท่าไหร่ แต่หากสามารถบรรเทาความวุ่นวายได้อย่างรวดเร็ว ก็จะสามารถช่วยราษฎรได้มากมาย ทำให้ใต้หล้าสงบสุข
เสนาบดีลิ่นกับอวี๋เหมี่ยวต่างก็มองเครื่องรางหยกในมือ บีบมันแล้วแขวนไว้บนเอวอย่างเงียบๆ
หลายคนรู้สึกเคร่งขรึมเล็กน้อย
การจากลาครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจออีกหรือไม่ ดังนั้นนางจึงได้ให้สิ่งของเหล่านี้?
ด้านนอกประตูวัง ฉินหลิวซีเหลือบมองเฟิงซิวที่มีท่าทางห่อเหี่ยว กล่าวว่า “เอาล่ะ เจ้าก็ไม่ใช่มังกรเสียหน่อยที่จะได้มาสะสมของสีทองแวววาว เป็นถึงราชาปีศาจ ใจกว้างหน่อย พวกสิ่งของไร้สาระเหล่านั้นสละได้ก็สละ”
เฟิงซิวยิ้มใบหน้านิ่ง “ก็จริง สิ่งของไร้สาระเหล่านั้น เดิมทีข้าสะสมไว้ให้กับคนที่รักเงินทองเท่าชีวิตคนหนึ่ง หมดแล้วก็หมดไป”
เขาทำท่าทางจะทิ้งใบสัญญากู้ยืมที่ประทับตราแล้วในมือ “สัญญานี่ ทิ้งมันไปก็ดี”
ฉินหลิวซีชะงักฝีเท้า “ใครบางคน ข้าหรือ”
เฟิงซิวยิ้มอย่างร้ายกาจกว่าเดิม ใช่แล้ว ประหลาดใจหรือไม่ เจ็บปวดหรือไม่
ฉินหลิวซีรีบแย่งใบสัญญากู้ยืมมาทันที กล่าวว่า “เก็บไว้ๆ ไม่แน่อาจจะได้ใช้”
เฟิงซิวหัวเราะเยาะ “ไม่ใจกว้างหน่อยแล้วหรือ”
ฉินหลิวซียิ้มอย่างลำบากใจ มองไปทิศทางใต้
เฟิงซิวเก็บรอยยิ้มหยอกล้อ กล่าวว่า “กลับไปกินน้ำแกงร้อนๆ เถิด”
“ไม่ ข้าไม่ชอบอะไรน่าเบื่อเช่นนั้น…”
เฟิงซิวหายตัวไปจากจุดนั้น เหลือเพียงเสียง “อย่ามาไร้สาระ เจ้าก็เป็นสตรีคนหนึ่ง เป็นบุตรสาวสุดที่รักของคนในครอบครัว”
ฉินหลิวซีส่ายหน้า มุ่งหน้าไปยังทิศทางตระกูลฉิน
ฤดูหนาว กลางวันสั้นกลางคืนยาว ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว
ฉินหลิวซีเข้าไปในเรือนของตระกูลฉินอย่างเงียบๆ เห็นว่าในเรือนจุดโคมไฟสว่างแล้ว แสงไฟสีส้มทำให้หัวใจคนรู้สึกอบอุ่น
อาจูเด็กสาวใบ้ ไม่ใช่เด็กสาวใบ้อีกต่อไป ฉินหลิวซีได้รักษาให้นางหายนานแล้ว
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “หรือว่าข้าเป็นผี”
“ถุยๆๆ ท่านจะกล่าวอัปมงคลเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ” อาจูดเอ่ยดุๆ “บ่าวจะไปบอกฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้อง ข้าจะไปคารวะเอง”
อาจูรีบวางน้ำมันตะเกียงลง กล่าวว่า “บ่าวจะนำทางให้ท่านเองเจ้าค่ะ”
เรือนหลัก
สะใภ้หวังกำลังพูดคุยอยู่กับอนุวั่น เมื่อรู้ว่าฉินหลิวซีกลับมาแล้วก็ลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจทันที
เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าจริงๆ นางก็ตาแดงก่อนที่จะเอ่ยอะไรออกมา พลันรู้สึกจุกอยู่ในลำคอ
ฉินหลิวซีคารวะนาง “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“สบายดี เรียบร้อยดีทุกอย่าง” สะใภ้หวังยิ้มทั้งน้ำตา
จากนั้นฉินหลิวซีก็คารวะอนุวั่น อนุวั่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้รับการคารวะ กล่าวว่า “พอกลับมาก็จริงจังเช่นนี้ เกรงว่าเจ้าคิดจะทำอะไรประหลาดๆ ข้ากับท่านแม่ของเจ้าอายุมากแล้ว ทนรับความตกใจไม่ไหวหรอกนะ”
