คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1239 ความสงบก่อนพายุฝน
………………..
ฤดูเหมันต์ หิมะโปรยปรายปกคลุมทั่วฟ้า สีขาวเงินปกคลุมไปทั่วผืนดิน ทว่าเมื่อเทียบกับหิมะที่เจอได้ในทุกๆ ปี ปรากฏการณ์ประหลาดติดต่อกันหลายวันมานี้ของต้าเฟิงก็ทำให้คนเกิดความหวาดวิตก ไม่อาจสงบใจได้
ในโรงน้ำชาทั่วทุกหนแห่ง ผู้คนต่างสนทนาเรื่องราวของวันหนึ่งในเดือนสิบสอง ซึ่งในฤดูหนาวนั้น ไยถึงยามซวีแล้วฟ้าถึงมืด นี่มันฤดูหนาวนะ เวลานี้ท้องฟ้าถึงมืด เดิมก็ไม่ปกติอยู่แล้ว และแม้ว่าท้องฟ้าจะยังสว่าง ทว่ากลับถูกปกคลุมด้วยเงามืดก็ทำให้ผู้คนอึดอัดและไม่สบายใจ
ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์ร้ายอย่างหนู แมลงสาบ งู ต่างโผล่ออกมาจากซอกมุม แมวและสุนัขวิ่งวนไปมาอย่างบ้าคลั่ง ทารกน้อยร้องไห้ไม่หยุด ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยลางร้ายที่ชวนสะพรึงกลัว
ความตื่นตระหนกที่ไม่อาจมองเห็นได้ แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งต้าเฟิง ทุกคนต่างรู้สึกไม่สงบสุข ผู้คนจึงไปกราบไหว้วัดวาอารามเพิ่มขึ้น
ทว่าพวกเขากลับพบว่า พระสงฆ์ในวัด หรือเหล่านักพรตในอารามล้วนหายตัวไป เหลือเพียงศิษย์วัดหรือผู้ศรัทธาคอยจัดการธูปเทียน
การค้นพบนี้แพร่สะพัดไปทั่วดั่งหิมะโปรยปราย
เหล่านักบวชต่างหายตัวไปแล้ว เกิดเรื่องใดขึ้นแล้วหรือ
ชาวเมืองต่างสงสัยหนักหนาว่าเหตุใดเหล่าผู้ปฏิบัติธรรมจึงหายไป เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่ปฏิบัติตามราชประเพณีได้ขับไล่พวกเขาไปจนหมดสิ้น ผู้คนต่างร้องหาคำชี้แจง
ปวงชนต้องการศรัทธา ต้องการความมั่นคงในจิตใจ แม้จะมิได้เชื่อมั่นในเหล่าสงฆ์นักพรตทั้งหมด แต่การที่พวกเขายังอยู่ก็ยังเป็นที่พึ่งพิงใจประหนึ่งเทพเทวายังคงคุ้มครอง
ทว่าในยามนี้การที่พวกเขาหายตัวไป มิได้หมายความว่าสวรรค์และเทพเจ้าได้ละทิ้งโลกนี้ไปแล้วหรือ
หากเป็นเช่นนี้ประชาชนจะไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใดเล่า
เทพเจ้าของพวกเขาอยู่ที่ใด
ในขณะที่ผู้คนเรียกร้องให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงให้คำตอบ ก็หาได้ล่วงรู้ไม่ว่าในวังหลวงเองกำลังโกลาหลวุ่นวายยิ่งนัก เนื่องจากฮ่องเต้คังผิงกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อข่าวนี้ถูกเปิดเผย ความหวาดกลัวเข้าครอบงำผู้คนจนเหงื่อเย็นชุ่มโชกกลางฤดูหนาวอันเยียบเย็น การค้นหาทุกตรอกซอกมุมไม่อาจนำพาให้พบร่องรอยใดๆ กลับเพิ่มความสิ้นหวังขึ้นทุกที
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ในยามกลางวันที่แสงแดดส่องสว่าง ฮ่องเต้คังผิงทรงประทับ ณ ตำหนักจงฉิน พิจารณาฎีกา แต่แล้วกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ขันทีใหญ่ผู้ถวายงานข้างกายยังคงอยู่ไม่ห่าง พร้อมด้วยขันทีและนางกำนัลอีกสองคนประจำอยู่ในตำหนัก แต่ฮ่องเต้คังผิงกลับหายไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา แม้กระทั่งองครักษ์เงา ก็ไม่สามารถล่วงรู้ว่าพระองค์เสด็จหายไปได้อย่างไร
