คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1243 รอคอยท่านหวนคืน
ตอนที่ 1243 รอคอยท่านหวนคืน
………………..
ประวัติศาสตร์ต้าเฟิงมีบันทึก รัชศกคังผิงปีที่หนึ่งเดือนสิบสอง มีปีศาจร้ายก่อความปั่นป่วน ฟ้าดินเปลี่ยนสี ภูเขาทลายแยก พื้นดินสะท้านสะเทือน คลื่นทะเลพิโรธ ทำให้สรรพชีวิตต้องประสบเคราะห์ภัยไม่สิ้นสุด พุทธเต๋าสองสำนักพร้อมใจกันออกมาปกปักษ์รักษาโลก พลีชีพนักพรตและนักบวชนับไม่ถ้วนเพื่อปราบสิ่งชั่วร้าย ฟื้นคืนความสงบสุขคืนสู่แผ่นดิน
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้เพียงภาพรวมของเหตุการณ์ครั้งใหญ่ แต่สองสำนักกลับมีบันทึกอย่างละเอียด โดยเฉพาะการรบอันยิ่งใหญ่ครั้งนั้น ได้บันทึกถึงผู้ที่พลีแรงกายแรงใจและแม้กระทั่งดวงจิตและชีวิตเพื่อปกป้องสรรพชีวิตเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและเข้าใจถึงความเสียสละ
บันทึกของสำนักเต๋ายิ่งละเอียด ตั้งแต่ต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ไปจนถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่วิธีการรบจนถึงยันต์และศาสตราวุธ ระบุชัดว่าผู้ใดเป็นผู้สร้างหรือใช้ และมีอานุภาพเช่นไร ละเอียดเป็นที่สุด
ในบรรดาบันทึกทั้งหมด บันทึกของอารามชิงผิงแห่งเมืองหลีนับว่าครบถ้วนที่สุด เหตุการณ์ก่อนและหลังสงครามถูกจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของอาราม
บันทึกนี้เขียนขึ้นโดยเจ้าอาวาสเสวียนอี เจ้าอาวาสคนปัจจุบันด้วยตนเอง
บันทึกในประวัติศาสตร์อารามกล่าวถึงเจ้าอาวาสรุ่นที่สี่ของอารามชิงผิง นามว่าปู๋ฉิวเจินจวินที่เผชิญหน้ากับมารร้ายซื่อหลัวซึ่งกำลังครองโลก เจินจวินผู้นี้ได้หลอมสร้างค่ายอาคมระดับเทพโดยใช้ตนเองเป็นจุดศูนย์กลางค่าย พลีชีพเพื่อบูชา พิทักษ์ฟ้าดินและสรรพชีวิตโดยไม่หวาดหวั่น
วันนั้น นางฝังลูกไฟนรกบงกชแดงลงบนร่างอสูรร้าย กระตุ้นให้ลุกไหม้เพื่อเผาผลาญปีศาจร้าย
วันนั้น นางเผชิญการตอบโต้จากมารร้ายจนร่างสูญสลาย ดวงจิตพลันดับสูญ แต่ไม่ได้ยำเกรง ดึงอสูรร้ายลงสู่ความเวิ้งว้างตลอดกาล
วันนั้น นางใช้เสี้ยวดวงจิตสุดท้ายปลุกค่ายอาคมแห่งชีวิตให้ฟื้นคืนพลังของโลก ก่อนจะลับหายไปจากหมู่มนุษย์
วันนั้น เหมือนสวรรค์และปฐพีโศกเศร้าและซาบซึ้งในความเสียสละของนาง จนส่งฝนแห่งจิตวิญญาณลงมาฟื้นฟูแผ่นดิน พลิกฟื้นพลังวิญญาณให้รุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม
เพื่อรำลึกถึงปู้ฉิวเจินจวินผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ ฮ่องเต้คังผิงได้พระราชทานฉายาทางเต๋าแต่งตั้งขึ้นเป็นเจินจวิน สร้างรูปหล่อทองคำประดิษฐาน ณ อารามชิงผิง พร้อมทั้งเรียกขานตนเองว่าเป็นศิษย์อารามชิงผิง
สงครามครั้งนี้นอกจากปู้ฉิวเจินจวินแห่งอารามชิงผิงที่พลีชีพอย่างกล้าหาญ ยังมีปรมาจารย์และนักบวชผู้บรรลุธรรมอีกมากมายที่ได้สละชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้
สงครามทำลายล้างโลกครั้งนั้นช่างโหดร้ายเกินพรรณนา เพื่อไว้อาลัยแด่ผู้พลีชีพในสงคราม อารามชิงผิงได้ตั้งอนุสรณ์วีรชนขึ้นหน้าประตูอาราม สลักนามของนักพรตและนักบวชทุกท่านที่เคยร่วมปราบมารร้าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ล่วงลับหรือผู้ที่มีส่วนช่วย
จนถึงวันนี้ เวลาผ่านไปสามปี เมื่อใดที่หวนรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ผู้คนยังคงรู้สึกหวาดกลัวและสะเทือนใจไม่จางหาย
ครั้นรำลึกถึงวันนั้น ภัยพิบัตินานัปการพร้อมใจเกิดขึ้น ทั้งแผ่นดินไหวภูเขาถล่ม น้ำท่วมใหญ่ในฤดูหนาว คลื่นยักษ์และลมพายุโหมกระหน่ำชายฝั่ง ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือ ในเวลากลางวันพลันมืดมิดดุจต้องมนต์ เงียบงันจนไร้แสงอรุณ ราวกับหลงอยู่ในนรกมืดมิด ยื่นมือออกมาไม่อาจมองเห็น ทว่ากลับได้ยินแต่เสียงกรีดร้อง เสียงคำราม และเสียงโหยหวนดุจอสูรกาย จะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร
หลังจากวันนั้น แผ่นดินต้าเฟิงตกอยู่ในสภาพพังทลายและทุกข์ระทม เป็นเพราะราชสำนักที่เตรียมเงินอาหารเพียบพร้อม เบื้องบนเบื้องล่างต่างร่วมแรงร่วมใจบรรเทาความเสียหาย ปลอบประโลมจิตใจที่ว้าวุ่นของผู้คน
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ยังใช้เวลากว่าสามปี ถึงกลับมาสงบลงและมั่นคงได้ ไม่อาจเทียบความยุ่งเหยิงในรัชศกคังผิงที่สอง ช่วงที่ภัยพิบัติถาโถม ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ภายในและภายนอกยิ่งกว่ายุคปลายรัชสมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อน การปกครองยิ่งยากมากกว่า
