คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1237 กราบลาอาจารย์ ไปขุดสุสาน!
ตอนที่ 1237 กราบลาอาจารย์ ไปขุดสุสาน!
………………..
ฉินหลิวซีเข้าไปในศาลเทพประจำเมือง
เมื่อเทพประจำเมืองหนานเห็นนางก็ดีใจ แต่ในไม่ช้าก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงเอ่ย “มาๆ หายๆ เจ้ามาทำอะไรหรือ”
ฉินหลิวซียกของในมือขึ้น “ใกล้จะถึงวันตรุษจีนแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นอาจจะไม่ได้มากราบไหว้ท่าน ก็เลยมาบูชาท่านล่วงหน้า”
เมื่อเทพประจำเมืองหนานได้ฟังดังนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่มองสำรวจแขนเสื้อที่พันขึ้นของนาง
นางทำความสะอาดปัดกวาดฝุ่นให้รูปปั้นของเทพประจำเมืองหนานด้วยตัวเอง ซ้ำยังคลุมผ้าไหมสีแดงปักด้วยบทสวดเทพจินกวงให้เขา จากนั้นก็ถวายเครื่องบูชา เซ่นไหว้สุราดี แล้วจุดธูป
ด้วยความเคารพและผูกพัน
เทพประจำเมืองหนานรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวในวังจิต กล่าวว่า “มาเซ่นไหว้ข้าโดยไม่ได้มีเรื่องอะไร เจ้ามีอะไรก็กล่าวมาตามตรงเถิด มีอะไรที่เจ้าต้องการจากข้าหรือ”
“ก็มีอยู่หนึ่งเรื่อง”
หากไม่จำเป็นก็ไม่มาจริงๆ ด้วย
เทพประจำเมืองหนานกล่าวว่า “บอกมาเถิด เรื่องใดหรือ”
“ขอให้เทพประจำเมืองหนานคุ้มครองราษฎรด้วยเถิด” ฉินหลิวซียิ้มพลางยกจอกสุราขึ้น “หากเป็นไปได้ อยากจะให้ท่านประทานพรให้แก่ข้าด้วย”
เทพประจำเมืองหนานตกตะลึงเล็กน้อย กล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “คนอย่างเจ้าไม่จริงจังจะดีกว่า จู่ๆ ก็จริงจังขึ้นมา ทำเอาข้าใจคอไม่ดี”
ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้า ก้มหน้าผากลงบนตักของเขา กล่าวว่า “ข้ามีอาจารย์หนึ่งคน เป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งบิดา เขาพาข้าเข้าสู่ลัทธิเต๋า สอนศาสตร์ทั้งห้าของเสวียนเหมินแก่ข้า ชี้นำข้าให้เดินทางที่ถูกต้อง สิ่งที่เขาสอนข้าอยู่เป็นประจำคือทำความดีสั่งสมบุญกุศล ยึดมั่นในเต๋า ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจ ต่อมาข้าเข้าใจแล้ว เพราะข้าสูญเสียคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ ต้องชดใช้”
เทพประจำเมืองหนานรู้สึกเศร้าใจ กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นอาจารย์ ให้เจ้าทำความดีสั่งสมบุญกุศล ใช่ว่าจะให้เจ้าชดใช้ บางทีอาจเป็นเพราะเดิมทีเจ้าก็ต้องการบุญกุศลเหล่านี้อยู่แล้ว? บุญกุศลเป็นร่มเงาคุ้มครองตัวเองได้ ชดเชยบาปได้ เมื่อบาปถูกชำระล้างแล้ว เส้นทางการฝึกบำเพ็ญก็จะยิ่งกว้างขึ้น เป็นการปลดปล่อยผู้อื่นและปลดปล่อยตัวเอง”
“ปลดปล่อยผู้อื่นและปลดปล่อยตัวเอง” ฉินหลิวซีท่องตาม เอ่ยต่อไปว่า “ท่านพูดถูก ปลดปล่อยคน ปลดปล่อยผี ปลดปล่อยตัวเอง นี่ก็คือเต๋า” นางลูบขาของรูปปั้น กล่าวว่า “อาจารย์ของข้าไม่มีวาสนาในวัยชรา เดิมทีสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกร้อยปี ข้าเองก็ได้ปรุงยาสร้างรากฐานให้เขาแล้ว ขาดไปเพียงนิดเดียว เขาก็รอมันไม่ไหว ข้าในฐานะลูกศิษย์ ได้รับคำสอนจากเขา แต่กลับไม่อาจแสดงความกตัญญูได้ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะตำหนิข้าหรือไม่”
