คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1234 อารามชิงผิง ข้าจะเฝ้าแทนท่านเอง
ตอนที่ 1234 อารามชิงผิง ข้าจะเฝ้าแทนท่านเอง
………………..
ในช่วงปลายปีแรกของรัชศกคังผิง เกิดปรากฏการณ์ประหลาดบ่อยครั้งตามสถานที่ต่างๆ มีคนเห็นอุกาบาตร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า บางคนก็เห็นเมฆดำกลายเป็นสัตว์ร้าย บางคนก็เห็นท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเขียวน่าหลงใหลราวกับมีปีศาจเคลื่อนไหว ทำเอาคนรู้สึกหวั่นใจ และคนที่ไม่พอใจที่ฉีเชียนครองบัลลังก์ก็จงใจเผยแพร่ข่าวลือว่าคุณธรรมของเขาไม่คู่ควรกับตำแหน่ง
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง สำนักหอดูดาวหลวงกังวลเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาคำนวณว่าจะมีปรากฏการณ์สุริยุปราคา ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ทุกคนต่างก็พากันหวาดกลัว
แม้ว่าฉีเชียนซึ่งรู้เรื่องราวภายในจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เนื่องจากมีฉินหลิวซีเปิดเผยทุกอย่างให้พวกเขาได้รู้ล่วงหน้า จึงไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก และเขาก็ไม่ได้สนใจเสียงของราษฎรที่เกิดความสงสัย ทำตามที่อวี๋เหมี่ยวกล่าว สร้างความศรัทธาของตัวเองขึ้นมาก่อน
ดั่งที่อวี๋เหมี่ยวกล่าว ขุนนางผู้มีอำนาจรู้ดีว่าจะดูสีหน้าของผู้บังคับบัญชาการอย่างไร เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้นับถือเต๋าบูชารูปเคารพ เพื่อเป็นการตอบรับ พวกเขาก็บูชาด้วยเช่นกัน ไม่บูชารูปเคารพ ก็บูชาป้ายอายุยืนได้เช่นกัน
ฉินหลิวซีรู้สึกถึงพลังแห่งความศรัทธาที่เพิ่มขึ้น ประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อทำนายดูก็หัวเราะออกมาเบาๆ
โลกหนอโลก
สำหรับการกลับมาของฉินหลิวซี บรรดาลูกศิษย์ในอารามชิงผิงต่างก็มีความสุขเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสง่าราศีของเจ้าอาวาส ก็ได้รู้ว่านางได้ก้าวหน้าไปถึงขั้นสูงอีกขั้นแล้ว เจ้าอาวาสอารามชิงผิงของพวกเขาควรได้รับเกียรติในฐานะเจินจวิน[1] เมื่อมองดูผู้ฝึกบำเพ็ญที่ปรากฏตัวในใต้หล้าทุกวันนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่มาถึงขั้นสร้างรากฐาน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเจินจวิน นี่คือเอกลักษณ์ของอารามชิงผิงของพวกเขา
ฉินหลิวซีหยิบธูปบูชาเทพขึ้นมาสามดอก จุดธูปด้วยความเคารพยกขึ้นระดับเดียวกับหน้าอกเพื่อบูชา ก่อนจะปักลงบนกระถางธูป มองไปยังรูปปั้นของเจ้าลัทธิเต๋า กล่าวว่า “ข้าเป็นถึงลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดที่เคยมีมาตั้งแต่ก่อตั้งอารามชิงผิง ท่านต้องคุ้มครองข้า ประทานพลังศักดิ์สิทธิ์และอภินิหารให้มากหน่อย เพื่อไม่ให้ความโดดเด่นของข้าตกต่ำลง ทำให้อารามชิงผิงไร้ผู้สืบทอด”
เจ้าลัทธิเต๋ามองด้วยความโกรธ ควันธูปพริ้วไหว ราวกับระบายความไม่พอใจ
ศิษย์ทรพีช่วยเอ่ยสิ่งที่เป็นมงคลหน่อยไม่ได้หรือ
“แม้ว่าท่านจะดูถูกข้า ไม่เต็มใจคุ้มครอง เช่นนั้นก็คุ้มครองอารามชิงผิงของพวกเราและลูกศิษย์รุ่นต่อไปด้วย เขาเป็นต้นกล้าลัทธิเต๋าแต่กำเนิด เป็นต้นกล้ารุ่นต่อไปเพียงหนึ่งเดียวของอารามพวกเรา” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไปว่า “ต้นกล้าเพียงหนึ่งเดียวนั้นเป็นสิ่งล้ำค่า หากตัดขาด มรดกตกทอดก็จะขาด ดังนั้นท่านต้องคุ้มครองเขา”
