คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1238 ที่เหลือ ให้ข้าจัดการ
………………..
สายลมเย็นเยียบหอบเงาดำสายหนึ่งมาปรากฏเบื้องหน้าของพวกฉินหลิวซี ร่างตรงหน้าแผ่กลิ่นอายสีดำปกคลุมทั่วกาย แม้จะยืนอยู่ตรงหน้า กลิ่นอายมืดมนนั้นกลับไม่จางหาย ทำให้คนไม่อาจเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของนางได้
“เงาดำนี้…” เฟิงซิวขมวดคิ้ว ก่อนจะก้าวขึ้นมาอีกก้าว เอ่ย “คนที่อยู่บนเขาคุนหลุนคราวก่อนก็คือเจ้า”
อู๋ฉิงไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ ดวงตาที่ซ่อนอยู่ในกลิ่นอายดำสนิทจับจ้องไปที่ฉินหลิวซี สายลมดำเย็นเยียบที่แผ่จากร่างกายของนางพลันแผ่กระจายราวกับเส้นด้าย
ฉินหลิวซีก้าวขึ้นมาดึงเฟิงซิวเอาไว้ เอ่ย “อย่าให้พลังสีดำนั่นสัมผัสตัว มีพิษ”
กลิ่นอายดำมืดนั้นคือพลังของความชั่วร้าย เป็นพลังที่ก่อตัวจากสถานที่ที่มืดมนที่สุด อับโชคที่สุด และโหดร้ายที่สุด หลอมรวมจนกลายเป็นพลังอันชั่วร้ายดั่งภูติผี หากสัมผัสเพียงน้อยนิดจะดึงดูดความอาฆาต ความบ้าคลั่งที่อยู่ลึกสุดในใจมนุษย์ออกมาและทำให้สติเลอะเลือน
ผู้บำเพ็ญที่อยู่ภายใต้สภาวะเช่นนี้ สุดท้ายจะถูกกลิ่นอายดำมืดนั้นกลืนกิน สูญสิ้นสติ กลายเป็นคนไม่ใช่คน ผีไม่ใช่ผี อยู่เพื่อสังหารเพียงเท่านั้น
เพียงการสังหารเท่านั้นที่จะมอบความสงบให้แก่พวกเขาได้
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนหรือผี หากสิ่งที่ถูกสังหารคือภูตผีปีศาจ พลังอันชั่วร้ายของเหล่าวิญญาณอาฆาตและภูตผีร้ายจะหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของนาง ทำให้นางซึมซับพลังมืดมิดของโลกนี้ทั้งหมดจนกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย หากสัมผัสกลิ่นอายเหล่านี้ พลังชั่วร้ายจะเข้าสู่เส้นลมปราณ ทำลายอวัยวะภายในให้บอบช้ำ
ยามนี้กลิ่นอายชั่วร้ายตรงหน้าราวกับเงาตามตัว รวมเป็นหนึ่งเดียวกับนาง กลายเป็นอาวุธของนาง
อู๋ฉิง กลายเป็นหุ่นเชิดเครื่องมือสังหารที่ไร้ชีวิตจิตใจ
ฉินหลิวซีหลุบตาลง
สมองเกิดภาพหนึ่งขึ้นมา นั่นคือวั่งชวนน้อยที่เข้าใกล้ความตาย นางที่กำลังใกล้สิ้นลมหายใจ ถูกล้อมไปด้วยพลังความโกรธแค้น ตอนนั้นนางรู้สึกตะลึงไม่น้อย เด็กน้อยตัวเล็กเพียงนี้ไยจึงมีความโกรธแค้นได้เพียงนี้
เสียใจหรือไม่
ไม่ ทำไปตามทางที่ควรจะเป็นก็พอแล้ว
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “มีวาสนาก็มีจบสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไปเปิดโลงศพ เปิดไม่ได้ก็ยกไปทั้งโลงศพ นางมาแล้ว ไม่แน่ว่าหากซื่อหลัวไม่ได้กำลังมา ก็คงมาถึงแล้ว ระวังตัวหน่อย”
เฟิงซิวสีหน้าเคร่งเครียด
อู๋ฉิงเคลื่อนไหว
นางพุ่งโจมตีมาที่ฉินหลิวซี กลิ่นอายดำมืดนั้นก็ตามนางเข้ามา กลายเป็นสัตว์ร้ายที่เหี้ยมโหด อ้าปากกว้างมายังนาง คิดจะกลืนกินนาง
ฉินหลิวซีมิได้ขยับกาย นาง ผู้เป็นเชื้อเพลิงแห่งไฟนรกโลกันตร์ ทรงอานุภาพ เยี่ยมยอดในความบริสุทธิ์แข็งแกร่ง และเป็นศัตรูตัวร้ายของพลังอันมืดมนชั่วร้ายทั้งปวง
พลังอำมหิตนี้ ดุจดังมอดที่บินเข้ากองเพลิง มุ่งหน้าสู่ความพินาศด้วยตนเอง
เป็นเช่นนั้น สัตว์ร้ายที่แปรสภาพจากพลังอำมหิต เพียงสัมผัสนางกลับลบเลือนหายสิ้น กลายเป็นความว่างเปล่า
ทว่าอีกฝ่ายกลับรวบรวมพลังขึ้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า นางถึงขั้นดึงพลังมืดรอบด้านเข้ามาเป็นของตน
ครั้งนี้ฉิหลิวซีเคลื่อนไหวแล้ว
แขนเสื้อสะบัด พลังอำมหิตสีดำเข้มก็สลายจนสิ้น เพียงเคลื่อนไหวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าอู๋ฉิง มือเรียวขาวจับเข้าที่ลำคอบอบบาง ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านจากปลายนิ้ว
ฉินหลิวซีทอดสายตามองดูสตรีในเงื้อมมืออย่างถี่ถ้วน ใบหน้าเรียวเล็กงดงาม ผิวขาวซีดดุจกระดาษ ดวงตากลมโตจนผิดธรรมชาติ หากแต่ดวงตาคู่นั้นกลับดำสนิทจนแทบไร้ส่วนขาว ปราศจากอารมณ์ใดๆ มีเพียงความเงียบงันอันน่าหวาดหวั่น
พลังอำมหิตที่แผ่ออกจากร่างนาง แปรเป็นเส้นสายเล็กๆ ซึมเข้าสู่ร่างของฉินหลิวซีทีละน้อย ไม่มีส่วนใดไม่เข้าสู่ร่างกาย
มือของฉินหลิวซีสั่นเล็กน้อย
ขาดหนึ่งวิญญาณและสองจิต
เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที่เคยเห็น ดวงจิตและวิญญาณนางอยู่ครบ ตอนนี้กลับไม่ครบแล้ว
สายตาทั้งสองสบกัน
ฝีมือซื่อหลัวหรือ
วิถีไร้ใจ คือการบำเพ็ญเพียรเพื่อดับสิ้นซึ่งอารมณ์รักใคร่และความปรารถนาทั้งปวง หากจิตไม่หวั่นไหวต่อความรู้สึกใดๆ จึงจะบรรลุถึงแก่นแท้ของวิชา
โจมตีหนึ่งครั้งไม่สำเร็จ
กระแสแห่งจิตเต๋าที่แกร่งกล้าซึ่งโอบล้อมกายฉินหลิวซีกลับสะท้อนพลัง ทำให้มีดคู่รูปผีเสื้อแตกละเอียด มุมปากของอู๋ฉิงมีเลือดไหลซึมออกมา
ฉินหลิวซีจ้องมองนาง “พอแล้ว”
