คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1241 สังหารเทพพิสูจน์หนทางแห่งเต๋า
ตอนที่ 1241 สังหารเทพพิสูจน์หนทางแห่งเต๋า
………………..
สำหรับศาสตราวุธ ซื่อหลัวเองก็ยังรู้สึกเกรงกลัวอยู่บ้าง เขาขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะหัวเราะเยาะ ใช้สองนิ้ววาดอักขระกลางอากาศ ปากร่ายคาถา “หยุด”
กระบี่เมี่ยหลัวชะงักลงทันที เกิดเสียงสั่นฮัมเบาๆ
ฉินหลิวซีแววตาเย็นเยียบ ปล่อยอาคมออกไปเช่นกัน “ทำลาย”
กระบี่เมี่ยหลัวทะลุผ่านเกราะป้องกันออกไปด้วยอานุภาพอันทรงพลัง กระบี่เปล่งรัศมีเจิดจ้าประหนึ่งมหาเทพพิโรธ ปลดปล่อยแสงกระบี่นับพันสายเข้าโจมตีซื่อหลัวอย่างพร้อมเพรียง ล้อมเขาไว้แน่นหนา
ทว่าองค์พระพุทธรูปที่ดูสง่างามพลันปรากฏขึ้นจากแสงกระบี่ พระพุทธองค์ยกมือขึ้น หลับตาลงเล็กน้อย “อมิตาภพุทธ”
ตูม
แสงกระบี่ถูกทำลายลง กลายเป็นเศษเสี้ยวแสงระยิบระยับ พลังของศาสตราวุธเริ่มหม่นหมองลงเล็กน้อย
ฉินหลิวซีรู้สึกถึงรสคาวเลือดในลำคอ เลือดซึมออกมาจากมุมปากเล็กน้อย นางเลียเลือดที่มุมปากก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าช่างจัดการยากจริงๆ”
น่ารำคาญสมกับที่คิดไว้
องค์พระพุทธรูปเปิดตาขึ้นเล็กน้อย สายตาแฝงความเมตตามองมายังนาง “อย่าต่อสู้ไปโดยเปล่าประโยชน์เลย”
“เจ้าก็อย่าแสร้งทำเป็นอวดดีเลย” พลังแห่งเต๋าของฉินหลิวซีพลันทวีความรุนแรงขึ้น นางเรียกศาสตราวุธกลับมาในมือ เติมพลังวิญญาณเข้าไปในกระบี่ จากนั้นร่างของนางหายวับไป เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง นางยืนอยู่เหนือองค์พระพุทธรูป ร่างกายและกระบี่รวมเป็นหนึ่งเดียว พุ่งลงไปเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
ต่อให้เป็นพระพุทธ ข้าก็สังหารได้
ด้วยความเร็วและพลังเต๋าอันมหาศาล ร่างกายนางและกระบี่รวมกันฟาดฟันพระพุทธรูปออกเป็นสองส่วน
ซื่อหลัวถอยหลังสองก้าว กำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่ฉินหลิวซีที่โจมตีสำเร็จโดยไม่มีการหยุดพัก พลันจู่โจมเข้าใส่อีกครั้ง
ซื่อหลัวหัวเราะเสียงต่ำ นี่สินะความหมายของ ‘ผู้ร้ายตายเพราะพูดมาก’
พอเถอะ อย่าเสียเวลา สู้กันดีกว่า
พุทธและเต๋าเป็นหนึ่งเดียว แต่ก็สามารถเป็นคู่ต่อสู้ได้เช่นกัน
โดยเฉพาะในโลกมนุษย์ พุทธและเต๋าล้วนดำรงอยู่ด้วยพลังศรัทธาและการมีอยู่ของควันธูป เคยมีเหตุการณ์ยกย่องเต๋าและทำลายพุทธศาสนา และในยุคที่ตระกูลฉีครองราชย์ ก็เคยมีการยกย่องพุทธศาสนาและทำลายเต๋าเช่นกัน นี่คือผลพวงของความขัดแย้งทางศาสนา
การต่อสู้ระหว่างพุทธและเต๋าเกิดขึ้นเสมอ การปะทะกันนั้นเป็นเรื่องปกติ
เช่นในตอนนี้ การต่อสู้ระหว่างพุทธกับเต๋าเป็นการต่อสู้ด้วยพลัง
ดังคำที่ว่า เมื่อเทพต่อสู้กัน เหล่าปีศาจเล็กย่อมรับเคราะห์หนัก เมื่อผู้แข็งแกร่งเผชิญหน้ากัน ผู้ที่ต้องทนทุกข์ก็คือเหล่าผู้ฝึกตนที่ยังอ่อนด้อย
พลังวิญญาณของพวกเขากำลังสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว
เถิงเจาพาเจ้าโสมน้อยและหนูทองคำวิ่งพล่านไปทั่ว กลายเป็นทีมเหล็กสามประสาน ส่วนผู้ที่มีพลังสูงอย่างปรมาจารย์ไท่เฉิงต่อสู้กับมนุษย์โครงกระดูก พร้อมปกป้องพวกเขาไปด้วย