โชคดีที่ฮ่องเต้คังผิงปรีชาสามารถมีความมุ่งมั่นไม่เกรงกลัวอุปสรรค แม้เขาไม่มีประสบการณ์การปกครองบ้านเมือง ทว่าเขาไม่เคยยอมแพ้ แต่กลับกล้าตัดสินใจมีความเป็นผู้นำ เขาไม่กลัวว่าจะมีชื่อเสียงโหดร้าย ขอเพียงสามารถจัดการแก้ปัญหาได้รวดเร็ว มั่นคง สำหรับขุนนางใต้บัญชา เขาให้ความสำคัญกับผู้มีความสามารถที่แท้จริง กระบวนการไม่สำคัญ ผลลัพธ์สำคัญกว่า สำหรับผู้มากด้วยวาจาทว่าไร้ผลงานรู้จักเพียงความริษยา เขายิ่งไม่เกรงกลัวที่จะล่วงเกิน ตำหนิเย็นชาตรงไปตรงมา
ดังนั้น เหล่าขุนนางที่พระองค์โปรดปรานล้วนเป็นผู้มีความสามารถ เขากล้าปล่อยอำนาจและกล้าไว้วางใจ ไม่นานการปฏิรูปครั้งใหญ่ในระบบราชการต้าเฟิงก็เกิดขึ้น
แม้ฮ่องเต้คังผิงจะกล้าใช้คน แต่เครือข่ายความสัมพันธ์ของเหล่าขุนนางหยั่งรากลึก ขุนนางเหล่านี้ทุ่มเทไปไม่น้อยเพื่อรักษาเส้นสายของตนเอง เช่นนี้ ใช้เวลายาวนานกว่าสามปี การเมืองของต้าเฟิงจึงมั่นคงได้ ผ่านอุปสรรคหนักๆ มามากมาย ในที่สุดบ้านเมืองก็ค่อยๆ สงบสุขขึ้นในช่วงปลายรัชศกคังผิงที่สี่
และฮ่องเต้คังผิงใช้เวลาปกครองกว่าสี่ปี ในที่สุดก็ได้รับการยอมรับจากประชาชน
สำหรับราษฎรแล้ว เพียงมีกินมีใช้และชีวิตอันสงบสุข ความจริงไม่สนว่าผู้ใดจะเป็นฮ่องเต้ ฮ่องเต้คังผิงเป็นฮ่องเต้ที่ดี พวกเขาจึงเคารพรัก
หิมะมงคลโปรยปรายลงมา
บ่งบอกการมาถึงของเดือนสิบสองอีกครา
ยอดทองคำแห่งอารามชิงผิงปกคลุมด้วยหิมะขาวบริสุทธิ์ ประกายสีทองแวววับจับแสงตะวัน หมอกควันธูปลอยคลุ้งในลานอันกว้างขวาง บรรยากาศสงบเยือกเย็น ทำให้อารามชิงผิงเป็นราวกับวิมานแห่งเซียน
เหล่าผู้แสวงบุญยากจะจินตนาการถึงความยิ่งใหญ่ของการปราบมารร้าย ทว่าทุกคนล้วนมีประสบการณ์กับความสิ้นหวัง ไม่สิ นั่นคือวันสิ้นโลก
เพราะผ่านประสบการณ์ความสิ้นหวัง จึงมีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่
และความสุขนี้ เป็นสิ่งที่เหล่านักพรตผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้มอบให้
พวกเขาจึงเคารพกราบไหว้
ไม่ใช่ความเชื่อ ทว่าเป็นความรู้สึกขอบคุณจากหัวใจ
ยามนั้นที่จู่ๆ พวกเขาเห็นว่าอารามและวัดต่างๆ ล้วนไร้เงาผู้คน ที่แท้ก็เพื่อเข้าต่อกรกับมารร้ายนั่นเอง
ผู้คนเหล่านี้ ก็เป็นดั่งนักรบผู้ปกป้องแผ่นดิน ต้องแบกรับภาระหนักอึ้ง ฝ่าฟันอุปสรรคอันยากลำบาก เพื่อแลกมาซึ่งความสงบสุขของแผ่นดิน
อารามชิงผิงมีเหล่าผู้คนมากมายมาเยือนไม่ขาดสาย
ชิงหย่วนมองอวี้ฉังคงที่มาอำลา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านไปครั้งนี้ เหล่าสตรีผู้ศรัทธาคงเศร้าสลดนัก คงไปร่ำไห้ใกล้สำนักศึกษาเป็นแน่ แต่ก็ดี หากไม่ถ่ายทอดการเล่าเรียนศึกษาของท่านออกไปคงสูญเปล่าแล้ว สร้างสำนักศึกษา สั่งสอนผู้คน ย่อมเป็นมหากุศลยิ่งใหญ่”
อวี้ฉังคงในอาภรณ์เรียบง่ายสีสุภาพ ยิ้มบางก่อนจะเอ่ย “เมื่อพวกท่านเหล่านักบวชออกจากการปิดด่านแล้ว ข้ายังอยู่ต่อ ก็ไม่มีประโยชน์มากนัก มิสู้ไปทำเรื่องที่มีประโยชน์มากกว่า”
หลังฉินหลิวซีดับสูญ ผู้คนในอารามชิงผิงได้รับความเสียหายอย่างหนัก ศิษย์หลายคนจึงต้องปิดด่านฝึกฝนตน ทว่าอารามยังคงเปิดให้ผู้ศรัทธาเข้ามากราบไหว้อย่างต่อเนื่อง ควันธูปเทียนไม่ขาด เป็นอวี้ฉังคงที่คอยเฝ้าดูแล ดั่งคำมั่นสัญญาที่เขาได้ให้ไว้กับฉินหลิวซี
แต่ว่าเขาทำตามคำสัญญาแล้ว นางกลับไม่กลับมา
ยามนี้ชิงหย่วนออกจากการปิดด่านแล้ว อวี้ฉังคงจึงลาจาก แต่เขาหาได้ไปไหนไกล ทว่าอยู่เขาข้างๆ ติดกับอารามชิงผิง เปิดสำนักศึกษาไท่ผิง รับเฉพาะผู้มีความรู้เป็นซิ่วไฉขึ้นไป อบรมสั่งสอนด้วยความมุ่งมั่น
อวี้ฉังคงเอ่ยกับชิงหย่วน “ในสำนักศึกษาจะมีวิชาสอนเนื้อหาทางเต๋าด้วย หากเป็นไปได้ อยากเชิญท่านนักพรตชิงหย่วนหรือศิษย์ในอารามมาช่วยบรรยายในทุกๆ สิบวัน ข้าเองจะเชิญนักพรตผู้สูงส่งท่านอื่นมาด้วย”
ชิงหย่วนนิ่งไปชั่วครู่ เอ่ย “ท่านตั้งใจเผยแพร่คำสอนแห่งเต๋าใช่หรือไม่”
“ปรัชญาแห่งเต๋า ย่อมเป็นสิ่งที่นักเรียนทุกคนสมควรศึกษา” อวี้ฉังคงแย้มยิ้มเอ่ย “ทั้งเหล่าปราชญ์เล่าจื่อและจวงจื่อล้วนเป็นรากฐานสำคัญแห่งปรัชญาเต๋า หลักคำสอนของพวกเขา ‘วิถีแห่งธรรมชาติ’ ‘อ่อนน้อมเพื่อพิชิตแข็งกร้าว’ และ ‘ความสมดุลของความเข้มแข็งและความอ่อนโยน’ ต่างเป็นกลยุทธ์ในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ การทหาร ที่ทุกคนควรจะเข้าใจ”
อวี้ฉังคงเอ่ย “สำนักศึกษาที่ข้าก่อตั้ง ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดมาชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์ ข้าไม่ได้เผยแพร่เฉพาะปรัชญาเต๋า เพราะสำนักนี้เน้นศึกษาทุกศาสตร์แห่งปราชญ์ หากผู้ใดไม่พอใจวิธีการสอนของข้า แน่นอนว่าสามารถลาออกไปได้”
สิ่งที่เขาถ่ายทอด ยังคงเป็นวิถีแห่งฉินหลิวซีเสมอ
ชิงหย่วนถอนหายใจยาว เป็นคนที่เกิดมาด้วยความดื้อดึงผู้หนึ่ง จึงเอ่ย “สำนักศึกษาไท่ผิงไม่ไกล ท่านไม่รังเกียจ ข้าต้องรับคำเชิญของท่านอย่างแน่นอน”
