คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1235 ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมมีอนาคตและความหวัง
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 1235 ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมมีอนาคตและความหวัง
ตอนที่ 1235 ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมมีอนาคตและความหวัง
………………..
ฉินหลิวซีมองเถิงเจาที่เดินตามตัวเองทีละก้าวพลางหัวเราะ
“เจ้ากลายเป็นเด็กเดินตามติดตูดตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมหรือ กลัวอาจารย์จะหนีไปหรือ”
“ขอรับ” เถิงเจาเอ่ยด้วยน้ำเสียงบูดบึ้ง
ฉินหลิวซีเอ่ย “ไปเร็ว พวกเราอาจารย์ศิษย์มาสู้กันสักตั้ง”
เถิงเจาตกตะลึง
“วางใจเถิด ข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้า เพียงแค่จะสอนเคล็ดลับบางอย่างแก่เจ้า และดูว่าปีนี้เจ้าบำเพ็ญจนตระหนักรู้อะไรได้บ้าง พวกเรามาสู้กันจริงๆ สักตั้ง” ฉินหลิวซีลากเขาไปที่หุบเขาด้านหลัง
อาจารย์และศิษย์เผชิญหน้ากัน แต่ละคนถือกระบี่ไม้ท้อหนึ่งเล่ม ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “อาจารย์จะต่อให้เจ้าสิบกระบวนท่า มาสู้กันเลย”
เถิงเจาสายตาเฉียบคม ถือกระบี่ไม้ท้อ ระดมพลังวิญญาณทั้งหมดที่มี เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า กระบี่ไม้ท้อโจมตีนางด้วยพลังคุณธรรมอันเกรี้ยวกราด
ในฐานะนักพรตเต๋า จับผีไล่สิ่งชั่วร้ายนั้นเป็นเรื่องปกติ อย่าคิดว่าเพียงแค่ต้องอาศัยพลังวิญญาณกับเครื่องรางและยันต์ต่างๆ เหล่านี้ สมรรถภาพทางร่างกายก็มีความสำคัญเช่นกัน หากอ่อนแอเหมือนกับสาวงาม ดูเหมือนคนป่วยเซื่องซึมตลอดเวลา แม้แต่ยันต์สักแผ่นก็วาดออกมาไม่ได้ ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องการอัญเชิญเครื่องราง
และระหว่างการต่อสู้ ไม่จำเป็นต้องมีกำลังกายหรือ
เพียงแค่สองสามกระบวนท่าก็หายใจหอบแล้ว ยังจะไปสู้กับใครได้ แม้แต่ผีก็ยังสามารถยึดครองร่างได้
ดังนั้นการฝึกฝนร่างกายของลัทธิเต๋าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง มีทักษะกระบวนท่าและการก้าวเท้า ไม่จำเป็นต้องพูดถึงกระบวนท่า หากฝึกฝนการก้าวเท้าได้ดี การเคลื่อนไหวร่างกายจนแทบไม่เห็นเงาได้แล้ว สู้ไม่ได้ก็ยังหนีไปได้ไม่ใช่หรือ
เถิงเจาที่รู้ดีว่าตัวเองมีฝีมือแค่ไหนไม่คิดว่าจะสามารถทำร้ายอาจารย์ได้ ย่อมไม่มีทางออมมือ ตั้งแต่เริ่มต้นก็ได้เคลื่อนไหวฝีเท้าอย่างเต็มที่ กระบวนท่าไม่ซับซ้อน สิ่งที่ใช้ล้วนเป็นกระบวนท่าสังหาร
พูดเป็นเล่น หากฝ่ายตรงข้ามเป็นปีศาจร้าย เขาก็จะซ่อนเร้นไม่ยอมเปิดท่าไม้ตายเพราะจะกลัวมันเจ็บหรือ จะต้องใช้กระบวนท่าสังหาร เน้นการรีบรบรีบจบ ต่อสู้เสร็จจะได้กลับไปฝึกบำเพ็ญ
ฉินหลิวซีพอใจเป็นอย่างมาก นางไม่กลัวว่าเขาจะสู้ตาย แต่กลัวว่าเขาจะออมมือเพราะเห็นว่าเป็นตัวเอง
เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
การออมมือเป็นการไม่เคารพผู้อาวุโส ไม่ใช่ความยำเกรง แต่เป็นการดูถูกซึ่งกันและกัน
ฉินหลิวซีหลีกเลี่ยงการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย ใช้ระดับพลังยุทธ์เดียวกันกับเขาโจมตีกลับ ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถชี้แนะทักษะการก้าวฝีเท้าให้เขาได้อีกด้วย ตรงไหนมีข้อบกพร่อง ตรงไหนมีจุดอ่อน