มนุษย์โครงกระดูกพลันเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ชิงหย่วนพร้อมกับซานหยวนขว้างยันต์ห้าสายฟ้าใส่มนุษย์โครงกระดูกทีละใบๆ จนทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่ข้างๆ ถึงกับรู้สึกเสียดาย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องการสูญเสียยันต์ห้าสายฟ้า แต่ควรคิดว่าจะฝ่าออกไปจากค่ายอาคมเส้นทางเทพเจ้านี้และเอาชีวิตรอดได้อย่างไร
ใช่แล้ว ฉินหลิวซีส่งเสียงแจ้งเตือนพวกเขาไว้ตั้งแต่ตกหลุมพรางของซื่อหลัว ให้รักษาชีวิตและออกจากค่ายอาคมนี้ไปให้ได้ อย่าได้กลายเป็นพลังงานเลี้ยงค่ายอาคมนี้เด็ดขาด
ซือหลิ่งเย่ว์เอ่ยกับเหมิงหลู่แห่งหมอผีเผ่าเหมียว “มนุษย์โครงกระดูกใต้ดินนั้นดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าสู้ต่อไปแบบนี้ พลังวิญญาณของเราจะสูญเสียไปมาก”
ทั้งสองสบตากัน “ใช้กู่”
เผ่าแม่มดย่อมไม่มีผู้ใดไม่ชำนาญการเลี้ยงกู่ เหล่าแมลงใต้หล้าล้วนสามารถกลายเป็นกู่ได้ แม้แต่โครงกระดูกขาวยังมีแมลง และพวกมันก็อาจกลายเป็นกู่ได้เช่นกัน
สองคนต่างปฏิบัติหน้าที่ของตน อัญเชิญราชากู่เพื่อเรียกฝูงกู่ ไม่นานแมลงกู่มากมายดุจเมฆครึ้มก็ปรากฏขึ้นจากใต้ฝ่าเท้าของทั้งสอง แม้แต่โครงกระดูกขาวก็มีแมลง ฝูงแมลงเหล่านั้นราวกับได้รับคำสั่ง จึงพากันคลานขึ้นไปยังมนุษย์โครงกระดูก
ผู้คนโดยรอบต่างรู้สึกขนลุกชันขึ้นมา
แมลงกู่ น่ากลัวยิ่งนัก
…
บนแท่นบูชา เฟิงซิวใช้ร่างแยกพุ่งไปยังเสามังกรเขียว พลังปีศาจแหวกฟาดโซ่พันวิญญาณ โซ่พันวิญญาณเปล่งแสงทองเจิดจ้า กลายเป็นสายแสงสีทองพุ่งเข้าหาเพื่อฟาดฟันร่างแยกของเขา
สายแสงทองรวดเร็วและคมกริบ
ร่างแยกของเฟิงซิวยังไม่ทันหลบหนี ก็ถูกแสงสายนั้นบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ร่างจริงของเฟิงซิวกระอักเลือดสีแดงออกมา สีหน้าเคร่งขรึมจับจ้องไปยังแท่นบูชาแห่งนั้น มันเป็นแท่นบูชา แน่นอนว่าไม่ปล่อยให้เขาทำลายได้ง่ายๆ ส่วนสำคัญของค่ายอาคมอยู่ตรงนั้น ฉะนั้นการป้องกันย่อมแน่นหนา
เขาเหลือบมองฉินหลิวซีเพียงครู่หนึ่ง ก่อนกัดฟันแน่น ขณะกำลังจะเคลื่อนไหว ทว่าเสียงกระซิบผ่านจิตของฉินหลิวซีพลันดังแทรกเข้ามา
ร่างเฟิงซิวชะงักไปชั่วขณะ ดวงหน้าปรากฏแววลังเล เพียงครู่หนึ่งเขาก็หันไปยังทิศทางอื่น
ซื่อหลัวรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง ฝ่ามือแห่งพุทธะเงื้อขึ้นแล้วฟาดไปยังฉินหลิวซีหนักๆ
“อมิตาภพุทธ” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น ฟ่านคงไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นข้างฉินหลิวซีตั้งแต่เมื่อใด เขาใช้คทาศักดิ์สิทธิ์ขวางฝ่ามือหนักหน่วงนั้น เสียงกระดิ่งดังระรัวก้องสะท้าน
ฟ่านคงเปล่งเสียงภาวนาบทสวดพุทธมนต์ พลังพุทธะหลั่งไหลสู่คทาศักดิ์สิทธิ์ กระดิ่งที่ปลายคทาสั่นไหว กังวานประดุจบทเพลงปราบมาร ท่วงทำนองแหลมคมแปรเปลี่ยนเป็นคาถาแสงทองโจมตีไปยังซื่อหลัว
ฝ่ามือพุทธะของซื่อหลัวถูกทำลายจนสิ้น เขาเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ทุกคนเป็นพระเหมือนกัน จะทำร้ายข้าได้มากเพียงใดกันเชียว”
สิ้นคำ เขาสวดอาคมก้องฟ้า รูปยักษ์ทองคำตระหง่านปรากฏขึ้น แสงสีทองแพรวพราว เพียงปลายนิ้วสะบัด ฟ่านคงก็ถูกยักษ์ทองพุ่งชน ร่างปลิวลอยราวกับว่าวที่สายป่านขาด