“พระคุณแม่ผู้ให้กำเนิด ท่านได้รับการคารวะเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” ฉินหลิวซีหันไปมองสะใภ้หวัง “จัดงานเลี้ยงในครอบครัวเถิด”
สะใภ้หวังตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง รีบกล่าวทันทีว่า “ได้ แม่นมเสิ่น เจ้ารีบไปจัดการ พอดีเลย เมื่อวานนี้หมิงฉุนกลับมาก็เตรียมจะฉลองปีใหม่ ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เจ้ากลับมาได้เวลาพอดี”
ทันทีที่กล่าวจับ สองร่างแข็งแกร่งก็เข้ามาพร้อมกับลมหนาว เมื่อเห็นฉินหลิวซีก็ตะโกนพร้อมกันว่า “พี่หญิงใหญ่”
ฉินหลิวซีหันไป ฉินหมิงเยี่ยนกับฉินหมิงฉุนซึ่งเติบโตเป็นชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ด้วยกัน ใบหน้าทั้งสองเต็มไปด้วยความดีใจ
“แต่งงานก่อนแล้วค่อยสร้างตัว ท่านแม่ควรจะมีหลานชายได้แล้ว ให้กำเนิดบุตรหลายคนหน่อย พวกนางเลี้ยงไหว” ฉินหลิวซีมองฉินหมิงเยี่ยนพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ฉินหมิงเยี่ยนหน้าแดงเล็กน้อย “เหตุใดพอท่านกลับมาก็พูดเรื่องนี้”
ฉินหมิงฉุนก้าวไปข้างหน้า เอ่ย “พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่ที่นี่ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่”
ดวงตาหลายคู่จ้องมองมา
“ข้าเป็นผู้ที่ออกบวช ผู้ฝึกบำเพ็ญจะอยู่ที่เรือนได้อย่างไร” ฉินหลิวซีดีดหน้าผากเขา กล่าวว่า “หัวหน้าสำนักถังเป็นอาจารย์ที่ดี เจ้าต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน อย่าผิดต่อคำสอนของอาจารย์”
“อ้อ”
สะใภ้หวังหัวใจเต้นรัว คำพูดนี้เหตุใดจึงดูเหมือนคำสั่งเสียอะไรบางอย่าง นางกระทั่งริเริ่มที่จะจัดงานเลี้ยงครอบครัวเอง จะจากไปไกลหรือ
ตระกูลฉินดีใจเป็นอย่างมากกับการกลับมาอย่างกะทันหันของฉินหลิวซี ส่วนบ้านรอง ได้ถูกนายท่านผู้เฒ่าไล่ไปอยู่ในหมู่บ้าน เนื่องจากเจ้ารองเกือบจะก่อกบฏกับลูกเขยของตน เป็นเพราะฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่ได้ถือสาเอาความจึงได้รักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็ทำได้เพียงไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านทบทวนตัวเอง
เมื่อไม่มีบ้านรองแล้ว บ้านใหญ่กับบ้านสามก็สนิทสนมราวกับครอบครัวเดียวกัน งานเลี้ยงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข และฉินหลิวซีก็ได้มอบเครื่องรางหยกคุ้มภัยให้แต่ละคน ซ้ำยังเก็บสูตรยาอันล้ำค่าหลายแผ่นไว้ที่ตระกูลฉินเพื่อเป็นมรดกตกทอดของตระกูล
นางไม่ได้ปฏิเสธที่สะใภ้หวังรั้งให้อยู่ต่อ และพักอยู่ที่ตระกูลฉินเป็นเวลาหนึ่งคืน จนกระทั่งถึงรุ่งเช้า นางได้ปลุกเสกค่ายอาคมของตระกูลฉินเพิ่ม จากนั้นจึงจากไปอย่างเงียบๆ
ท้องฟ้าสว่าง เมื่อคนตระกูลฉินมาที่เรือนของนางอีกครั้ง คนผู้นั้นได้หายตัวไปแล้ว น้ำตาไหลอาบแก้มทันที
บุตรจะจากไปไกล ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริง
………………..