เจ้าโสมน้อยเข้าใกล้เขาอย่างไม่สบายใจ อยู่บนไหล่ของเขา หนูทองตัวอ้วนกลมนั่งยองๆ ดวงตาสีทองคู่นั้นเผยให้เห็นถึงความกังวล
“หากไม่เอ่ยอะไรก็ถือว่าท่านรับปากแล้ว” ฉินหลิวซียิ้ม เห็นรูปปั้นทองคำของตัวเองอยู่ใต้แท่นของเขา เมื่อได้รับควันธูปก็แข็งแกร่งกว่าพลังศรัทธาทั่วไปจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ซื่อหลัวจะเกิดความโลภในความเป็นกึ่งเทพของเฟิงปั๋ว
นางหันหลังกลับไป มองไปยังอวี้ฉังคงที่ยืนอยู่ในวิหารใหญ่เช่นกัน
เห็นว่าเขาสวมชุดลัทธิเต๋าสีพื้น ผมสีดำถูกเกล้าขึ้น ใบหน้าดูหมองคล้ำ แต่ก็ไม่สามารถปกปิดสง่าราศีของผู้สูงศักดิ์ได้
“เจ้าคงไม่ได้อยากจะบวชในอารามชิงผิงของพวกเราหรอกกระมัง” ฉินหลิวซีเดินไปหาเขา “ผู้นำตระกูลอวี้มาเป็นสาวก พวกเขาต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน”
“ผู้สืบทอดรุ่นต่อไปกำลังเดินทางมา ส่วนข้า ข้าเป็นถึงผู้นำแล้ว อยากจะทำอย่างไรก็ทำ การที่ยินดีปลูกฝังทายาทคนหนึ่งเป็นเพราะข้าเห็นแก่แซ่และสายเลือดนี้” อวี้ฉังคงกล่าว “หากพวกเขากล้าเอ่ยอะไรไร้สาระโดยไร้ความรับผิดชอบ เช่นนั้นก็จะบวชอย่างเป็นทางการ”
ตระกูลอวี้ในตอนนี้ อวี้ลิ่งหลานซึ่งด้อยกว่าอวี้ฉังคงกลายเป็นคนโง่ไปแล้ว ใครๆ ต่างหวังพึ่งอวี้ฉังคง หากเขาเองก็ละทิ้งหน้าที่ เช่นนั้นเกรงว่าตระกูลอวี้จะจบลงแล้ว
ฉินหลิวซีเดินอยู่ข้างเขาพลางเอ่ย “ได้ยินเสนาบดีลิ่นบอกว่าปีหน้าลูกหลานตระกูลอวี้ก็จะเข้าร่วมการสอบราชสำนักด้วย”
“ในเมื่อถอดหน้ากากความสูงส่งออกแล้ว ก็ใช่ว่าจะเข้าสู่โลกไม่ได้ เมื่อเข้าสู่โลกแล้วจึงจะรู้ว่าตัวเองเหมาะกับเส้นทางไหน” อวี้ฉังคงเอ่ยเสียงเรียบว่า “เพียงแต่ว่าเข้าสู่โลกได้ เป็นขุนนางก็ได้ แต่หากใช้ชื่อเสียงของตระกูลอวี้ไปทำเรื่องไม่ดี เช่นนั้นก็ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลอวี้ของข้า”
ฉินหลิวซียกริมฝีปาก “แล้วเจ้าล่ะ”
อวี้ฉังคงชะงักฝีเท้าก่อนจะหันมองนาง กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ฮุ่ยเฉวียนแห่งวัดอวี้ฝอบอกว่าดวงตาของข้าชาญฉลาดมากเกินไป สามารถมองเห็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ หากใช้มากไปข้าก็จะตายเร็ว จริงหรือไม่”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “เจ้ามีวาสนากับลัทธิเต๋า แต่หัวใจเต๋านั้นดูเหมือนจะมีแต่ก็เหมือนไม่มี แต่ดวงตาทั้งสองข้างของเจ้าดันสามารถดูดวงดาวทำนายความโชคดีและความโชคร้ายได้ นี่ถือเป็นการสอดแนมความลับของสวรรค์เช่นกัน หากใช้มากไปย่อมเกิดผลสะท้อนกลับ หัวใจเต๋าของเจ้าไม่ได้บริสุทธิ์ และไม่ได้เข้าสู่ลัทธิเต๋าอย่างเป็นทางการ แม้ว่าเจ้าจะฝึกบำเพ็ญมาบ้าง แต่รากฐานตื้นเขินเกินไป ไม่สามารถต้านทานผลสะท้อนกลับเหล่านี้ได้ แม้ว่าจะไม่ได้ตายไปในทันที แต่เมื่อผ่านไปเป็นเวลานาน ย่อมได้ต้อนรับการมาของยมทูตขาวดำสองท่านนั้น”
อวี้ฉังคงกล่าวว่า “หัวใจเต๋า ต้องฝึกบำเพ็ญอย่างไร”
“ตระหนักรู้” ฉินหลิวซีเอ่ย “เมื่อเจ้าตระหนักรู้ถึงเต๋าที่เป็นของเจ้า ย่อมสามารถฝึกบำเพ็ญหัวใจเต๋าที่เป็นของเจ้าได้”
“ท่านมีเส้นทางของท่าน เส้นทางนั้นข้ารู้ว่าข้าไปไม่ถึง แล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้” อวี้ฉังคงหัวเราะอย่างขมขื่น น่าขันที่ตอนนั้นเขาอยากจะฝึกบำเพ็ญเต๋าเพื่อที่จะได้ยืนเคียงข้างคอยช่วยเหลือนาง
เขาเองก็มีนิสัยเสียของลูกหลานตระกูลอวี้เช่นกัน เย่อหยิ่งทะนงตน!