ซื่อหลัวหันมองไปยังฉินหลิวซีที่ยืนอยู่บนเสามังกร ริมฝีปากเขาแย้มรอยยิ้มเย็นชาราวกับมีดอันคมกล้า กำลังจะก้าวไปขัดขวาง ทว่าเหล่าเณรน้อยและไต้ซือฮุ่ยเหนิง ฮุ่ยเฉวียนต่างล้อมเขาเอาไว้ ทั้งหมดนั่งขัดสมาธิ หลับตาแน่น สวดมนต์อาคมเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งพุทธะ พลังอันสง่างามศักดิ์สิทธิ์แผ่ขยายออกมา
เมื่อเห็นแสงพุทธะเหล่านั้น ซื่อหลัวนัยน์ตาแดงฉาน นึกถึงภาพบางอย่าง ใบหน้าบิดเบี้ยว ปากของพวกเขาร่ายบทสวด แปรเปลี่ยนเป็นตัวอักษรสีทอง ผนึกเขาเอาไว้
สิ่งใดคือชั่ว สิ่งใดคือดี เขาเกิดมาพร้อมดูดกลืนเลือดมารดาเพื่อมีชีวิตรอด เช่นนี้นับว่าชั่วร้ายกระนั้นหรือ
เขาเห็นสิ่งต่ำช้าโสมมบนโลกเหล่านั้น ไม่ตัดสิน ไม่สนใจ นี่เป็นความชั่วร้ายหรือ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาขอสร้างกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินขึ้นใหม่ เมื่อเขากลายเป็นเทพผู้พิทักษ์สรรพสิ่งบนสวรรค์ คงไม่อาจเรียกข้าว่าชั่วร้ายได้แล้วกระมัง
แต่ในสายตาของเหล่าผู้ตั้งตนเป็นธรรม กลับตัดสินเป็นมารร้าย
นี่ไม่ได้ นั่นไม่ได้ ทำตามใจตนเสียเถิด
เขาอยากทำสิ่งใดก็จะทำ เขากลายเป็นเทพแห่งสวรรค์ เบื้องบนขึ้นสรรค์ เบื้องล่างทำลายล้างโลกได้
เมฆลมเคลื่อนไหว เมฆดำหนาทึบก้อนใหญ่ ปกคลุมไปทั่วบริเวณนี้ แผ่นดินสั่นไหว พลังวิญญาณแห้งเหือด
ในศูนย์กลางค่ายอาคม พลังวิญญาณของสรรพชีวิตภายในค่ายถูกสูบออกดั่งมีบางสิ่งดึงดูดไป ผู้ที่มีวรยุทธ์ตื้นเขินถึงขั้นถูกดึงเอาดวงจิตวิญญาณ สูญสิ้นลมหายใจทีละคน ล้มลงกับพื้น
ในค่าย พลังวิญญาณโหมกระหน่ำ ไม่อาจควบคุมได้
ฉินหลิวซีเผยสีหน้าตระหนก นางหันมองไปยังซื่อหลัว เขาบ้าไปแล้ว
นางเร่งรุดไปยังเสาหลักมังกร ใช้กระบี่เมี่ยหลัวฟันโซ่ล่ามวิญญาณจนขาดออก ปลดปล่อยฉีเชียนออกมา ก่อนจะจับมือเขาไว้อย่างรวดเร็ว หยิบยาจากถุงเฉียนคุนยัดเข้าปากเขา
ทว่าซื่อหลัวมาถึงในชั่วพริบตา ฝ่ามือตวัดผลักนางออก ชิงตัวฉีเชียนกลับคืนไป สูบกลืนเลือดบริสุทธิ์จากร่างของเขา จากนั้นก็ดึงเอาเส้นผม เล็บและเลือดเนื้อ
ร่างฉีเชียนถูกโยนลงแท่นบูชาราวกับตุ๊กตาที่พังทลาย
ฉินหลิวซีสะบัดกายพุ่งไปข้างหน้า ส่งพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างของเขา จากนั้นเงยหน้ามองซื่อหลัวซึ่งบัดนี้ร่างลอยอยู่เหนือแท่นบูชา พลังวิญญาณในค่ายอาคมหลั่งไหลสู่ร่างเขาอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมด้วยพลังชีวิตไม่สิ้นสุด
เสาธงใหญ่หลายต้นในแท่นบูชาเปล่งเสียง “ฮึ่ม” ออกมา
การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงสะท้านทั่วทั้งค่ายอาคม
ดวงตาฉินหลิวซีหดแคบ สะท้อนประกายเยียบเย็นวูบหนึ่ง
ร่างกายซื่อหลัวได้รับการปฏิรูปใหม่ ทั้งโครงกระดูก เส้นลมปราณ และเนื้อหนัง พลังวิญญาณในค่ายอาคมถูกดูดซับเข้าสู่ร่างอย่างไม่ขาดสาย เพียงชั่วพริบตา เขาก็มิใช่วิญญาณอีกต่อไป หากแต่เป็นมนุษย์
คนที่มีกระดูกพุทธะและเลือดของฮ่องเต้ เขาลืมตาขึ้น ดวงตาสีม่วงดำจับจ้องฉินหลิวซีด้วยแววตาเย้ยหยันยิ่งกว่าเดิม “เจ้า ขัดขวางข้าไม่ได้”