อวี้ฉังคงประสานมือคำนับเขา หลังจากสนทนากันอีกสองสามประโยค เขาก็ลาจากไป
ชิงหย่วนเอ่ยตามหลัง “ได้ยินว่าสำนักศึกษา จะตั้งรูปหล่อเจินจวินขนาดเท่าตัวจริงด้วยหรือ”
อวี้ฉังคงหยุดเท้าก่อนจะหันกลับมาเอ่ยตอบ “ศรัทธาและพลังแห่งความตั้งใจเป็นสิ่งล้ำค่า หากเป็นศรัทธาของเหล่าผู้มีปัญญาเล่า แม้นางไม่อยู่…แต่บางทีนางจำเป็นต้องมีมันเล่า ข้าทำได้เพียงเท่านี้แล้ว”
ใช้ความศรัทธาของผู้มีปัญญาความรู้ หวังว่าสักวันนางจะหวนคืน
ชิงหย่วนมองเขาเดินจากไปจนลับตา ส่ายศีรษะเล็กน้อย ก่อนเดินกลับเข้าอาราม เขาเห็นเจ้าโสมน้อยนั่งคุกเข่ากุมแก้มอยู่หน้าประตู จึงเอ่ยถาม “ท่านเจ้าอาวาสยังไม่กลับมาหรือ”
เจ้าโสมน้อยตอบด้วยใบหน้าเศร้าหมอง “คงใกล้แล้วกระมัง”
ชิงหย่วนนั่งลงข้างๆ เขา เอ่ย “ครั้งนี้ ดูเหมือนจะกลับมาด้วยความผิดหวังเช่นเคยสินะ”
เจ้าโสมน้อยก้มหน้าตอบเบาๆ “คงจะเป็นเช่นนั้น”
ดินแดนนรกภูมิ
ทหารผีเฝ้าประตูสองคนกำลังซุกหัวซุบซิบอยู่ด้วยกัน
“เทพอสูรใหญ่ไม่มา แต่คนเล็กมา นี่มันอะไรกัน นรกของเรา สำหรับพวกเขาศิษย์อาจารย์แล้ว มีไว้แค่ในนามเท่านั้นกระมัง อยากมาก็มา”
“ช่างเถิด อย่างมากก็มาวันที่หนึ่งเดือนสิบสองหนึ่งครั้ง เพียงดูก็ไป”
สองผีพูดคุยแล้วหยุดลงชั่วครู่ เอ่ย “สามปีแล้ว ตั้งแต่ไฟนรกในขุมนรกโลกันต์ดับลงก็ปิดไปสามปีแล้ว เดิมคนชั่วที่ต้องลงสู่นรกโลกันต์ล้วนต้องไปลงกระทะเดือดนั้นแทน เจ้าว่ามันจะปิดตลอดไปหรือไม่”
สองผีเสียงเบาลงไปอีก เอ่ย “แม้เทพอสูรใหญ่จะยโสโอหัง แต่ข้าอดคิดถึงนางไม่ได้ นางมือไว และก้อนทองหยวนเป่าที่นางมอบให้ล้วนเป็นทองบริสุทธิ์ล้ำค่า ตอนนี้นางไม่อยู่ ก็ไม่มีคนให้รางวัลแล้ว ต่อให้มี คุณภาพนั้นก็ธรรมดา”
“ผู้ใดจะไม่เล่า แต่ข้าได้ยินเหล่ายมทูตว่ากันว่า ยามนี้บนโลกมนุษย์พลังวิญญาณฟื้นคืน คงจะมีผู้บำเพ็ญที่มีพลังสูงส่งมากขึ้น ถึงตอนนั้นบางทีอาจมีรางวัลก็เป็นได้”
“แต่ผู้ใดจะเทียบเทพอสูรใหญ่ได้เล่า”
เงียบลงอีกครั้ง
“คิดถึงนางแล้ว”
“อืม ข้าก็คิดถึง”
ขุมนรกโลกันต์
เฟ่ยไฉพาเถิงเจามองความมืดมิดรอบด้าน เอ่ย “ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว หากเปลวไฟแห่งกรรมลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ข้าจะบอกเจ้าเอง เจ้าไม่จำเป็นต้องมาทุกปีเช่นนี้”
“ข้ามาด้วยหน้าที่ทางการงาน ผ่านมาทางนี้จึงแวะดู”