เมื่อขันทีใหญ่ออกคำสั่งให้คนรีบส่งข่าวถึงเสนาบดีลิ่น ไม่นานวังหลวงก็ถูกปิดล้อมอย่างเข้มงวด องค์รัชทายาทซึ่งเดิมประทับอยู่ที่ตำหนักตะวันออกก็ถูกเชิญให้มาพักในตำหนักของไทเฮาชั่วคราวที่ตำหนักสือหนิงซึ่งมีกำลังทหารคุ้มกันแน่นหนา
ไทเฮามู่มีรับสั่ง ฮ่องแต่คังผิงประชวรโรคร้ายที่สามารถแพ่ระบาดได้ ตอนนี้โปรดให้เสนาบดีลิ่น เฉิงเอินกง อวี๋ไท่ฟู่รวมไปถึงหมิงอ๋องอาวุโสร่วมกันสำเร็จราชการแทน พร้อมใช้พระราชอำนาจอย่างเด็ดขาดเพื่อขจัดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งปวง พลางลอบสืบข่าวหาฮ่องเต้คังผิงอย่างลับๆ ไปด้วย
แต่แล้ววัดอวี้ฝอกลับส่งคำของเจ้าอาวาสจิ้งสือมาหนึ่งประโยค เคราะห์ดีไม่ใช่เคราะห์ร้าย เคราะห์ร้ายไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ให้พวกเขาสงบใจเฝ้ารอ ไม่ต้องเคลื่อนไหวใหญ่โตเพื่อตามหา เลี่ยงไม่ให้ราชสำนักและราษฎรเกิดความระส่ำระสาย
เมื่อเสนาบดีลิ่นได้ยินคำถ่ายทอดมานี้ เขาสบตากับอวี๋เหมียว สีหน้าพลันเปลี่ยน
แย่แล้ว
คงไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องเตรียมแต่งตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์กระมัง
ไม่สิ หากโลกนี้ต้องพินาศ ทุกสิ่งย่อมดับสูญพร้อมกัน
“ข้าจะไปจุดธูปสักการะท่านเจ้าอาวาส เจ้าไปด้วยกันหรือไม่” เสนาบดีลิ่นหันไปมองอวี๋เหมียว
“ย่อมดีนัก” อวี๋เหมียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ ต้องไปกราบไหว้ ไม่กราบไหว้คงยากที่จะสงบ
พายุใหญ่กำลังก่อตัว เมฆลมหมุนวนดั่งลางร้ายก่อนพายุจะโหมกระหน่ำ
ณ ทะเลทรายดำอันไร้ที่สิ้นสุด ฉินหลิวซีและเฟิงซิวยืนอยู่เบื้องหน้าค่ายอาคมที่บัดนี้แปรเปลี่ยนจากสีแดงฉานเป็นแดงหม่นใกล้ดำ รัศมีมืดมนชวนอัปมงคล ราวกับเหล่าวิญญาณอาฆาตและภูตผีหลายพันยื่นมือเกี่ยวพันกัน หัวต่อหัว แยกเขี้ยวยิงฟันอย่างน่าสะพรึงกลัว
รัศมีนั้นถูกก่อเกิดจากพลังแห่งความมืดมน
ทั้งสองประสานสายตากัน เฟิงซิวเอ่ยขึ้น “ม่านอาคมนี้ดูท่าจะแข็งแกร่งกว่าเดิม ทำอย่างไรดี”
“เจ้าใช้พลังมิติปีศาจโอบล้อมมันไว้ ข้าจะเรียกสายฟ้าฟาดใส่มัน” ฉินหลิวซีใบหน้าเย็นเยียบ กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “มาถึงคราวที่สุดแผนดาบก็ปรากฏ[1]เสียที ไม่ต้องกลัวว่ามันจะเจ็บปวด รีบเจ็บปวดให้ได้โล่งสบาย”
เฟิงซิวพยักหน้า กระโดดขึ้นสู่กลางอากาศ ปลดปล่อยพลังจิต มือทั้งสองข้างพลิกเปลวเพลิงสีทองแดงปนแดงฉานพวยพุ่งออกมา พลังอันร้อนแรงและดุดันถูกเขาประสานเข้าหากัน
ด้วยแรงแห่งจิต พลังอันไร้รูปลักษณ์แผ่ขยายออกดั่งระลอกคลื่น โอบล้อมทะเลทรายดำที่ถูกค่ายอาคมปิดผนึกไว้อย่างแน่นหนา
ม่านอาคมไร้ขอบเขต เดิมทีถูกสร้างขึ้นโดยเลียนแบบขุมนรกไร้ก้นบึ้งในพื้นที่ของเขา ราวกับมีขุมนรกไร้ก้นบึ้งอยู่ในเขตพื้นที่ของเขา พลังอาฆาตและมนต์ดำที่ชั่วร้ายอำมหิต พากันถาโถมเข้าใส่เขา เร้าสัญชาตญาณแห่งความบ้าคลั่งของปีศาจในกายเขาให้ปะทุขึ้น
เฟิงซิวขมวดคิ้ว ใบหน้าคมสงบนิ่ง พลังปีศาจถูกแปรเปลี่ยนเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ กักเก็บพลังอาฆาตทั้งหมดไว้ก่อนสะกดมันลง