เพียงแค่เขาขยับความคิด พระพุทธรูปที่ยิ่งใหญ่สง่างามและรูปปั้นของผู้นำลัทธิเต๋าก็ผสานรวมกันกลายเป็นเทพสูงสุดเหนือสิ่งใด
เพียงคิด ก็ทำลายล้างโลก
พลังวิญญาณของเหล่าผู้ฝึกตนถูกดูดออกทีละน้อย ทำให้โชคลาภภายในค่ายอาคมทะยานขึ้นฟ้าราวกับเมฆ หากแต่ยังไม่เพียงพอ
ซื่อหลัวลอยขึ้นกลางอากาศ มองไปยังภูเขาที่ไร้เส้นเลือดมังกร เขาเงื้อแขนเรียกด้วยเสียงดังกึกก้อง “ข้าขอสั่งด้วยนามฮ่องเต้มนุษย์ ใช้ชีวิตชาวโลกบูชา ถามถึงเส้นทางสวรรค์”
ฮึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม
เสียงดังก้อง โชคลาภพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงม
วิญญาณของซื่อหลัวทะลุผ่านท้องฟ้า มายังเขาหลังวัดอวี้ฝอ ก่อนจะยกฝ่ามือฟาดลงอย่างรุนแรง
นี่เป็นพลังสุดท้าย เขามาเอาแล้ว
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง ทำให้วัดอวี้ฝอสั่นสะเทือนไม่น้อย แม้แต่ชาวเมืองใกล้เคียงยังแตกตื่น วิ่งออกมาจากบ้านเรือน มองไปทางนั้นอย่างตกตะลึง แผ่นดินไหวอีกแล้วหรือ
ฝ่ามือมหึมาชักเอาเส้นเลือดมังกรขึ้นมา ทันใดนั้นแผ่นดินก็ไหวสะเทือน ภูเขาสั่นคลอน ทั่วทั้งเมืองเซิ่งจิงโยกไหวไม่หยุด
เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นไม่ขาดสาย
ฟ้าราวกับจะถล่มลงมา เมฆดำม้วนตัวปั่นป่วนราวกับคลื่นทะเลกลางพายุ กลางวันดุจดั่งกำลังจะสูญสลาย
“อมิตาภพุทธ” ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือเอ่ยขึ้น ปรากฏพระพุทธรูปทรงอำนาจและเมตตา กดลงบนฝ่ามือมหึมาที่กำลังยื่นไปยังเส้นเลือดมังกรและกระดูกแห่งบาป
ถ้อยคำเก้าศักดิ์สิทธิ์แปรเปลี่ยนเป็นแสงทองนับหมื่นพัน กดทับฝ่ามือนั้นไว้ ก่อนเกิดเสียงระเบิดกึกก้อง
ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือยอมเสียสละ ใช้ไฟแท้แห่งจันทราผลาญร่างกายตนเอง กลายเป็นมนุษย์เพลิง
วิญญาณซื่อหลัวถูกเผาด้วยไฟแท้แห่งจันทรา เกิดความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส จนต้องดึงดวงจิตกลับมาตามสัญชาตญาณ แต่เพียงชั่วขณะ เขาก็เสียโอกาสสำคัญไป
ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือค่อยๆ ลอยลงสู่เส้นเลือดมังกร นั่งลงบนกระดูกแห่งบาป ใช้ไฟแท้แห่งจันทราเผาผลาญ ใช้วิญญาณกดเส้นเลือดมังกรกลับสู่ใจกลางผืนดินด้วยกุศลนับหมื่นพันของเขาเพื่อสะกดเส้นเลือดมังกร ให้โลกกลับคืนสู่ความสงบ
ผู้เฒ่าอาวุโสจิ้งฉือประสานมือ ปล่อยจิตสงบลง ศีรษะก้มต่ำ ไฟแท้แห่งจันทราดับสิ้น ทิ้งไว้เพียงอัฐิเจ็ดสีซึ่งแทรกซึมสู่เส้นเลือดมังกร
การสั่นไหวของแผ่นดินหยุดลง เจดีย์พุทธะเอนตัวเอียง ทว่าพื้นดินมีเพียงหลุมเล็กๆ ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความเงียบสงบ หากแต่วัดอวี้ฝอกลับกลายเป็นซากปรักหักพังราวกับถูกพายุถล่ม
บนฟากฟ้า เมฆดำสงบนิ่ง ในหมู่เมฆปรากฏแสงพุทธะเจ็ดสีส่องประกาย ฝนปรอยๆ ซึ่งแฝงด้วยพลังวิญญาณโปรยปรายราวกับกำลังส่งผู้จากไป
ทั่วทั้งเมืองเซิ่งจิงล้วนตกอยู่ในความมึนงง แผ่นดินไหวอีกแล้วหรือ
“ดูนั่น แสงพุทธะ” ไม่รู้ผู้ใดชี้ไปยังแสงพุทธะในหมู่เมฆแล้วร้องตะโกนออกมา
แสงเจ็ดสีอันเจิดจ้าท่ามกลางความมืดมิดช่างสะดุดตา
ผู้คนบางส่วนหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้จะพยายามเช็ดแล้ว น้ำตาก็ยังไหลไม่หยุด สร้างความรู้สึกประหลาดใจแก่พวกเขาอย่างยิ่ง
…
“เจ้าเฒ่าหัวโล้นสมควรตาย”
ซื่อหลัวกระอักเลือดสดออกมา ร่างวิญญาณเจ็บปวดราวกับแหลกสลาย พลังวิญญาณในกายราวกับสูญเสียการควบคุมระเบิดออก ปัง ปัง ปัง ภูเขาทั้งลูกถล่มลงมา
เวลานี้เอง
ฉินหลิวซีกับเฟิงซิว รวมทั้งฟ่านคง เข้าล้อมเขาไว้เป็นมุมสามเหลี่ยม
พลังราชาปีศาจของเฟิงซิวพลุ่งพล่าน เขากางเขตแดนกว้างใหญ่ดึงทุกคนเข้าไปในพื้นที่นั้น ฟ่านคงเผยร่างพุทธะ บังเกิดรัศมีทองพวยพุ่งจากกาย ทะลวงตรงไปยังซื่อหลัว
เมื่อกระดานปรากฏ ฉินหลิวซีใช้พลังสะท้อนเฟิงซิวกับฟ่านคงออกไป เหลือเพียงซื่อหลัวถูกขังอยู่ภายใน
เฟิงซิวและฟ่านคงต่างนิ่งงันชั่วครู่ คนแรกดูเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้ รีบพุ่งกลับเข้ามาโดยไม่ลังเล ทว่า ค่ายอาคมกักเทพไม่ได้มีไว้เพื่อเขา
ซื่อหลัวเองก็ชะงักไปชั่วครู่ มองไปยังแท่นค่ายอาคมนี้ ลวดลายอาคมงดงามแปลกตา แผ่กลิ่นอายอำนาจเทพเจ้าออกมาอย่างเข้มข้น ทรงพลังยิ่งกว่ากระบี่เล่มนั้นเสียอีก เขาพลันคิดจะทะลวงออก ทว่าไม่อาจทำได้
เขาหรี่ตาลง เอ่ย “นี่คืออาวุธสังหารของเจ้าหรือ เรียกว่าอะไร”
“ค่ายอาคมกักเทพ”
ซื่อหลัวเลิกคิ้ว “ข้าเคยได้ยินแต่ค่ายอาคมขังเซียน เป็นสมบัติล้ำค่าของลัทธิเต๋า เจ้านี่…
“ก็ดัดแปลงมาจากมันนั่นแหละ” ฉินหลิวซีสะบัดแขนเสื้อเอ่ยอย่างสบายใจ เอ่ย “เพื่อหลอมค่ายอาคมนี้ ข้าลำบากแทบศีรษะล้าน ไม่รู้ว่าเปลืองสมองไปเท่าใด”
ซื่อหลัวหัวเราะเสียงดัง “ลำบากเจ้าลงแรงสร้างสิ่งน่าทึ่งนี้มาเพื่อข้า ถือเป็นโชคดีของข้าจริงๆ กักเทพ ข้าชอบชื่อนี้ แต่เจ้าคิดว่ามันจะกักข้าได้จริงหรือ”
“จะกักได้หรือไม่ เจ้าก็ลองดูเถิด” ฉินหลิวซีคลี่ยิ้ม เอ่ย “ข้าเองจะได้ทดสอบว่าพลังบำเพ็ญของข้าถึงไหนแล้ว”
รอยยิ้มของซื่อหลัวค่อยๆ เลือนหาย เขาเคลื่อนกายหายวับไป เพียงชั่วพริบตาก็ปรากฏตัวอีกครั้ง จ้องมองด้วยแววตาลึกล้ำ “เจ้าช่างน่าทึ่งนัก”
เพื่อกักขังเขา นางถึงกับวางจุดกำเนิดพลังชีวิตไว้เป็นแกนกลางของค่ายอาคม และตัวนางในฐานะนักพรตผู้ลงอาคม ก็กลายเป็นทั้งจุดกำเนิดพลังและแกนกลางค่าย หากค่ายถูกทำลาย นางต้องดับสูญ หากนางดับสูญ ค่ายนี้ก็แตกสลาย ไร้หนทางแก้ไข
นางไม่ได้เปิดเผยแท่นค่ายอาคมนี้ตั้งแต่แรก เป้าหมายก็เพื่อนให้เขาสร้างกายเนื้อสำเร็จ อีกทั้งรอให้เขาดึงกระดูกพุทธะชิ้นสุดท้ายไม่สำเร็จ มองดูพลังของเขาที่ถดถอยถึงที่สุด จึงอัญเชิญแท่นค่ายอาคมนี้ที่ใช้ตัวนางเองเป็นศูนย์กลางของค่ายอาคม
นางไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตอบโต้แม้เพียงนิด
ช่างมีความอดทนอดกลั้นยิ่งนัก
อายุยังน้อย แต่ความคิดลึกซึ้งรอบคอบ ไม่แปลกใจทางรอดเดียวที่เขาคำนวณออกมาได้ นางคือทั้งโชควาสนาและเคราะห์ภัยชีวิตของเขา ที่แท้ความจริงก็อยู่ที่นี่เอง
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
ฉินหลิวซีมองออกไปด้านนอก เฟิงซิวยังคงพยายามที่จะฝ่าเข้ามา ถูกนางส่งสายตาขับไล่
ยังมีด้านล่าง ยามนี้มีผู้คนล้มตายไม่น้อย พลังวิญญาณของพวกเขาค่อยๆ เลือนหาย ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ จึงหันมองมาทางนี้ ประสานสายตาเข้ากับนาง หัวใจสั่นสะท้าน