เฟ่ยไฉหัวเราะเย็น เอ่ย “ใช่ ปีแรก เจ้าส่งผู้มีบุญใหญ่เข้าประตูผีมาด้วยตนเอง ส่วนไยต้องมาส่งด้วยตนเองนั้น เจ้าบอกว่าคนผู้นั้นสมควรได้รับ ปีที่สอง เจ้าบอกว่ากลัวผีจะหนี คุมตัวมาด้วยตนเอง ปีนี้ เจ้าเยี่ยมยอดขึ้นไปอีก บอกว่ามาเยี่ยมบรรพบุรุษเช่นข้า เจ้าว่าเจ้านี่นะ จะหาข้ออ้างที่ดีกว่านี้ได้หรือไม่”
บ้านใดมาเยี่ยมบรรพบุรุษจะมาด้วยมือที่ว่างเปล่า อีกทั้งยังมาเยี่ยมในนรกด้วยอย่างนั้นหรือ
ตอนจะใช้เขาก็เป็นบรรพบุรุษ พอหมดประโยชน์ก้ไม่เหลือค่าใด
เถิงเจาเอ่ย “เช่นนั้นต่อไปข้าจะมาตรงๆ เลยแล้วกัน”
“ไม่ใช่ เจ้าฟังที่ข้าบอกเข้าใจหรือไม่ ไม่ต้องมา…เฮ้อ คนโง่เช่นเจ้า รอให้ข้าเอ่ยจบแล้วค่อยไปไม่ได้หรือ”
เถิงเจาไม่สนใจคำพูดของเขา เขาจะยังคงมาเสมอ จนกระทั่งมันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง จนกว่าเขาจะมาไม่ได้
เฟ่ยไฉมองท่าทางเย็นชาของเถิงเจา ดุร้ายเสียยิ่งกว่าผีน้อยข้างกายนัก อดปวดหัวขึ้นมาไม่ได้ ไยศิษย์ลูกศิษย์หลานของเขา แต่ละคนจึงได้ดื้อด้านนัก บอกยากจริงๆ
เขาตามเถิงเจาไป เอ่ย “ฟังข้าเถิด ต่อไปไม่ต้องมาแล้ว เดิมหยินหยางก็แยกส่วน เจ้าเข้าออกนรกตามใจชอบ เช่นนี้ผู้คุมกฎสวรรค์อาจไม่พอใจเอาได้”
เฟ่ยไฉ “…”
เช่นนั้นเจ้าก็ดื้อด้านต่อไปเถิด บรรพบุรุษอย่างข้าทำไม่ได้
เขามองความเยือกเย็นบนใบหน้าเถิงเจา ทว่าในแววตาแก่ก่อนวัยและลึกล้ำคู่นั้น กลับแฝงไปด้วยความโศกเศร้าและความสิ้นหวัง ถอนหายใจยาวอย่างอดไม่ได้ เอ่ย “นี่เป็นโชคชะตาของนาง เจ้าอย่าได้ยึดมั่นมากเกินไป อาจส่งผลต่อจิตใจเจ้า”
“ข้ารู้ จะช้าจะเร็วข้าต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่” ถึงตอนนั้นข้าจะทำตามใจปรารถนา
เถิงเจาประสานมือเคารพเขา หมุนตัวเดินจากไป
เฟ่ยไฉอ้าปาก รอยยิ้มเลือนหาย ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย
ราชาเทพเฟิงตูและกษิติครรภโพธิสัตว์ลอบมองอยู่เงียบๆ พวกเขาเงียบงันตลอดเส้นทาง ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปยังนรกโลกันต์ มองดูความมืดที่ว่างเปล่าไร้การลงทัณฑ์ ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“ผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว”
เปลวไฟนรกยังคงมอดดับ ไม่อาจจุดขึ้นมาได้อีก
…
ทะเลทรายดำ
เฟิงซิวหยิบสุราดีออกมาหนึ่งไห พิงอยู่ข้างป้ายหยกขาวป้ายหนึ่ง เทเหล้าลงหน้าสุสาน ก่อนยกดื่มเองหนึ่งอึก