เถิงเจาฟังคำสอนพลางปรับเปลี่ยนกระบวนท่า พลังวิญญาณยิ่งเกรี้ยวกราดมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉินหลิวซีสีหน้าผ่อนคลาย
ยิ่งเถิงเจาต่อสู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งคล่องตัวมากขึ้นเท่านั้น การที่เขาสามารถเป็นลูกศิษย์ของฉินหลิวซีได้ เป็นเพราะมีพรสวรรค์จริงๆ โดยพื้นฐานแล้วเขาก็มีนิสัยที่แข็งแกร่งเมื่อเจอกับผู้ที่แข็งแกร่งเหมือนกันกับนาง
ถึงแม้ว่าเขาจะเอาชนะนางไม่ได้ก็ตาม
แต่การได้ต่อสู้อาคมกับผู้ที่แข็งแกร่ง เดิมทีก็เป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ลำดับขั้น แต่หากพบจุดบกพร่องขึ้นมา มดก็ยังสามารถเอาชนะช้างได้เช่นกัน
พลังวิญญาณของเถิงเจาลดลงอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวค่อยๆ ช้าลง เจ้าโสมน้อยกับหนูทองที่กำลังเฝ้าดูการต่อสู้เอามือปิดตา แย่แล้ว กำลังจะแพ้แล้ว
หลังจากที่พลังวิญญาณหยดสุดท้ายหมดลง เถิงเจาก็กระอักเลือดออกมา กระจายอยู่บนพื้นขนาดกว้าง เอ่ย “ศิษย์แพ้แล้ว”
ฉินหลิวซีเดินมาพยุงเขาลุกขึ้น เอ่ย “ไม่เลวเลย เจ้ามีความรับผิดชอบและมีความมั่นใจของเจ้าอาวาสแล้ว”
เถิงเจาตัวแข็งทื่อ มองไปที่นาง
ฉินหลิวซียัดยาลูกกลอนใส่ปากเขาหนึ่งเม็ด เอ่ย “ไม่ต้องพูดอะไร ข้าจะบอกเคล็ดลับ เจ้านำทางพลัง เคลื่อนย้ายมหาจักรวาลและจุลจักรวาลหมุนเวียนไป เมื่อพลังวิญญาณหมดสิ้นแล้วรวบรวมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เป็นความก้าวหน้าเล็กๆ น้อยๆ”
ยาลูกกลอนละลายในปาก
เถิงเจาหลับตาลง มือทั้งสองข้างร่ายคาถา เมื่อหูได้ยินคำแนะนำการฝึกบำเพ็ญ เขาก็ท่องมันอย่างเงียบๆ นำทางพลังจากจุดเทียนหลิงเคลื่อนย้ายไปทั่วกระดูกแขนขา
พลังวิญญาณของธาตุทั้งห้าในใต้หล้าหลั่งไหลมาจากทั่วทุกทิศทาง ถูกเถิงเจานำทางเข้าสู่เส้นลมปราณ หลั่งไหลไปทั่วร่างกาย จากนั้นก็กลายเป็นของเหลวทางจิตวิญญาณขนาดเล็กตกลงไปในจุดตันเถียน[1]
ของเหลวทางจิตวิญญาณรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ มีชั้นหมอกปรากฏขึ้นปกคลุมทั่วทั้งร่างกายของเถิงเจา
เจ้าโสมน้อยและหนูทองพุ่งเข้ามา แต่ก็ไม่กล้ารบกวน เพียงแต่มองไปยังฉินหลิวซี เห็นว่าปากของนางขยับอยู่ แต่พวกมันกลับไม่ได้ยินว่านางกำลังเอ่ยอะไร
นี่เป็นมรดก หากไม่ใช่ลูกศิษย์ในสำนักจะไม่ได้รับ
ฉินหลิวซีกำลังถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองตระหนักรู้ให้แก่เถิงเจา
เถิงเจาก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก่อนที่เขาจะตัดขาด ก็ถูกฉินหลิวซีหยุดไว้
การตระหนักรู้ ความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญมาก มรดกสืบทอดก็สำคัญเช่นกัน
เขาเป็นลูกศิษย์ที่นางตั้งความหวังไว้สูง จะเป็นคนอ่อนแอไม่ได้
เถิงเจาสงบลง จดจ่ออยู่กับการตระหนักรู้ เพียงแต่หางตาของเขามีน้ำตาไหลออกมา หายเข้าไปในปอยผมของเขา
ฉินหลิวซีถ่ายทอดทุกสิ่งที่นางได้เรียนรู้มาตลอดชีวิตแก่เขา ไม่ใช่การฝึกบำเพ็ญ แต่เป็นพลังทางจิตวิญญาณ สลักทุกสิ่งที่นางตระหนักรู้ลงไปในวังจิตของเขา ราวกับตำราเล่มหนา ในภายภาคหน้าเขาจะสามารถตระหนักรู้ได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวของเขาเองแล้ว
เจ้าโสมน้อยหันกลับไป อุ้มหนูทองไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะมุดลงไปในดิน ร้องไห้ไม่หยุด
หากไม่ใช่เพราะจำเป็นจริงๆ ไหนเลยจะถึงขั้นถ่ายทอดมรดกเช่นนี้ พวกเขาอาจารย์ศิษย์อายุห่างกันเพียงเจ็ดแปดปี ตอนนี้คนหนึ่งอายุเพียงยี่สิบต้นๆ อีกคนใกล้จะสิบห้าปีแล้ว ย่อมมีเวลาที่จะเติบโตไปด้วยกัน
เดิมทีนางสามารถค่อยๆ สอนลูกศิษย์ได้ แต่ตอนนี้นางทำได้เพียงป้อนให้เขาทั้งหมดในคราวเดียว
เพราะกลัวว่าจะสายเกินไป
หนูทองถูกบีบจนน่าสงสาร จะร้องไห้ก็ร้องไห้ไปสิ ทำไมต้องบีบมันแล้วร้องไห้ด้วยเล่า
เป็นเพียงแค่ความก้าวหน้าเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้นำมาซึ่งเมฆด่านเคราะห์ เถิงเจาทะลุผ่านกำแพงกั้นได้อย่างง่ายดาย เข้าสู่ขั้นแปดของการหล่อหลอมพลังในคราวเดียว
ไม่เก่งเท่ากับฉินหลิวซี แต่เมื่อเทียบกับผู้ฝึกบำเพ็ญเต๋ามากมายในโลกนี้ เขามาถึงระดับการฝึกบำเพ็ญนี้ในอายุเพียงเท่านี้ นับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ แล้ว ก่อนหน้านี้เขาได้ตระหนักรู้ที่ซากวัตถุโบราณ ตอนนี้มีมรดกตกทอดจากฉินหลิวซี ด้วยพรสวรรค์ของเขา ตราบใดที่ฝึกบำเพ็ญอย่างขยันขันแข็ง หัวใจเต๋าไม่เปลี่ยนแปลง จะต้องแตะธรณีประตูขั้นการสร้างรากฐานกลายเป็นปรมาจารย์ได้อย่างราบรื่นแน่นอน
เมื่อเถิงเจาลืมตาขึ้น ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เมฆสีแดงเพลิงลอยอยู่เหนือศีรษะ ไม่มีเมฆด่านเคราะห์และฝนวิญญาณ แต่กลับมีเมฆแดงคอยให้กำลังใจ
“แม้ว่าจะไม่สู้อาจารย์ แต่ก็นับว่าไม่เลว ในเมื่อได้รับสืบทอดแล้ว ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหน เจ้าก็ต้องไม่พลาดการฝึกบำเพ็ญในทุกๆ วัน” ฉินหลิวซีมองเถิงเจาพลางเอ่ย “เส้นทางการฝึกบำเพ็ญนี้ไม่อาจหย่อนยานได้ และยิ่งไม่ควรเกียจคร้าน เจ้าต้องยึดมั่นในหัวใจเต๋า ส่งต่ออารามชิงผิงจากรุ่นสู่รุ่น”
“อาจารย์…” เถิงเจาขยับขา คุกเข่าลงตรงหน้านาง
ฉินหลิวซียื่นมือออกไปลูบศีรษะเขา จัดผ้าพันมวยผมของเขาให้ตรง ถอนหายใจพลางเอ่ย “จำได้ว่าตอนที่ได้พบเจ้าในตอนนั้น เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กเมื่อวานซืนที่หากไม่จำเป็นต้องพูดก็จะไม่พูด ตอนนี้โตขึ้นแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นคนไร้เหตุผลเสียได้” นางกอดอกพลางเอ่ย “อาจารย์ไม่ชอบคนไร้เหตุผล และยิ่งไม่ชอบทำให้ตัวเองไม่สบายใจ สำนักของพวกเราให้ความสำคัญเรื่องบุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระ ชนิดที่ไม่ปล่อยไว้ข้ามคืน หากรู้สึกไม่สบายใจก็จัดการ ศิษย์ข้า ความหดหู่ในใจไม่เป็นผลดีต่อการก้าวหน้า ดังนั้นไม่ต้องไปคิดถึงความขมขื่นเหล่านั้น ท้องฟ้าจะสดใสในทุกๆ วัน ดวงอาทิตย์ก็ยังขึ้นตามปกติเช่นเคย อีกอย่างอย่ากลัวที่จะพุ่งเข้าชนปัญหา สู้ไม่ได้ก็หนี ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ย่อมมีอนาคตและความหวัง”
เถิงเจา “?”
เจ้าโสมน้อย ‘น้ำตาข้าเอาให้สุนัขกินไปแล้ว!’
หนูทอง ‘เคล็ดลับการสอนลูกศิษย์อารามชิงผิงนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ หนูได้ตระหนักรู้แล้ว!’
[1] จุดตันเถียน คือ จุดศูนย์กลางของพลังงานภายในร่างกาย