เถิงเจาและเจ้าโสมน้อยสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ตรงดิ่งมาทางนี้
พวกเขาต่างใบหน้าซีดขาวเพราะสูญเสียพลังวิญญาณ ความคล่องแคล่วไม่เหมือนก่อนหน้า แต่แววตาที่เต็มไปด้วยความร้อนใจนั้นกลับไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่เข้าใจ เพราะความไม่อยากสูญเสีย จึงต้องปกป้องสุดชีวิต
ซื่อหลัวถูกสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของนางแทงใจอย่างแรง เขาส่งเสียงหึอย่างเย็นชา เอ่ย “เช่นนั้นลองดูว่าเจ้าจะกักข้าเอาไว้ได้หรือไม่”
สีหน้าของเขาเยือกเย็น ทันใดนั้นร่างกายพลันเปล่งประกายสีทองออกมา
ดวงตาฉินหลิวซีสะท้อนความเย็ยเยียบออกมา
ในที่สุด ทุกอย่างก็มาถึงขั้นนี้
ใช้ร่างกายบูชายัญ ใช้ชีวิตของประชาชนทั่วหล้าเป็นเครื่องบูชา เขาต้องการเป็นเทพ
ในค่ายอาคม พลังวิญญาณพลันหลั่งไหลเข้าสู่แท่นบูชา เฟิงซิวและฉินหลิวซีสบตากัน ก่อนจะไปยืนยังลานกว้างเล็กๆ บนค่ายกักวิญญาณที่เถิงเจาและพวกเขาวางไว้ เฟิงซิวใช้พลังปีศาจสร้างพื้นที่ว่างขึ้นมา และพาผู้บำเพ็ญเพียรที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าไปในพื้นที่นั้น เพื่อป้องกันไม่ให้พลังวิญญาณของพวกเขาถูกดูดกลืน
นี่เป็นคำสั่งที่ฉินหลิวซีได้วางไว้ก่อนหน้า
ฟ่านคงและไต้ซือฮุ่ยเหนิงสวดมนต์ภาวนาอยู่ในมิติ ใช้พุทธานุภาพก่อกำแพงคุ้มกันขึ้นอีกชั้น ปกป้องสรรพชีวิตในมิตินั้น
ภายในค่ายอาคม ซื่อหลัวเร่งเร้าพลังเต็มกำลัง ขณะนี้เขากำลังบูชายัญ ใช้ร่างตนบูชา เพื่อช่วงชิงพลังชีวิตแห่งเหล่าสรรพชีพทั่วหล้า
…
ในเขตต้าเฟิง ภัยพิบัติเกิดขึ้นทุกหนแห่ง ร่องรอยแห่งหายนะปรากฏ
ในขณะนั้นเอง จิ้งจอกยักษ์ตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางมหาสมุทร มันอ้าปากกว้างประดุจมังกร ดูดกลืนกระแสน้ำที่กำลังไหลทะลักกลับไป
ผู้คนที่ได้เห็นต่างพากันตกตะลึง
คลื่นน้ำสูงหลายเมตรที่ใกล้เข้ามา กลับเหมือนถูกพลังลึกลับขวางกั้นไว้ มิอาจขยับไปข้างหน้าได้ กระแสน้ำค่อยๆ ถอยหลังไป ห่างออกไปเรื่อยๆ จนหายลับไป
ตอนกลาง แผ่นดินสั่นสะเทือน ภูเขาทรุดตัว ทางเชื่อมระหว่างเหนือใต้บางส่วนถูกปิดกั้น บางพื้นที่เกิดหิมะถล่ม
ทิศตะวันตก พื้นดินที่เงียบสงบอยู่ดีๆ กลับแยกออกเป็นรอยแตกขนาดใหญ่ ผู้คนจำนวนมากตกลงไปในรอยแยกนั้น ภูเขาบางลูกถูกสายฟ้าจากสวรรค์ฟาดจนระเบิดไฟลุกโชน สิ่งมีชีวิตท่ามกลางเปลวไฟส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าสะพรึงกลัว
ทิศใต้ สัตว์ป่านับไม่ถ้วนกรูกันเข้าไปในตัวเมือง อาละวาดสร้างความเสียหาย ทำร้ายประชาชนและบางตัวยังฆ่าตัวตายอีกด้วย
เซิ่งจิง ชาวเมืองยังไม่ทันคลายความสะพรึงจากแผ่นดินไหวก่อนหน้านี้ ก็มองเห็นท้องฟ้าที่เดิมยังสว่างกลายเป็นมืดมิดในพริบตา
โลกหล้าถูกกลืนสู่ความมืด เสียงกรีดร้องดังขึ้นไม่ขาดสาย
ในอากาศที่คนทั่วไปมองไม่เห็น วิญญาณอาฆาตลอยล่อง ประหนึ่งว่าประตูภูตผีได้เปิดออก วิญญาณร้ายเหล่านั้นพุ่งทะยานออกมา ทว่ากลับถูกอำนาจที่น่าเกรงขามข่มขวัญไว้และถูกจับดึงกลับคืน
หมื่นผีออกมา สรรพสิ่งย่อมต้องพินาศ พวกมันออกมาไม่ได้
จิตใจนิ่งสงบของฉินหลิวซีเคลื่อนไหว ค่ายสังหารเคลื่อนไหว เกิดร่างมากมายนับไม่ถ้วนของนางพร้อมพลังเต๋าอันแรงกล้าพุ่งเข้าหาซื่อหลัว ขัดขวางการบูชายันต์ของเขา
ซื่อหลัวแค่นหัวเราะ พลันดีดนิ้ว ดึงนางเข้าสู่ค่ายอาคมภาพลวงตา
ฉินหลิวซีคุกเข่าอยู่ในความเวิ้งว้าง มองเห็นวั่งชวนกำลังร้องเรียกนาง มองเห็นนางนั่งขัดสมาธิอยู่ในที่อันมืดมิดไร้แสงสว่าง เผชิญหน้ากับสิ่งที่เปรียบเสมือนหลุมดำแห่งความสิ้นหวัง ต่อสู้กับความมืดเวิ้งว้างนั้นไม่มีที่สิ้นสุด หมอกมืดดำถาโถมเข้าใส่นาง ราวกับมารปีศาจ รุมล้อมตัวนางและพร้อมจะกลืนกิน
นางเห็นเด็กคนนั้นวิงวอนต่อปรมาจารย์ ให้อาจารย์มาพานางออกไป นางโหยหาแสงสว่าง ปรารถนาให้แสงสว่างนั้นหวนกลับมา
แต่วันแล้ววันเล่า ความหวังนั้นมิอาจกลายเป็นจริง แสงที่เคยปรากฏในชีวิตกลับไม่มีวันหวนคืน โชคดีของนาง ใช้หมดตั้งแต่วัยเยาว์แล้ว
นางนั่งอยู่ในหลุมมืดมิดนั้น ค่อยๆ สูญเสียความรู้สึก สูญเสียความเป็นมนุษย์ จิตใจอาฆาตนับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น นับวันยิ่งหนักหน่วง
ปีแล้วปีเล่า นางเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง ทว่าไม่เคยมีแม้รอยยิ้มสว่างไสว นางสังหารคน ช่วงชิงวิญญาณหยิน นางสังหารผี หลอมและกลืนกินผี สุดท้ายระเบิดตนเองจนสูญสิ้น
วั่งชวนเอ๋ย
ดวงตาทั้งสองของฉินหลิวซีแดงฉาน
สายลมแห่งความตายหอบพัดมา รัศมีดำมืดเริ่มคืบคลานคล้ายอสรพิษพันเลื้อย กัดกร่อนซึมสู่จิตใจ
ทว่าฉินหลิวซีกลับไม่ไหวติง ราวกับถูกชักพาให้ย้อนคืนสู่ภาพอดีต บ้านหลังเล็กในเขตเส้นลมปราณน้อยที่ซีเป่ย นางเห็นอาจารย์ผู้สูงส่งนอนแน่นิ่งบนผืนดินเย็นเยียบ ลมหายใจขาดห้วง ร่างกายไร้ไออุ่น
แม้นางพยายามปรุงยาขั้นสูงหวังคืนชีวิต ทว่าทุกสิ่งกลับไร้ผล นางช่วยอาจารย์ไม่ได้
เป็นความผิดของนาง นางควรเพียรพยายามมากกว่านี้ ไม่ควรประมาท
ภาพตรงหน้า ภาพเหตุการณ์น่าสยดสยองเกิดขึ้นอีกครั้ง นักบวชจากลัทธิเต๋าล้มตายเรียงรายอยู่ตรงหน้า ลมหายใจของพวกเขาสูญสิ้น
พลังชีวิตดับสูญ
นางยืนอยู่ท่ามกลางดินแดนรกร้างไร้สรรพชีวิตเพียงคนเดียว นางทำอะไรไมได้แล้ว นางช่วยผู้ใดไม่ได้ นางช่วยโลกไม่ได้
มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย
มิสู้ตายจากไป มิสู้ตายจากไป
ฉินหลิวซีล้มตัวนอนลงบนพื้นที่เย็นเยียบ ปล่อยให้ความมืดกล้ำกราย ปกคลุมนางเอาไว้ กลืนกินนาง
“เจ้าจำเอาไว้ เจ้าก็เป็นคนที่มีบ้านให้กลับ บ้านหลังนี้เป็นที่พักพิงให้เจ้าเสมอ”
“ท่านอาจารย์ รอข้าฝึกฝนสำเร็จ ท่านจะได้ดื่มกินได้เต็มที่”
“เสี่ยวซีซีเอ๋ย เจ้าจะยอมตายด้วยความยินดีได้เช่นไร แต่จิ้งจอกเฒ่าอย่างข้าตายไม่ได้หรอก ต่อสู้กับสวรรค์ มันช่างสนุกสิ้นดี”
“เหล่านี้รอเจ้ากลับมา ข้าจะร่วมดื่มกับเจ้า ดีหรือไม่”
“เด็กน้อย หากข้าไม่ใช่ข้าอีกต่อไป เจ้าจงสังหารเทพ”
พลังเทพในจิตวิญญาณของฉินหลิวซีพลันเคลื่อนไหว นางลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือดวงตาของซื่อหลัว อีกฝ่ายยังคงเอ่ยว่า “ตายเสียยังจะดีกว่า”
นางเย้ยหยันต่อซื่อหลัว เอ่ย “กระดูกพุทธะใช้ดีหรือไม่”
“หืม?”
ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “รู้จักลูกไฟที่เผาผลาญทั้งปฐพีหรือไม่”
ซื่อหลัว “?”