สุสานตรงหน้านี้ ความจริงมีสุราดีมากมายกองเรียงราย เป็นสุราที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรหรือภูตพรายผู้มีจิตวิญญาณนำมาเซ่นไหว้ทุกปีในต้นเดือนสิบสอง
ทุกสรรพชีวิตล้วนจดจำคำพูดสุดท้ายที่นางฝากไว้บนโลก สุราหนึ่งไห เคารพแด่โลกมนุษย์
ด้วยเหตุนี้ เบื้องหน้าสุสานจึงเต็มไปด้วยสุราดี
ตามที่นางปรารถนา
เฟิงซิวยืนมองเกล็ดหิมะหกเหลี่ยวโปรยปรายลงมา งดงามราวกับอัญมณี เอ่ย “หลังพลังวิญญาณฟื้นกลับคืนมา เกล็ดหิมะยังงดงามขึ้นไปด้วย นี่ล้วนเป็นสิ่งที่ท่านนำพา แต่สวรรค์ นับว่ายังมีตาบ้าง”
เกล็ดหิมะดูเหมือนชะงักไปเล็กน้อย
เฟิงซิวแค่นเสียงหนัก เอ่ย “แต่ว่าน่าเสียดาย ทุกคนต่างสุขสบาย ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ เห็นฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน มีเพียงท่านที่ไม่มีโอกาส ความเป็นธรรมมีบ้างหรือไม่”
ใช้นางเพียงคนเดียวทำให้ผู้คนนับหมื่นสมหวัง คนอื่นรู้สึกคุ้มค่า มีเพียงเขาที่รู้สึกเสียเปรียบ
เฟิงซิวยกสุราดื่มอีกไห สุรานี้รสชาติธรรมดา ไม่ทำให้เมาง่าย
เขาพึมพำไม่หยุดจนกระทั่งไหสุราที่เคยเต็มกองอยู่เบื้องหน้ากลายเป็นไหว่างเปล่า เขาจึงเอนกายนอนลงบนพื้น ใบหน้าหล่อเหลาพร้อมดวงตาจิ้งจอกเรียวยาวดูยั่วยวนยิ่งเมื่อเมาสุรา เขาเอื้อมมือออกไปสัมผัสเกล็ดหิมะที่โปรยปราย ใช้คาถาสร้างภาพลวงตา เกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นถูกบรรจงจัดเรียงทีละแผ่น ทีละแผ่น…
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาใช้เกล็ดน้ำแข็งก่อเป็นรูปหญิงสาวตัวน้อย มีชีวิตชีวาราวกับมีเลือดเนื้อ เขาวางไว้ข้างกาย หันไปมอง เอ่ย “โลกใบนี้ ไม่มีท่าน ช่างน่าเบื่อเสียจริง”
เขาค่อยๆ หลับตาลง ปล่อยให้เกล็ดหิมะที่หนาขึ้นเรื่อยๆ คลุมร่างกายของเขาจนมิด
กลางหิมะหนา ปรากฏเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ร่างในอาภรณ์สีทองแดงย่างกรายมาถึงสุสาน นำสุรามาเซ่นอีกหนึ่งรอบ วางไหสุราไว้หน้าป้าย ก่อนขุดร่างจิ้งจอกที่ถูกหิมะกลบออกมาเหมือนเช่นปีก่อนๆ แล้วนำกลับไป
สิ่งที่ออกมาพร้อมกับจิ้งจอกตัวนั้นยังมีตุ๊กตาหิมะเล็กๆ ตกลงออกจากอ้อมอกของเขา ฟ่านคงชะงักไป หยิบตุ๊กตาหิมะขึ้นมาพร้อมถอนหายใจ
เสียงถอนหายใจนั้นถูกสายลมและเกล็ดหิมะพัดพาไปทั่วทุกมุมของทะเลทราย
หวังว่าจะกลับมา หวังว่าท่านจะกลับมา