มือของเทพประจำเมืองหนานวางลงบนศีรษะของนาง กล่าวว่า “เจ้าก็บอกเองว่าสำหรับเจ้าแล้วเขาเป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งบิดา คนที่เป็นบิดาจะตำหนิบุตรของตัวเองหรือ เขาและเจ้าได้เป็นอาจารย์ศิษย์กัน ย่อมเป็นเพราะถูกกำหนดไว้แล้ว ชาติที่แล้วพวกเจ้ามีวาสนาต่อกัน ชาตินี้เขาจึงได้มายังโลกใบนี้เพื่อรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ เติมเต็มชะตากรรมนั้น วาสนาเกิดขึ้นและดับลง ล้วนเป็นเหตุและผล ไม่จำเป็นต้องยึดติดว่าวาสนานี้จะยาวนานแค่ไหน” เขาดวงตาอ่อนโยน กล่าวว่า “ทุกคนล้วนต้องตาย เขาตายไปแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ในหัวใจของเจ้าไม่ใช่หรือ ความจริงแล้วความตายไม่น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเจ้าลืมคนผู้นั้นไปแล้ว”
ทันทีที่กล่าวจบ วังจิตของเขาก็ถูกบางสิ่งกระแทกอย่างแรง กำแพงพังทลายลง มีภาพบางอย่างผุดขึ้นมา
เทพประจำเมืองหนานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ภาพผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่เขากลับช่วงชิงเอาไว้ทัน
เขาก้มศีรษะ มือสั่นเล็กน้อย
ฉินหลิวซีไม่ได้สังเกตเห็น หลับตาลงพลางเอ่ย “สิ่งที่ท่านกล่าวก็ถูกและไม่ถูก บางครั้งลืมไปแล้วก็ดีเช่นกัน อาจารย์ของข้าก็เหมือนกับท่าน ชอบดื่มสุรา มักจะขโมยสุราที่ข้าหมักไปดื่ม หากรู้แต่แรกว่าเขาอายุไม่ยืน ข้าก็จะไม่ห้าม ให้เขาดื่มเสียให้พอ ตาเฒ่าผู้นั้นไม่รู้ว่าความจริงแล้วข้าได้หมักสุราอายุร้อยปีไว้ให้เขาหนึ่งไห เตรียมจะให้เขาเปิดตอนอายุร้อยปี”
นางพลิกข้อมือ ไหสุราที่ถูกปิดผนึกด้วยโคลนปรากฏขึ้นตรงหน้า กล่าวว่า “ตอนตาเฒ่ายังมีชีวิตอยู่ไม่มีบุญปาก เทพประจำเมือง ท่านเสวยสุขแทนเขาเถิด”
เทพประจำเมืองหัวใจแตกสลาย
“สุรานี้ รอเจ้ามาคราวหน้า เจ้ากับข้ามาดื่มด้วยกันดีหรือไม่” เขากดไหสุราไว้
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้นมองไปที่เขา ผ่านไปเป็นเวลานานจึงได้เผยให้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้า “เช่นนั้นก็ดี รอข้าปราบปีศาจกลับมา ข้าจะคารวะสุราท่าน”
เทพประจำเมืองหนานรวมพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่วังจิตของนาง กล่าวเสียงเบาว่า “ในใจมีเต๋า วิชาเต๋าไร้ขอบเขต ผู้ที่ปกป้องเต๋า ย่อมมีสวรรค์คุ้มครอง”
วังจิตของฉินหลิวซีเต็มไปด้วยความอบอุ่น นางคุกเข่าลง โขกศีรษะคำนับเขาเก้าครั้ง “ศิษย์ฉินหลิวซีจะปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์อย่างจริงใจ ถือการปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องคุณธรรมเป็นหน้าที่ของตัวเอง กอบกู้โลกช่วยคนทุกข์ยาก”
นางยกมือขึ้นคำนับตามธรรมเนียมเต๋าอย่างเป็นทางการ หันหลังแล้วเดินออกไปจากสายตาของเทพประจำเมืองหนาน
กระแสจิตของเทพประจำเมืองหนานยังคงเฝ้าดูอยู่ตลอด จนกระทั่งนางหายไปในความว่างเปล่า เขาจึงได้พึมพำขึ้นมาว่า “เจ้าเด็กแสบ”
มีผู้ศรัทธาเดินเข้ามา เหลือบมองโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนจะขยี้ตา เมื่อครู่นี้เขาตาฝาดไปหรือ เหตุใดจึงเหมือนเห็นว่าเทพประจำเมืองน้ำตาไหล
…
หลังจากออกจากศาลเทพประจำเมือง ฉินหลิวซีก็ใช้กระแสจิตเล็กๆ น้อยๆ ที่ทิ้งไว้ในหัวของเถิงเจากำชับสองสามประโยค จากนั้นก็ไปที่สุสานบรรพบุรุษตระกูลเหยียน
ก่อนที่จะไปทำลายค่ายอาคมเส้นทางเทพเจ้า นางยังมีสิ่งสุดท้ายที่ต้องทำ
นั่นก็คือสุสานของเฟิงปั๋ว นางต้องจัดการ
เฟิงปั๋วเป็นกึ่งเทพ แม้ว่ากระดูกของเขาจะเป็นเพียงกระดูกของคนธรรมดา แต่เขามีคุณสมบัติเทพของกึ่งเทพ ก่อนหน้านี้มีความศรัทธา พลังแห่งความศรัทธาตกลงบนร่างของเขา กระดูกของคนธรรมดา ปลุกเสกด้วยพลังแห่งความศรัทธา เรียกได้ว่ากระดูกเทพ
กระดูกเทพสามารถรวบรวมดวงวิญญาณได้ หากทำลาย ก็จะสามารถทำลายดวงวิญญาณได้เช่นกัน
นางต้องขุดมันออกมา เตรียมที่จะเผากระดูก
และเมื่อนางเผากระดูกนั้นแล้ว ดวงวิญญาณดับสลาย เท่ากับเป็นการสังหารเทพ
หากดวงวิญญาณเทพถูกทำลาย ไหนเลยจะยังมีคุณสมบัติเทพ หากซื่อหลัวต้องการคุณสมบัติเทพนี้ นั่นเป็นได้เพียงความฝัน
นี่เป็นสิ่งที่นางตระหนักรู้ได้ตอนที่อยู่ซากปรักหักพังเมื่อก่อนหน้านี้
หลังจากที่เฟิงซิวได้ฟังคำพูดของนาง ก็เอ่ยว่า “เผากระดูกสังหารเทพ ซื่อหลัวได้ครอบครองคุณสมบัติเทพนั้นแล้ว หากเฟิงปั๋วยังอยู่ ท่านเผาทำลาย ผู้ที่ต้องทุกข์ทรมานเป็นคนแรกก็คือเฟิงปั๋วไม่ใช่หรือ”
นางสังหารเฟิงปั๋ว ก็เท่ากับสังหารเทพ
สังหารเทพก็จะต้องรับการสะท้อนของผลกรรม
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ดังนั้นจึงจะต้องขุดขึ้นมาก่อน แล้วค่อยเผาทำลายเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม”
เฟิงซิวเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “สิ่งที่ท่านนึกขึ้นได้ สุนัขเฒ่าจะคิดไม่ถึงหรือ”
ซื่อหลัวกำคุณสมบัติเทพไว้ในมือ ก็เท่ากับได้รับยันต์คุ้มภัย กระดูกเทพ เขาจะปล่อยมันไปหรือ
“น่าแปลก ราชสำนักได้ออกคำสั่งไม่ให้บูชาเทพเจ้าน้ำแล้ว ตามหลักแล้วราษฎรก็ไม่กล้าต่อต้านทางการ หากไม่บูชา พลังโชคลาภนี้ก็จะไม่เจริญรุ่งเรืองแล้วกระมัง เหตุใดจึงยังเป็นเช่นนี้” เฟิงซิวไม่ค่อยเข้าใจ
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เจ้าลองดูสุสานของเฟิงปั๋วให้ดี”
นางลากเขามาที่สุสานของเฟิงปั๋ว
ในสุสานนั้นมีเส้นด้ายสีแดงเลือดที่เชื่อมโยงสุสานบรรพบุรุษของตระกูลเหยียนทั้งหมด พลังงานชีวิตและโชคลาภของสายกรรมยังคงตกลงบนสุสานอย่างไม่ขาดสาย
“เขากำลังดึงพลังชีวิตทั้งหมดของคนตระกูลเหยียนออกมาเพื่อหล่อเลี้ยง” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หากยังคงเซ่นไหว้เช่นนี้ต่อไป เกรงว่าตระกูลเหยียนจะสูญสิ้นสายเลือด”
เฟิงซิวรูม่านตาหดลง “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
ฉินหลิวซี “หลอมร่างเทพ”
ไม่มีอะไรเข้ากันได้ดีไปกว่าเลือดเนื้อของญาติ เขาเอาพลังชีวิตและเลือดเนื้อของคนตระกูลเหยียนเพื่อหล่อหลอมร่างเทพขึ้นมาใหม่ เตรียมพร้อมสำหรับการฝ่าด่านเคราะห์ขึ้นสู่สวรรค์
เมื่อฉินหลิวซีคิดถึงจุดนี้ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป มือทั้งสองข้างร่ายคาถา เปลี่ยนจิตวิญญาณเต๋าแห่งความชอบธรรมกลายเป็นกระบี่ ฟันลงไปยังเส้นสายกรรมที่มองไม่เห็น ตัดสายกรรมเหล่านั้นออกอย่างเด็ดขาด
ปัง
นางระเบิดสุสาน เผยให้เห็นโลงศพ
ขอโทษด้วย ตกลงกันไว้แล้วว่าจะต่อสู้กับปีศาจด้วยกัน แต่ข้ากลับต้องขุดสุสานของเจ้า!
ขณะที่ฉินหลิวซีกำลังจะยกโลงศพขึ้น ลมเย็นพัดผ่านมา สัมผัสได้ถึงพลังที่นับว่าคุ้นเคย นางมองไปในทันที
วั่งชวน ไม่สิ อู๋ฉิง เจ้าจะขัดขวางข้าหรือ