อู๋ฉิงราวกับไม่ได้ยิน รังสีอำมหิตรอบกายพลันพวยพุ่งขึ้นอีกครั้ง แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่แหลมคมล้อมร่างฉินหลิวซีไว้ กระบี่นับพันโอบล้อมเสมือนตาข่ายสีดำมาดร้าย หมายจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ
“ข้าบอกให้พอแล้ว”
ไฟนรกลุกโชนขึ้นจากมือของฉินหลิวซี ร่างของอู๋ฉิงสะดุ้งแข็งค้าง สายตาเย็นเยียบไร้ชีวิตจ้องมองมายังฉินหลิวซี ปราศจากความหวาดกลัวแม้เพียงเล็กน้อย
ทันใดนั้นฉินหลิวซีคลายมือปล่อยนางไป ก่อนจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลบยันต์อาคมที่พุ่งออกจากร่างของอู๋ฉิง ดวงตาหรี่แคบดุดัน
ไม่ยอมปล่อยวางเลยจริงๆ
รู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าตาเฒ่านั่นไม่ธรรมดา
คิดจะใช้อู๋ฉิงมาโจมตีหาจังหวะสังหารนางอย่างนั้นหรือ
ฝันไปเถิด
ฉินหลิวซีนำกระบี่เมี่ยหลัวออกมา พุ่งทะลวงร่างของอู๋ฉิงซึ่งถูกกลิ่นอายอำมหิตห่อหุ้มอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ร่างของอู๋ฉิงที่เคยชักช้ากลับเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างน่าตระหนก กระบี่พลังอาฆาตหลายสายพุ่งเข้าโอบล้อมฉินหลิวซีจากทุกทิศทาง เสมือนฟ้าดินที่ถูกขึงด้วยตาข่ายแห่งความตายล้อมฉินหลิวซีเอาไว้
ที่ข้างหูมีเสียงคำรามของวิญญาณอาฆาตและปีศาจชั่วดังก้องรอบกาย อุ้งมือผีเลื้อยยื่นเข้ามา กรีดกรายหมายข่วนร่างของนางไม่หยุดหย่อน
“ล้วนเป็นคนบำเพ็ญขั้นสูงกันแล้ว ไยต้องมาเล่นลองเชิงกันเช่นนี้เล่า”
สิ้นคำของฉินหลิวซี รัศมีแห่งกระบี่เมี่ยหลัวก็แผ่ไพศาล แสงสีม่วงทองปลดปล่อยดุจเงากระบี่ พลังรุนแรงนี้กวาดล้างปีศาจและปีศาจร้ายจนมลายสิ้น
กลิ่นอายอำมหิตหนาทึบพลันสลายไป ร่างของอู๋ฉิงก็อันตรธานหายลับไปเช่นกัน
ส่งเสียงตะวันออกโจมตีตะวันตกอย่างนั้นหรือ
เฟิงซิวเพิ่งเปิดโลงศพออกมา สายตาจ้องมองสิ่งที่อยู่ในนั้นอย่างตกตะลึง เขานึกว่าจะพบเพียงกระดูก แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ใช่แล้ว กายหยาบของเฟิงปั๋วถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เขานอนอยู่ในโลงศพ ใบหน้าสงบนิ่งราวกับกำลังหลับใหล
อู๋ฉิงอาศัยช่วงที่เฟิงซิวตะลึง ฉวยร่างของเฟิงปั๋วไปไว้ในมือด้วยความเร็วเหนือมนุษย์
เฟิงซิวรู้สึกอับอายจนโกรธจัด เขาได้รับคำสั่งจากฉินหลิวซีให้เปิดโลงและปลุกศพ แต่กลับทำศพหลุดมือไป นี่ไม่ต่างอะไรจากการดูหมิ่นสติปัญญาของเขา
ขณะที่อู๋ฉิงกำลังจะเคลื่อนไหว เฟิงซิวได้สร้างเขตแดนมิติขึ้นมา กักขังนางไว้ภายใน
อู๋ฉิงถือร่างของเฟิงปั๋วไว้ด้วยมือเดียว ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณพุ่งชนเขตแดนนั้นอย่างบ้าคลั่ง รังสีอำมหิตรอบกายแพร่กระจายไปทั่วภายในเขตแดนในเวลาไม่นาน
เฟิงซิวแค่นหัวเราะเย็นชา ใช้พลังมิติเพื่อกดดันนาง ขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยเปลวไฟปีศาจ ต่อสู้กับรังสีอำมหิตร้าย
เขตแดนมิติที่สร้างขึ้นด้วยพลังปีศาจสามารถขยายหรือย่อขนาดได้ตามใจนึก
แรงกดดันของราชาปีศาจในเขตแดนที่ค่อยๆ หดเล็กลง ทำให้พลังอำนาจยิ่งเพิ่มทวีคูณ เขตแดนเริ่มส่งเสียงดังเหมือนจะระเบิดออก
“วางเขาลง” เฟิงซิวตวาดเสียงกร้าว
แต่อู๋ฉิงหาได้สนใจไม่ แม้เลือดจะอาบกายจนแดงฉาน ใบหน้าของนางแสดงความผิดปกติบางอย่าง ในที่สุดนางก็เอ่ยขึ้น “ปล่อย…”
คำพูดเพิ่งหลุดออกมาเพียงสองคำ เฟิงซิวเตรียมบดขยี้นางให้แหลกละเอียด ทว่าฉินหลิวซีรีบเอ่ยขึ้น “เจ้าจิ้งจอก ถอยออกมาเร็วเข้า”
เฟิงซิวไม่ลังเล รีบถอนเขตแดนมิติกลับทันที
เมื่อแรงกดดันมลายหายไป รังสีอำมหิตรอบกายอู๋ฉิงพลันหมุนวนราวพายุ เงามืดปกคลุมนางไว้ พลังมหาศาลภายในพายุนั้นคำรามดุจมังกรอำมหิตร้ายกาจ
ฉินหลิวซีพุ่งตัวไปด้านหน้า มือถือกระบี่เมี่ยหลัว นางทะลวงเข้าสู่พายุที่หมุนวน ไฟนรกลุกโชนขึ้นรอบกายนาง
“ออกไป” พลังวิญญาณของอู๋ฉิงพรั่งพรูออกจากร่าง แต่นางกลับไม่ปล่อยร่างของเฟิงปั๋ว มือที่เปื้อนเลือดกำร่างนั้นไว้แน่น จ้องมองฉินหลิวซีพลางเอ่ย “ขอร้องท่าน”
ฉินหลิวซีสะท้านไปทั้งร่าง มองไปที่นาง
พลังสองสายกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดในร่างของนาง
“รีบไป…” เสียงคำรามดังก้องของอู๋ฉิงแฝงความเจ็บปวดสุดขีด ดวงตาของนางเริ่มกลายเป็นสีดำสนิท ความมืดดำรอบกายยิ่งเข้มข้นและดุร้ายกว่าเดิม
ฉินหลิวซีตกตะลึงจนแทบไม่เชื่อสายตา
ได้อย่างไร จะกลายเป็นมารได้อย่างไร
“ไปสิ” อู๋ฉิงทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นนางเงยหน้า ดวงตาสีดำคู่นั้นจ้องมองนางนิ่ง แฝงไปด้วยความเว้าวอนเพียงเสี้ยวขณะก่อนจะเลือนหายไป ทว่ามือของนางกลับไม่ยอมปล่อย
ร่างของเฟิงปั๋วถูกนางกำไว้อย่างแน่นหนาไม่ลดละ
ฉินหลิวซีคล้ายจะฉุกคิดบางสิ่งขึ้นได้ “วั่งชวนน้อยเจ้า…”
มุมปากของอู๋ฉิงกระตุกเล็กน้อย น้ำตาสีดำหยดหนึ่งไหลออกจากดวงตาสีดำสนิทของนางอย่างยากลำบาก ขณะใช้แรงทั้งหมดผลักฉินหลิวซีออกไป “ขอโทษ…”
นางแหงนหน้าขึ้นฟ้ากรีดร้องยาว กลุ่มเงามืดที่อยู่ทั่วท้องฟ้ากลืนกินนาง
พายุหมุนวนยิ่งรุนแรงขึ้นจนแทบควบคุมไม่ได้
ตูม
เสียงระเบิดดังสนั่น
นางเลือกยอมทำลายตนเอง ดีกว่ายอมตกเข้าสู่ความเป็นมาร เพียงเพื่อปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตไม่ให้มัวหมอง
นางเพียงปรารถนาเป็นเสี่ยววั่งชวน ไม่ใช่อู๋ฉิง
ดังนั้นกายเทพของเฟิงปั๋ว นางจะเป็นผู้ทำลายเอง
ฉินหลิวซีหูอื้ออึง ดวงตาเบิกกว้างมองการระเบิดตัวเองของนาง ก้อนเมฆเห็ดสีดำทะมึนลอยขึ้นเหนือศีรษะ
แม้แต่เฟิงซิวเองก็ตกตะลึง
ไยจู่ๆ จึงกลายเป็นเช่นนี้ได้
เขามองฉินหลิวซีด้วยแววตาแฝงไปด้วยความกังวล คำพูดที่อยากเอ่ยออกมาถูกกลืนลงไปในลมหายใจเฮือกใหญ่
ณ ความเวิ้งว้างห่างไกลหลายร้อยลี้ ซื่อหลัวซึ่งซ่อนอยู่ในเงามิติ มองเห็นเหตุการณ์นี้ผ่านพลังจิต ทว่าเมื่อกายเทพของเฟิงปั๋วแตกสลาย เขาที่เป็นแก่นแห่งเทพของเฟิงปั๋วก็เกิดรอยร้าวตามไปด้วย เขารีบใช้พลังซ่อมแซมกลับคืน
ยามนี้พลังวิญญาณไม่เพียงพอ เฟิงปั๋วก็แตกสลาย รอยร้าวจึงยังคงอยู่ไม่อาจหายไป
ซื่อหลัวรีบตรงดิ่งไปยังศาลเทพเพื่อตรวจสอบเฟิงปั๋วที่อ่อนแอแทบแตกสลายไปแล้ว เมื่อดูอย่างละเอียด เขาจึงเห็นว่าวิญญาณเทพของเฟิงปั๋วหลุดมาส่วนหนึ่ง ในขณะที่เขาใช้พลังจิตกับเด็กสาวคนนั้น วิญญาณส่วนนี้ได้เกาะติดไปยังนาง และตกลงไปยังวังจิตของนางแทนหรือ
ดังนั้นนางจึงหักหลังเขา ใช้พลังของเขาช่วยนาง จึงได้ระเบิดไปด้วยกัน
ซื่อหลัวโกรธจนหัวเราะดังออกมา ดี ดีมาก กล้าเล่นตุกติกในเงื้อมมือของเขา เนรคุณจริงๆ
สมควรตายจริงๆ
เขาหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความสับสนชั่วขณะหนึ่ง “เดิมที กระดูกเทพของเจ้าที่นำมาสร้างร่างเทพนี้ เป็นสิ่งที่เหมาะสมและยอดเยี่ยมที่สุด น่าเสียดาย แต่หากแผนการณ์นี้ล้มเหลว เจ้าคิดหรือว่าข้าจะไร้หนทาง ช่างฝันเฟื่องนัก”
ฉินหลิวซีจ้องมองเศษเสี้ยวแสงที่ค่อยๆ จางหายไปในอากาศ กำปั้นที่เคยกำแน่นคลายออก แล้วกลับมากำอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ที่เหลือ ข้าจัดการเอง”
คำพูดนี้ ไม่อาจรู้ได้ว่าเอ่ยกับเฟิงซิว หรือกับผู้ที่ดับสูญไปแล้ว
ยังไม่ทันที่คำพูดจะจางหายไป ร่างของนางพลันพุ่งวูบไปในอากาศ กระบี่เมี่ยหลัวในมือฟาดฟันไปยังความว่างเปล่า
“เจอกันในสนามรบ” เสียงหัวเราะของซื่อหลัวดังขึ้น ทว่าปราศจากอารมณ์ใดๆ ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
………………..