ฉินหลิวซีส่งยันต์ห้าสายฟ้าออกไป ใช้ศาสตราวุธกระบี่เมี่ยหลัวเรียกสายฟ้าสู่ร่าง ไม่แม้แต่จะร่ายคาถาเรียกสายฟ้า ดวงตาคู่นั้นเพียงมองไป
กระบี่เมี่ยหลัวลอยขึ้นกลางอากาศ สายฟ้าไร้แสงฟาดลงมา ตกลงสู่กระบี่เมี่ยหลัว มันลอยหมุนวนอย่างรวดเร็ว ประกายสายฟ้าสีม่วงทอง แผ่ขยายดุจเงาดาบนับหมื่นที่ปกคลุมทั่วผืนฟ้ายันต์ห้าสายฟ้าปะทุระเบิดขึ้นมาก
ตูม
เสียงอสนีบาตดังสนั่นหวั่นไหว พลังสายฟ้าอันเกรี้ยวกราดแผ่ซ่านออกไป ความเกรงขามของพลังสายฟ้านี้ ทำให้เหล่าสรรพชีวิตในรัศมีหลายร้อยลี้ต่างพากันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
เก้าสวรรค์อสนีบาตประสานเข้ากับอำนาจของศาสตราวุธ เพียงพอที่จะทำลายล้างอาคมชั่วร้าย บวกกับพลังมิติของเฟิงซิว เช่นนั้นยิ่งเพิ่มความแม่นยำยิ่งขึ้น ทำลายม่านอาคมไร้ขอบเขตนั้นจนราบคาบ
วิญญาณเทพเฟิงซิวสะท้าน เช็ดเลือดที่มุมปากด้วยท่าทางสงบ เงยหน้าหันมองไปทางฉินหลิวซี เอ่ย “ข้ายังเป็นเพียงปีศาจตนหนึ่งจริงๆ”
ศาสตราวุธกำจัดมารปีศาจ เขาเป็นปีศาจ แน่นอนว่าได้รับผลกระทบ หากเขายังไม่อาจบำเพ็ญจนมีร่างมนุษย์ เกรงว่าคงแหลกสลายเหมือนม่านอาคมนี้
แต่เขาในตอนนี้กลับเป็นราชาปีศาจ แม้จะได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ฉินหลิวซีโยนยาเม็ดหนึ่งมา เอ่ย “จัดการสักหน่อย ต่อไปถึงจะเป็นสงครามใหญ่”
เฟิงซิวกลืนยาลงไป เคลื่อนไหวพลังปรานปีศาจซ่อมแซมวิญญาณเทพ
เมื่อม่านอาคถูกทำลายลง ฉินหลิวซีปล่อยจิตออกไป ทุกสิ่งภายนอกยังคงสงบเงียบ ปราศจากความวุ่นวายใดๆ แม้ม่านอาคมแห่งนี้จะถูกทำลาย
ทว่าความสงบเงียบล้วนเป็นสัญญาณแห่งพายุร้ายที่ใกล้เข้ามา
เป็นดังที่คาดไว้ ในจุดที่จิตสัมผัสของฉินหลิวซีไปไม่ถึง ฟ้ากลับส่องประกายเป็นสีแดงประหลาด ราวกับม่านหมอกโลหิตปกคลุมทั่วท้องฟ้า พาให้รู้สึกถึงลางร้าย
“นี่ หรือว่าเมฆฝนโลหิตกำลังจะโปรยปราย วันสิ้นโลกกำลังจะมาถึงแล้วหรือ” ผู้คนต่างพึมพำอย่างหวาดหวั่นเมื่อมองเห็นแสงสีแดงนั้น
เหล่าผู้บำเพ็ญตนฝึกฝนทั้งหลายเร่งฝีเท้ามุ่งสู่ทะเลทรายดำด้วยใจร้อนรน
ที่วัดอวี้ฝอ ผู้อาวุโสจิ้งสือขยับเปลือกตาเล็กน้อย ก่อนปิดลงดังเดิม ไม้เคาะระฆังในมือกระทบถี่ขึ้น ลูกประคำหมุนวนเร็วกว่าเดิม เสียงสวดมนต์ดังกึกก้อง ม้วนแปรเปลี่ยนเป็นแสงอักขระทองคำ พุ่งลงสู่พื้นดิน กดทับความชั่วร้ายที่ซ่อนตัวรอปะทุ
ณ เขาเทียน ฟ่านคงลืมตาตื่นจากเจดีย์ขาว ดวงตาคู่นั้นเฉียบแหลมดังตาทิพย์ ทะลุทะลวงผ่านโลกียวิสัย
เพียงพริบตาร่างของเขาหายวับจากเจดีย์
หัวหน้าหมอผีเผ่าเหมียวจากหนานเจียงเก็บเครื่องทำนาย ดวงตาที่ขุ่นมัวหลั่งหยดโลหิตพลางรำพึง “มหันตภัยแห่งมนุษย์โลกได้เริ่มขึ้นแล้ว”
เผ่าแม่มดขาว ซือเหลิ่งเยว่ส่งมอบบุตรสาวให้บิดา ประกาศแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอด ก่อนจะก้าวเข้าสู่เส้นทางมรณะโดยไม่หันกลับมามองอีก
เพื่อล้างทุกข์เข็ญในหล้า นางมิได้เกรงกลัวสิ่งใด
[1] สุดแผนดาบก็ปรากฏ เมื่อใกล้จบเรื่องก็จะเห็นถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง