คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1240 กล้าร่วมทุกข์ร่วมสุขกับท่าน
เมื่อม่านอาคมพังทลาย ในที่สุดทะเลทรายดำเองก็เผยโฉมที่แท้จริงออกมา
ฉินหลิวซีทอดสายตามองเสาแสงหลากสีที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้า ทั้งยังเห็นโชคลาภที่เคลื่อนไหวอย่างไม่ขาดสายในนั้น ราวกับถูกบางสิ่งขัดขวางกลางทางก่อนจะตกกลับสู่ที่แห่งหนึ่ง
นั่นคือค่ายอาคมเส้นทางเทพเจ้า
ดวงตาของฉินหลิวซีหรี่ลงเล็กน้อย แค่นเสียงเย็น โชคลาภเหล่านี้แม้จะเปี่ยมด้วยพลังมงคล แต่กลับปะปนด้วยสิ่งสกปรกมากมาย หากดูดซับเข้าไปโดยไม่ระวังอาจถูกพลังสะท้อนกลับได้
นางละสายตากลับมา จ้องมองภาพตรงหน้า ซึ่งแตกต่างจากโลกภายนอกที่ปกคลุมด้วยหิมะขาวสะอาดตา ดินแดนที่ถูกค่ายอาคมล้อมรอบกลับเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มของภูเขาและต้นไม้ โขดหินรูปร่างแปลกตา สายน้ำใสราวมรกต ทุ่งหญ้าเขียวสด ไร้ร่องรอยของหิมะ
ที่นี่ราวกับเป็นโลกเล็กๆ ที่แยกตัวออกมา
“นี่หรือคืออาณาเขตแห่งความว่างเปล่า ดินแดนลี้ลับที่อยู่มาตั้งแต่อดีต เฟิงซิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความดูแคลน “ดูต่ำต้อยไปสักหน่อยหรือไม่”
ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ “มีค่ายอาคมอยู่”
“หืม?”
ฉินหลิวซีหลับตาเบาๆ ก่อนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของนางเปี่ยมด้วยความกระจ่างแจ้งดุจดวงตาเพลิงดวงตาทอง[1] ไม่นานก็เห็นถึงสิ่งที่แปลกออกไป “เป็นค่ายอาคมลวงตา”
มุมปากของเฟิงซิวกระตุกเล็กน้อย “ด้านนอกวางค่ายอาคมใหญ่ ข้างในยังมีค่ายอาคมลวงตาอีก เขาก็ไม่ได้สงบนิ่งเพียงนั้นหรอกนะ ยังกลัวพวกเราทำลายแผนการใหญ่ของเขาด้วยกระมัง”
“อย่ามัวเอ่ยไร้สาระ เขาไม่ธรรมดา ใช้เวลาวางแผนนี้มาหลายปี ย่อมไม่ใช่แค่มาหยอกล้อกับเราเพียงเท่านั้น” ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ เอ่ย “ยิ่งเรื่องราวใกล้ถึงเป้าหมาย เขายิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น ทางสู่การบรรลุเทพ ย่อมไม่สามารถล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าได้”
หากล้มเหลวเป็นครั้งที่สาม อาจไม่มีความอดทนรอคอยโอกาสครั้งหน้าอีกแล้ว เพราะการมองดูโลกผันเปลี่ยนผ่านอย่างเดียวดายนั้น เป็นความเปลี่ยวเหงาที่แสนยากจะทนทาน
“ข้าจะทำลายค่ายอาคมก่อน” ฉินหลิวซีพุ่งตัวนำไปเบื้องหน้า
ด้วยพลังบำเพ็ญเพียรของฉินหลิวซีในยามนี้ การทำลายค่ายอาคมลวงตาไม่ใช่เรื่องยาก นางค้นพบจุดศูนย์กลางของค่ายอาคมในเวลาอันรวดเร็ว นางโจมตีทำลายจุดศูนย์กลางนั้นจนแหลกสลายโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทันใดนั้นแผ่นดินสะเทือนสั่นไหว ฝูงนกตื่นตระหนกพากันบินหนี
เมื่อค่ายอาคมลวงตาพังทลายลง ภาพตรงหน้าราวกับถูกเปลี่ยนไปใหม่ ภูเขาใหญ่เขียวชอุ่มรายล้อมด้วยหมอกขาว ดอกไม้ป่าบานสะพรั่ง นกสีสดใสโบยบินต่ำพลางส่งเสียงร้องอันไพเราะ
ร่องรอยแห่งเซียนในทะเลสาบลวี่หู ความเปี่ยมล้นแห่งพลังวิญญาณ
ฉินหลิวซีมองภาพเบื้องหน้า ทว่าหัวใจกลับปราศจากความกลัว นางรู้สึกแต่เพียงความขยะแขยง
เพราะพลังวิญญาณเหล่านี้เกิดจากชีวิตและโชคลาภของผู้คนมากมาย มันเต็มไปด้วยกรรมเวรและบาป
เฟิงซิวก้าวเข้ามา เอ่ย “ชักจะมีอะไรน่าสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว”
สายตาเขาจ้องมองไปยังศูนย์กลางที่พลังวิญญาณเข้มข้นที่สุดด้วยความคมกล้า
สถานที่แห่งนั้นจะเป็นที่ฝังร่างของพวกเขาหรือไม่
ทั้งสองกำลังจะเคลื่อนไหว ทันใดนั้นกลับมีความปั่นป่วนเกิดขึ้นในอากาศ เมื่อหันไปมองก็พบว่าคนจากอารามชิงผิงและพระสงฆ์จากวัดอู๋เซียงมาถึงแล้ว รวมถึงไต้ซือฮุ่ยเหนิง
ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้า เถิงเจาและคนอื่นๆ ประสานมือทำความเคารพนาง ชิงหย่วนเอ่ยขึ้น “ยกเว้นนักพรตชราที่เคลื่อนไหวลำบาก ผู้ใดที่มาช่วยได้ก็มาหมดแล้ว แม้พวกเราจะช่วยอะไรมากไม่ได้ แต่ทุ่มยันต์เข้าใส่ก็ยังดี”
ฉินหลิวซีถอนหายใจเบาๆ “เจาเจา เจ้ากับอาจารย์ลุงชิงหย่วนช่วยดูแลศิษย์ในอารามด้วย”
“ขอรับ”
จากนั้นฉินหลิวซีก้าวไปหาไต้ซือฮุ่ยเหนิงที่มองนางด้วยรอยยิ้ม นางทำความเคารพในฐานะผู้น้อย
ไต้ซือฮุ่ยเหนิงเอ่ย “อาตมาบอกแล้วว่า เจ้าย่อมไม่โดดเดี่ยว”
สิ้นเสียงของเขา ไม่นานก็มีคนมาถึงอีก กลุ่มของอารามชิงหลาน อารามเป่าหวา อารามจินหวา วัดอวี้ฝอเหล่านี้ ต่างมาร่วมด้วยเป็นขบวน ทั้งในชุดจีวรสงฆ์และเสื้อคลุมนักพรตเก่าๆ แต่ละคนล้วนเปี่ยมด้วยจิตใจเด็ดเดี่ยว พร้อมสละชีวิต
ยังมีนักพรตและผู้บำเพ็ญเพียรจากสำนักเล็กๆ อีกมากมายที่ไม่เคยพบเห็น แต่เพียงมองพลังวิญญาณที่แผ่ออกมาก็รู้ได้ว่าพวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญในป่าลึกที่ห่างไกลจากโลกมนุษย์
แม่มดขาวซือเหลิ่งเย่ว์และเผ่าตระกูลอูที่เป็นแม่มดพ่อมดขาวเหมือนกัน รวมทั้งเหมิงหลู่หมอผีเผ่าเหมียว ผู้สืบทอดเวทมนตร์เหมาซาน ต่างทยอนเดินทางมาถึง ทั้งหมดคารวะต่อนาง
ฉินหลิวซีกระบอกตาร้อนผ่าว โค้งกายคารวะไปยังทุกคน “สหายทั้งหลายร่วมใจกันมาผดุงคุณธรรมและประชาชน นับเป็นบุญของโลกนี้ที่ยังคงมีผู้คนเช่นพวกท่าน”
“ท่านเจินจวิน[2]กล่าวเกินไปแล้ว การปราบมารบำเพ็ญธรรม ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก นับเป็นหน้าที่แห่งผู้ฝึกฝนเช่นพวกเรา เพื่อบรรเทาทุกข์แก่มวลชน”
ฟ่านคงพร้อมเณรน้อยคนหนึ่งเดินออกจากป่า เมื่อเห็นภาพนี้ทั้งสองชะงักไปครู่ใหญ่ ดวงตาเต็มไปด้วยความขวยเขิน
ทั้งสองในชุดจีวรสีทองแดงดูโอ่อ่า มือถือคทา ศีรษะสวมหมวกพิธีดูสง่างามยิ่ง
“ไต้ซือฟ่านคง ไฉนท่านออกมาจากด้านนั้นเล่า”
ฟ่านคงกล่าวด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น “หลงทาง”
ทุกคน “?”
ฉินหลิวซีมุมปากกระตุก มองไปยังเณรน้อยข้างเขา “เณรน้อยไยเจ้าถึงมากับเขาด้วย”
นี่คือเณรน้อยแห่งวิหารโบราณเผิงไหลผู้มีฉายาว่า จิ้งหนิง
ดวงตาอันบริสุทธิ์เปี่ยมด้วยเมตตาของจิ้งหนิงเปล่งประกาย “หายนะกำลังมาถึง มวลมนุษย์ทุกข์ระทม เณรยินดีมาช่วยเหลือโลก”
คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ทว่าฉินหลิวซีกลับหัวเราะลั่น “เหล่ามารร้ายปรารถนาใช้ประชาชนนับล้านบูชายัญเพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งความเป็นเทพ ทว่าผู้ใดที่ไม่คำนึงถึงจิตวิญญาณของปวงชน ใช้ชีวิตของพวกเขาบูชาเทพ แม้จะได้เป็นเทพ ก็จักกลายเป็นเทพอสูร มารร้ายเช่นนี้ สมควรต้องกำจัด”
สีหน้านางเย็นยะเยือก เอ่ย “หากข้าจะล้างบางเทพชั่ว พวกท่านจะกล้าไปพร้อมกับข้าหรือไม่”
“พวกเรายินดีร่วมเป็นร่วมตายกับท่านเจินจวิน” เสียงตอบรับกึกก้องไปทั่วป่า ทำเอาสัตว์ป่าน้อยใหญ่วิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว
สองแขนเฟิงซิวกอดอก สายตาของเขากวาดผ่านกลุ่มผู้คนที่ฮึกเหิม ก่อนจะหยุดอยู่ที่ผู้นำอย่างฉินหลิวซี นางเปรียบดั่งแสง ส่องสว่างให้ความอบอุ่น
ไม่สิ นางเป็นแสงสว่างแห่งธรรมอันเจิดจ้า เป็นดั่งเปลวเพลิงที่ขับไล่ความมืดทั้งปวง
เขาส่งพลังจิตออกไปขับไล่เหล่าปีศาจที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ แต่กระนั้นยังมีบางคนที่มีตบะขั้นสูงสัมผัสได้ถึงพลังปีศาจจนต้องหันมองด้วยสีหน้าจริงจัง
เฟิงซิวกระแอมไอเบาๆ ส่งเสียงบอกไป “วางใจ พวกเดียวกัน”
ก็ไม่ถูกนัก ปีศาจเหมือนกัน เหมือนจะไม่ใช่ ช่างเถิด
ท้องฟ้าเริ่มมีประกายสายฟ้าระยับลางๆ เมฆลมพลันก่อตัว เสียงลมพัดกึกก้องไปทั่วป่า
ทุกคนเงยหน้ามองก่อนจะขมวดคิ้ว สถานการณ์เช่นนี้เป็นลางร้าย
ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้า ส่งพลังจิตออกไปพร้อมถ่ายทอดแผนการของซื่อหลัวให้ทุกคนรับรู้ แม้นางจะไม่รู้ว่าซื่อหลัวจะลงมือเมื่อใด แต่นางก็ไม่คิดรอจังหวะใดๆ นางต้องการลงมือก่อนเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบ
ทุกคนต่างรู้สึกหนาวสั่นในใจ
ค่ายอาคมเส้นทางเทพเจ้าที่เล่าขานว่าจะไม่มีทางปรากฏอีกในยุคที่ปราศจากพลังวิญญาณ กลับปรากฏขึ้น
และเพื่อความทะเยอทะยานส่วนตัวของมัน ซื่อหลัวปล้นโชคชะตาของตระกูลใหญ่ และช่วงชิงสายพลังวิญญาณนับไม่ถ้วน เพียงเพื่อเลี้ยงหล่อค่ายอาคมเส้นทางสู่เทพเจ้านี้ให้สำเร็จ
มารร้ายตนนี้น่ากลัวเกินไป
ไม่แปลกที่การทำนายดวงชะตาจึงกล่าวถึงมหันตภัยที่จะนำไปสู่ความพินาศของฟ้าดิน หากมันประสบผลสำเร็จ โลกนี้คงหนีไม่พ้นมหันตภัยตามคำทำนาย
ยิ่งเข้าใกล้ค่ายอาคมเส้นทางเทพเจ้า ฉินหลิวซียิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล ราวกับมีบางสิ่งหลุดรอดสายตานางไป
เงียบเกินไป
กำจัดค่ายอาคมลวงตามาได้ ตลอดการเดินทางพวกเขาไม่เจอการโจมตีใดๆ ราวกับเป็นการเดินเล่นชมทิวทัศน์ หากไม่รู้ที่มาที่ไปคงคิดว่าพวกเขามาสำรวจสถานที่
แต่ทว่าค่ายอาคมป้องกันอันใหญ่โตถูกนางทำลายลงด้วยพลังอันกล้าแกร่ง ไฉนเลยซื่อหลัวจะไม่ล่วงรู้ เพราะว่าค่ายนี้เป็นฝีมือของเขาเอง เมื่อถูกคนทำลาย ด้วยพลังการบำเพ็ญของเขาจะไม่รู้ได้เช่นไร
ค่ายอาคมถูกทำลาย เขาก็ไม่ปรากฏตัว ค่ายอาคมลวงตาถูกทำลาย เขาก็ยังไม่ปรากฏตัวอีก
และบัดนี้พวกเขาก็ล่วงล้ำเขตแดนของเขาเข้าไปทุกขณะ ใกล้ค่ายอาคมใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังคงเงียบงัน
เหตุการณ์นี้ไม่ชอบมาพากล
“มีอะไรแปลกๆ” ฉินหลิวซีเอ่ย “เงียบงันเกินไป ไม่มีเหตุผลที่เราบุกมาถึงเพียงนี้ แต่เขากลับไม่รู้สึกตัว ตอนนี้เราใกล้ค่ายอาคมใหญ่แล้ว ไฉนเขายังไม่มีท่าทีใดๆ คงไม่ใช่ว่าตายแล้วกระมัง”
เฟิงซิวขมวดคิ้ว เขาปลดปล่อยพลังจิตตรวจตรา ใช้พลังอาคมของตนสัมผัสจนกระจ่างในทันใด เอ่ย “นี่คือมิติอาคม “
สิ้นคำพูดของเขา
เสียงหัวเราะกึกก้องดังขึ้นในอากาศ
“สมกับเป็นราชาปีศาจ ในเรื่องการสร้างมิติอาคม พวกมนุษย์ต่ำต้อยเหล่านี้ย่อมเทียบไม่ได้ ฮ่าๆ ถูกเจ้าจับได้เสียแล้ว”
นี่คือเสียงของซื่อหลัว
ทุกคนตื่นตกใจ ไม่รอให้พวกเขามีปฏิกิริยาตอบรับ ภาพตรงหน้าก็หายไป ในชั่วพริบตาพวกเขาก็พบว่าตนเองยืนอยู่ท่ามกลางแท่นพิธีศักดิ์สิทธิ์
กับดักมิติ
เขาทำเช่นนี้เอง เฟิงซิวขมวดคิ้วแน่นท่าทีเยือกเย็นและดุดันปรากฏชัด
ทุกคนต่างกำอาวุธในมือแน่น มองไปรอบๆ บนแท่นพิธีนั้นมีเสาหลักขนาดมหึมาตั้งตระหง่าน และเสาที่เป็นของมังกรเขียวตัวนั้น กลับมีร่างหนึ่งถูกพันธนาการด้วยโซ่ล่ามวิญญาณ
“ฉีเชียน” เมื่อฉินหลิวซีเห็นเขา นางถึงกับตาเบิกโพลง
ร่างของฉีเชียนถูกเจาะเลือดจนไหลริน เลือดนั้นหยดลงบนแท่น พื้นที่นั้นปรากฏลวดลายอาคมแปลกประหลาด
ส่วนซื่อหลัวนั่งอยู่บนเสาของเต่าดำ[3] เขาสวมอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์สีดำทอง ขาข้างหนึ่งงอขึ้นเล็กน้อย มือหนึ่งวางบนเข่า ท่วงท่าดั่งผู้ครอบครองทุกสิ่ง ก้มมองลงมาที่พวกเขา
เขาหล่อเหลาไม่อาจมีผู้ใดเทียบได้ หากแต่ดวงตากลับเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง ราวกับกำลังมองฝูงมดปลวกอย่างไร้เยื่อใย แต่เมื่อสายตาของเขาสบเข้ากับฉินหลิวซี ความแปรเปลี่ยนในแววตาก็ปรากฏชัด