อวี้ฉังคงกล่าวเสริมว่า “ต่อสู้กับปีศาจ ข้าช่วยอะไรไม่ได้ แต่อารามเต๋าแห่งนี้ ข้าเฝ้าแทนท่านได้”
ทันทีที่กล่าวคำนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นฉินหลิวซีหรือเถิงเจาที่อยู่ไม่ไกล ต่างก็ประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้ายังไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมลัทธิเต๋า แต่ข้ายินดีที่จะมุ่งไปทางเต๋า ข้าอยู่เป็นฆราวาสประจำของที่นี่ จะรักษาควันธูปของอารามเต๋าแห่งนี้ไม่ให้ขาดจนกว่าท่านจะกลับมา” อวี้ฉังคงมองนางด้วยดวงตาที่สดใส กล่าวว่า “ท่านยินดีที่จะเชื่อข้าหรือไม่”
ฉินหลิวซียื่นมือ แตะลงบนแท่นวิญญาณของเขา กล่าวว่า “คำพูดของเจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว เหตุใดจะไม่เชื่อเจ้า เพียงแต่ข้ามีลูกศิษย์ หากเขารักษาอารามเต๋าไว้ไม่ได้ คอยดูข้าจะหักขาเขา”
นางเอ่ยพลางมองไปทางเถิงเจา
เถิงเจาสีหน้าไร้ความรู้สึก สายตาจ้องมองไปที่นาง ความดื้อรั้นนั้นฉินหลิวซีรู้ในทันทีว่าเขาได้ใครมา
อวี้ฉังคงหัวเราะเบาๆ “ควันธูปของอารามจินหัวเจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียงโด่งดัง ก็ไม่ได้จำเป็นต้องให้ปรมาจารย์ไท่เฉิงมาดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ให้ความสำคัญกับการฝึกบำเพ็ญแทน เจ้าอาวาสน้อยก็เป็นเช่นนั้น หากพลังแข็งแกร่งพอ อารามชิงผิงก็ยิ่งจะมีความมั่นใจ ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าจะเป็นคนจัดการเอง”
ชิงหย่วนที่เดินผ่านใต้ชายคาหยุดชะงักฝีเท้า ก่อนจะหันมองมาทางด้านนี้ เขานับข้อนิ้วทำนาย ลางร้ายเล็กน้อย มีคนจะมาแย่งงานผู้ดูแลใหญ่ของข้าหรือ
ฉินหลิวซีรู้ว่าเรื่องที่อวี้ฉังคงตัดสินใจแล้วไม่สามารถเกลี้ยกล่อมได้ จึงเอ่ย “ฝึกบำเพ็ญจะฝึกที่ไหนก็ได้ แต่หากเจ้ายินดีที่จะฝึกบำเพ็ญในอารามชิงผิง นั่นก็คือความหมายของการมีอยู่ของมัน เพราะมีคนเต็มใจที่จะมาที่นี่ เต๋า เจ้าสามารถฝึกบำเพ็ญได้ แต่ดวงตาคู่นี้ของเจ้า กลับไม่สามารถใช้สุ่มสี่สุ่มห้าได้ สอดแนมความลับของสวรรค์ ผลกรรมนั้นใหญ่หลวง”
“ตกลง” อวี้ฉังคงยิ้มพลางเอ่ย “เมื่อท่านกลับมาจะต้องได้เห็นควันธูปที่เจริญรุ่งเรืองของอารามชิงผิง คำไหนคำนั้นดีหรือไม่”
ฉินหลิวซีมองดูนิ้วก้อยของเขาที่ยื่นออกมา ปลายนิ้วสั่นเล็กน้อย เฟิงซิวที่รู้สึกอิจฉาจนแทบทนไม่ไหวอยู่นานแล้วบนหลังคาได้กระโดดลงมา เอานิ้วไปเกี่ยว “เช่นนั้นก็คำไหนคำนั้น”
ถุย ตาเฒ่าอายุปูนนี้ อยากจะเกี่ยวก้อยกับสาวน้อย ฝันไปเถอะ!
[1] เจินจวิน แปลว่า “เทพผู้สมบูรณ์”