ฉินหลิวซียิ้มพลางส่งจูบหยอกเย้า
ซื่อหลัวดวงตาหดเกร็ง ไม่รอให้เขาได้สติ กระดูกในกายเขาพลันมีไฟลุกขึ้นมา กลืนกินทั้งร่างและจิตวิญญาณ
เจ้าบ้าไปแล้ว
เขาจ้องมองฉินหลิวซีอย่างไม่อยากเชื่อ นางเผาทำลายกระดูกนั้น
ฉินหลิวซีหัวเราะอย่างงดงามดุจบงกชแดงผลิบาน “เจ้าปรารถนาจะเป็นเทพ ข้ากลับปรารถนาจะสังหารเทพ”
ซื่อหลัวเผยความหวาดหวั่นออกมาในที่สุด
การกระทำของฉินหลิวซีครั้งนี้ หาได้ต่างจากเขาไม่ นางใช้วิญญาณแห่งเทพเป็นเครื่องสังเวย แต่กระนั้น วิญญาณแห่งเทพของนางก็คือเชื้อไฟนี้เอง
เมื่อเชื้อไฟดับสูญ นางย่อมสูญสลาย
ซื่อหลัวคิดจะหนี แต่นางคือประตูแห่งชีวิตและความตาย เข้าออกไม่ได้
ฉินหลิวซีพลิกมือขึ้นสองข้าง จิตแห่งเต๋าแผ่กระจายไปทั่วร่าง แผ่นภาพแปดเหลี่ยมแห่งเต๋าปรากฏขึ้นเบื้องหลังนาง นางร่ายมนต์เสียงแผ่วเบา “ด้วยโลหิตและเนื้อข้าเป็นเครื่องนำ ด้วยวิญญาณข้าเป็นเครื่องบูชา ด้วยแรงปรารถนาแห่งข้า ขอยอมเป็นเปลวเพลิงเผาผลาญร่างกาย สังหารเทพ พิสูจน์หนทางแห่งเต๋า พิทักษ์ปวงชน”
สังหารเทพ พิสูจน์หนทางแห่งเต๋า นี่คือจุดจบสุดท้ายของนาง
ไฟนรกบนกายของซื่อหลัวโหมกระพือยิ่งขึ้น เขาแหงนมองเมฆหนาทึบที่มิได้ทอดบันไดสวรรค์ลงมา จ้องดูเมฆที่ค่อยๆ แยกตัวเผยแสงสีขาวเพียงเล็กน้อยจนสว่างไสว ความโกรธของเขาพลุ่งพล่านขึ้น
ค่ายอาคมเส้นทางเทพเจ้าคำรามสนั่น
เฟิงซิวตาแดงก่ำด้วยความโกรธ “ท่านอย่าได้หวัง”
“ไม่ฟังคำข้า ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
“มีปัญญาท่านก็ออกมาสิ” เฟิงซิวตะโกน เขาจ้องมองไฟนรกที่ค่อยๆ มอดดับลง ดวงตาแดงฉาน
เถิงเจาอยากพุ่งตัวเข้าไป ถูกเจ้าโสมน้อยดึงเอาไว้
“มีปัญญาออกมาเผชิญหน้าข้าสิ!” เฟิงซิวตะโกนเสียงดัง เขาจ้องมองไฟนรกที่ค่อยๆ มอดลงเรื่อยๆ ดวงตาแดงฉาน
เถิงเจาตั้งใจจะพุ่งไป แต่กลับถูกโสมน้อยยึดตัวไว้แน่น
ฉินหลิวซีเอ่ย “เสวียนอี นำพาพวกเขาออกไป นี่คือคำสั่งของอาจารย์”
เถิงเจาชะงักงัน ดวงตาแดงรื้น
นางเรียกฉายาทางเต๋า นี่เป็นคำสั่งที่ไม่อาจขัดขืน
เถิงเจาพาทุกคนเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ซื่อหลัวเห็นแล้ว ยิ้มเย็น “เจ้านี่มันโง่เขลาเสียจริง”
“ข้าจะตายไปพร้อมกับเจ้า เจ้ามีวาสนาแล้ว อย่าได้พูดมาก” ฉินหลิวซีควบคุมเปลวไฟ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
วิญญาณของซื่อหลัวค่อยๆ สลายไป ไฟแห่งชีวิตเริ่มมืดลง เอ่ย “ก็จริง หากมีเจ้าอยู่เป็นเพื่อน ย่อมไม่ขาดทุนแล้ว”
ด้วยลมหายใจแห่งวิญญาณที่เหลืออยู่ เขาโอบพันธนาการนางแน่น เจ้าเอ่ยถูกแล้ว ตายพร้อมกัน ใครก็อย่าคิดหนีรอดไปได้
ฉินหลิวซีรวบรวมพลังวิญญาณที่เหลือทั้งหมด ฉีกเปิดประตูแห่งชีวิตที่มุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ เถิงเจาจับจ้องพวกเขาออกจากค่ายอาคมด้วยแรงกดมหาศาล
ตำแหน่งชีวิตเดิมขึ้นอยู่กับพลังจิตของนาง แต่ยามนี้พลังทั้งหมดของนางถูกใช้ไปกับไฟแห่งชีวิต ตราบใดที่วิญญาณของซื่อหลัวยังไม่ดับ นางไม่อาจขยับเขยื้อนได้
อย่างไรก็ตาม แท่นค่ายอาคมนั้นมีไว้เพื่อกักขังเทพ ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังซ่อนชีวิตไว้ด้วย
ครื้นนน
ค่ายอาคมเส้นทางเทพเจ้าพลังทลายลงโดยสมบูรณ์ จมลึกลงไปในดิน ทันใดนั้นแท่นค่ายอาคมพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน ภูเขาปลดปล่อยวิญญาณภูเขาอ่อนจางหนึ่งสาย รวมเข้ากับศิลาเทพของเผ่าพันธุ์พ่อมดแม่มดที่ฝังอยู่ในแท่นค่ายอาคม
แท่นค่ายอาคมพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า แสงสีทองหลากสีเจิดจ้าแผ่กระจายออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพลังงานจากศิลาเทพหมดสิ้น จึงระเบิดกลางอากาศ
หยาดฝนแห่งชีวิตร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า
นั่นคือ ชีวิตใหม่
ทุกคนยืนตะลึงมองดูพื้นดิน ดูกระแสทรายไหลทะลักสู่ใต้พิภพ ก่อนจะกลับกลายเป็นทะเลทรายอีกครั้ง เสียงหนึ่งดังแว่วขึ้นเลือนราง จากนั้นดับสูญไปในชั่วพริบตา
นางบอกว่า “นำสุราหนึ่งไหมา ข้าจะดื่มคารวะแด่มวลมนุษย์ ไม่เสียแรงที่เคยมาเยือนโลกนี้”
………………..