เย้าหยอก ยินดี และเจตนาร้ายที่สมดังแผนการ
“ขอบใจเจ้านัก เจ้าเด็กน้อย ขอบใจที่เจ้าช่วยพาพวกเขามาที่นี่” ซื่อหลัวลุกขึ้นยืน ก้าวเดินอย่างสง่างามจากอากาศลงมายังพื้นเบื้องล่าง ทีละก้าว ทีละก้าว
อะไรนะ
เหล่าภิกษุและนักพรตที่ตามหลังฉินหลิวซี รวมถึงผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากต่างหันมองหน้ากันและกันด้วยความงุนงง ฟังจากถ้อยคำนี้แล้ว ดูเหมือนเขาเฝ้ารอพวกตนอยู่อย่างนั้นหรือ
ทุกคนหันไปมองฉินหลิวซีโดยไม่ตั้งใจ เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไรกัน
“เจ้าต้องการเหล่าผู้บำเพ็ญตนจากใต้หล้า จุดประสงค์ของเจ้าคืออะไร” ฉินหลิวซีไร้แววอารมณ์ สีหน้าเย็นชา แต่มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อนั้นขยับเบาๆ
ซื่อหลัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังจะมีอะไรได้อีกเล่า ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้ว ใต้หล้านี้พลังวิญญาณร่อยหรอเกินไป ข้าต้องการเป็นเทพ เงื่อนไขช่างยากลำบากนัก แต่ข้าผู้นี้ เมื่อคิดจะทำสิ่งใดก็จะต้องทำสำเร็จให้จงได้ หากไร้ซึ่งเงื่อนไข ข้าก็จะสร้างเงื่อนไขเอง เมื่อพลังวิญญาณร่อยหรอ ข้าก็จะสูบสายวิญญาณ สร้างค่ายอาคม อีกทั้งยังมีเหล่าผู้บำเพ็ญอย่างพวกเจ้าที่เป็นพลังวิญญาณชั้นยอด ใครเล่าจะรู้ว่าข้าเฝ้ารอมานานเพียงใด สุดท้ายก็รอจนเจ้านำคนมาให้ข้าจนได้”
ฉินหลิวซีตัวชาดิก แววตาคมปลาบจับจ้องเขา “เจ้าต้องการให้พวกเราเติมเต็มค่ายอาคม กลายเป็นพลังหล่อเลี้ยงค่ายอาคม กลายเป็นก้อนหินสำหรับก้าวขึ้นสู่สวรรค์ของเจ้า” คนที่อยู่เบื้องหลังนางไม่มากก็น้อยล้วนแต่มีพลังบำเพ็ญอยู่ในตัว อีกทั้งไม่ใช่เพียงแค่พลังวิญญาณ หากยังมีบุญกุศลและความศรัทธาอีกด้วย ใต้หล้านี้มีผู้ใดเหมาะสมสำหรับการเลี้ยงค่ายอาคมยิ่งไปกว่าพวกเขาอีกหรือ
แปะๆๆ
ซื่อหลัวปรบมือพลางหัวเราะ เอ่ย “เจ้าช่างสมเป็นสิ่งล้ำค่าที่ข้าถูกใจที่สุด เพียงเอ่ยเจ้าก็เข้าใจทันที ทำเช่นไรดี ข้าสังหารเจ้าไม่ลงแล้ว”
ฉินหลิวซีแค่นหัวเราะด้วยความโกรธ “เช่นนั้นทุกสิ่งล้วนเตรียมพร้อมแล้ว ขาดเพียงสายลมตะวันออก เจ้ายังขาดสายลมที่ว่าอยู่ ก็คือข้านั่นเอง”
ให้ตายสิ ช่างเป็นแผนการที่แยบยลยิ่งนัก
หากสวรรค์ลิขิตให้นางเป็นผู้กอบกู้ เป็นแสงสว่าง สหายธรรมย่อมติดตามมามากมาย เขาต้องการพลังวิญญาณที่มาพร้อมบุญกุศลและความศรัทธาเหล่านั้น การที่นางมาย่อมพาคนเหล่านี้มาด้วย
โอกาสที่เขารออยู่มิใช่โชควาสนาที่สวรรค์ประทานให้ แต่คือนางต่างหาก
นางเป็นอุปสรรคขัดขวางเขา แต่ในเวลาเดียวกันกลับกลายเป็นโอกาสสำหรับเขา เป็นหินก้าวขึ้นสู่สวรรค์
ดูเถิด นางนี่เองที่นำคนเข้ามาในค่ายอาคม นางยังช่วยเขาสร้างฮ่องเต้มนุษย์และราชาปีศาจหนุ่มขึ้นมาด้วย
ซื่อหลัวตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง “ใช่แล้ว ข้าต้องขอบคุณเจ้าสายลมสายนี้ พัดมาได้จังหวะพอดี”
“ขอบคุณข้า เช่นนั้นเจ้าก็ไปตายเสียเถิด” ฉินหลิวซีอดกลั้นโทสะ เอ่ย “แล้วฉีเชียนเล่า เกิดอะไรขึ้น เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เขาไม่ควรอยู่ที่นี่”
“มนุษย์ธรรมดาหรือ ฮ่องเต้แห่งโลกมนุษย์จะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาได้อย่างไร เจ้าทำลายร่างเทพของข้า ข้าก็ทำได้เพียงใช้โลหิตมังกรและเนื้อหนังของดาวฮ่องเต้มาสร้างร่างขึ้นใหม่” ซื่อหลัวหัวเราะพลางเอ่ย “ใช้ฮ่องเต้มนุษย์บูชายัญ ข้าย่อมแสดงความจริงใจได้มากพอแล้ว ยังมีเจ้าราชาปีศาจ บรรดาปีศาจที่บรรลุญาณเหล่านั้น ใช้พลังวิญญาณบูชายัญ ไม่ได้ดีกว่าเครื่องบูชาทั่วไปหรือไร”
สิ้นเสียงเขา ด้านซ้ายหลังของพวกเขา เหล่าปีศาจที่บรรลุญาณล้มลงบนพื้นไปมากมาย ในจำนวนนั้นมีเผ่าจิ้งจอกอยู่ด้วย
ดวงตาของเฟิงซิวกลายเป็นดวงตาปีศาจในทันที เสียงเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “กินมั่วซั่วเช่นนี้ ระวังท้องเสียตายเถอะ ไอ้สุนัขเฒ่า”
คำพูดเขายังไม่ทันจบ ร่างกายพลันแปรกลับสู่ร่างปีศาจ เป็นจิ้งจอกเก้าหางสีแดงเพลิง ใช้หางฟาดฟัน พลังปีศาจกลายเป็นคมลมพัดกระหน่ำใส่ซื่อหลัว
ซื่อหลัวแค่นเสียง “ไม่เจียมตัว”
มือของเขายกขึ้น มือข้างนั้นกลับกลายเป็นฝ่ามือพุทธะตบลงไปยังเฟิงซิว
ฝ่ามือพุทธะปรากฏให้เห็น ดวงตาของฟ่านคงเบิกกว้าง ร่างกายเกิดรูปจำลองพุทธะขึ้น มือส่งไม้กายสิทธิ์เข้าปะทะฝ่ามือพุทธะ เอ่ย “อมิตาภพุทธ ซื่อหลัว จงวางดาบแห่งการเข่นฆ่าลงแล้วกลับใจเสียเถิด”
มือของซื่อหลัวชะงักเล็กน้อย แต่กลับทะลุผ่านไม้เท้าแล้วตบส่งเฟิงซิวปลิวไป เขาเอ่ยเย้ยหยัน “เณรน้อย ตอนที่ข้าเป็นพระสวดมนต์ เจ้าคงยังไม่รู้ตัวว่าเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดาอยู่ในภพชาติใด คิดจะยุ่งเรื่องชาวบ้าน”
สายตาของเขากวาดมองไปรอบหนึ่ง ก่อนหัวเราะเย็น “ดี ดี ดี คนมากรังแกคนน้อยหรือ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ไว้หน้าอีกต่อไป”
เขาฟาดมือลงอย่างรุนแรง ทันใดนั้นใต้พิภพกลับปรากฏโครงกระดูกขาวพุ่งขึ้นมามากมาย จู่โจมใส่ทุกคนอย่างดุดัน
ซื่อหลัวกลับไปสกัดเฟิงซิวที่แม้ถูกตบกระเด็นไปแต่ยังคิดจะช่วยฉีเซียน เขาเอ่ยเสียงเย็น “ยังคิดจะขัดขวางเรื่องดีๆ ของข้าอีกหรือ เช่นนั้นข้าจะใช้เจ้าสังเวยฟ้าก่อน”
“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า” ฉินหลิวซีปรากฏตัวขึ้นจากที่ใดไม่อาจรู้ได้ ในมือถือกระบี่เมี่ยหลัว แสงกระบี่สว่างวาบ นางพุ่งตรงเข้าหาซื่อหลัว
พลังอันน่าเกรงขาม กำจัดมารปีศาจสะท้าน
แสงกระบี่เฉียบคมดุจสายฟ้าฟาด พุ่งตรงเข้าหาซื่อหลัว เขาสีหน้าเปลี่ยนไป แม้หลบพ้นคมกระบี่ แต่แรงกดดันกลับสะท้านไปถึงวิญญาณของเขา
ฉินหลิวซีมองตาม พบว่าเบื้องล่างมียันต์ลอยวนวุ่นวาย แสงทองของอาวุธอาคมเปล่งประกายไม่หยุด เสียงสวดมนต์ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ โครงกระดูกขาวเหล่านั้นเหมือนจะไม่มีวันหมดสิ้น ต่างพากันโผล่ขึ้นจากใต้ดินเข้าจู่โจมผู้บำเพ็ญตน
พวกมันแทบไม่หวาดหวั่นต่อการสูญเสียใดๆ ขณะที่พลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญยิ่งใช้ก็ยิ่งพร่องลงเรื่อยๆ
บรรยากาศในค่ายอาคมพลันอัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณมหาศาล ขณะเดียวกัน ท้องฟ้าเหนือค่ายกลับมืดครึ้ม ลมและเมฆหมุนวนเกรี้ยวกราด
ซื่อหลัวหัวเราะชั่วร้าย “เมื่อห้าพันปีก่อน สองลัทธิใหญ่ทั้งพุทธและเต๋ารวมพลังกันดึงข้าลงจากบัลลังก์เทพ กักขังข้าไว้ในมหาอเวจีนรก วันนี้ข้าก็เพียงล้างแค้น นำคนในสองลัทธิของพวกเจ้ามาปูเส้นทางขึ้นสู่สวรรค์ ไม่เห็นหรือว่ามันยุติธรรมดี”
“คนชั่วมักตายเพราะพูดมาก ข้าต้องสอนเจ้ากี่ครั้งเจ้าถึงจะเข้าใจ” ร่างของฉินหลิวซีพุ่งไปข้างหน้า กระบี่เมี่ยหลัวในมือพุ่งตรงไปยังซื่อหลัว ดุจดั่งกระบี่ที่เคลื่อนไหวตามใจนึก ฟันใส่เขาอย่างไม่ปรานี
[1] ดวงตาเพลิงดวงตาทอง เป็นสำนวนจีนที่มาจากนิยายเรื่อง “ไซอิ๋ว” ใช้บรรยายดวงตาของ ซุนหงอคง ซึ่งเป็นตัวละครเอกในเรื่อง ดวงตาของเขามีความสามารถพิเศษคือสามารถมองทะลุปรุโปร่งและแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้ เช่น แยกได้ว่าใครเป็นมนุษย์ ใครเป็นปีศาจ หรืออะไรที่ถูกปกปิดด้วยเวทมนตร์ ในบริบททั่วไป สำนวนนี้ใช้เปรียบเปรยถึงการมองเห็นอย่างเฉียบแหลม การมีสายตาที่เฉียบคมและสามารถสังเกตเห็นรายละเอียดที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
[2] เจินจวิน เป็นคำเรียกในภาษาจีนที่มีความหมายเกี่ยวกับตำแหน่งหรือฐานะที่มีความสูงส่งในศาสนาเต๋าหรือในความเชื่อทางจิตวิญญาณ
[3] เต่าดำ หนึ่งในสัตว์เทพในตำนานทั้ง 4 เต่าดำเป็นสัตว์เทพที่ปกครองทิศเหนือ