คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1244 ก้าวสู่หนทางกลับ
ตอนที่ 1244 ก้าวสู่หนทางกลับ
………………..
ดวงอาทิตย์ลอยขึ้น ดวงจันทร์ลาลับ กาลเวลาผ่านไปดุจสายน้ำ
รัชศกคังผิงปีที่ยี่สิบ ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้คังผิง ดินแดนต้าเฟิงที่เคยถูกสงครามทำลายล้างจนย่อยยับ บัดนี้กลับกลายเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ ราษฎรอยู่ดีกินดี
เมื่อเอ่ยถึงฮ่องเต้คังผิง ความคิดเห็นของผู้คนที่มีต่อพระองค์ล้วนซับซ้อน เหล่าตระกูลขุนนางเกรงกลัวพระองค์มากกว่านับถือ เพราะตลอดยี่สิบปีแห่งการครองราชย์ พระองค์ทรงกำหนดนโยบายที่เอื้อต่อชนชั้นกลางและผู้ยากไร้เป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้ผลประโยชน์ของเหล่าตระกูลขุนนางถูกบั่นทอน แน่นอนว่าในใจพวกเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง แต่ฮ่องเต้คังผิงไม่ใช่ผู้ที่ใช้การประนีประนอม พระองค์ทรงกล้าลดอำนาจของตระกูลขุนนาง และกล้าต่อกรกับพวกเขาโดยตรง
ความมั่นคงของเขาเกิดจากกองทัพแกร่งกล้ากว่าล้านนายที่คอยสนับสนุน ฮ่องเต้คังผิงคือฮ่องเต้องค์แรกตั้งแต่ก่อตั้งต้าเฟิงที่แม้ไม่ได้ถือครองอำนาจทหารทั้งหมด แต่ก็สามารถบังคับบัญชากองทัพทั่วทั้งอาณาจักรได้ดั่งใจ เหล่าตระกูลขุนนางแม้ยิ่งใหญ่ แต่ผู้ใดเล่าจะกล้าต่อต้านกองกำลังนับล้าน
ด้วยเหตุนี้แม้เหล่าขุนนางจะไม่พอใจเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าต่อกรกับอำนาจฮ่องเต้โดยตรง ฮ่องเต้คังผิงจึงสามารถใช้อำนาจบริหารประเทศให้เป็นระเบียบรุ่งเรือง กลายเป็นมหาอาณาจักรที่ต่างชาติต่างเมืองต้องยอมรับ
เขาบริหารอย่างเข้มแข็ง แน่นอนว่าได้รับความเคารพรักจากราษฎร ชาวเมืองต่างภาวนาให้ฮ่องเต้ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน
แต่ธรรมชาติของโลกย่อมมีสิ่งที่ไม่อาจสมหวัง
รัชศกคังผิงที่ยี่สิบ เดือนสิบ ฤดูใบไม้ร่วง ฮ่องเต้คังผิงประชวรหนัก ดินแดนต้าเฟิงต้องเผชิญการผลัดแผ่นดินอีกครั้ง
แท้จริงแล้ว เหล่าตระกูลขุนนางไม่น้อยต่างแอบคาดหวังให้ถึงวันนี้ เพราะหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ ฮ่องเต้คังผิงทรงอ้างการไว้ทุกข์ ไม่ทรงเลือกสนมสักราย ครั้นพ้นช่วงไว้ทุกข์ พระองค์ทรงให้เหตุผลว่าทรงงานหนัก สุขภาพไม่แข็งแรง จึงไม่อาจทรงเลือกสตรีใดเข้าวัง
จนเมื่อรัชทายาทมีอายุครบสิบห้าปี เขากลับทรงเลือกพระชายาและพระสนมอีกสองรายให้รัชทายาทในคราวเดียว ครั้นรัชทายาทอภิเษกสมรสเมื่ออายุสิบหก ฮ่องเต้คังผิงก็ประกาศว่าจะไม่เลือกสนมอีกต่อไป ดังนั้นวังหลังของพระองค์จึงมีเพียงจิ้งหมิ่น ฮองเฮาผู้ล่วงลับ และสนมอีกสองนางที่ไม่มีพระโอรสธิดาใดๆ
เหล่าขุนนางต่างคาดการณ์ได้ว่า ฮ่องเต้คังผิงทรงมุ่งมั่นแต่การปกครองบ้านเมือง ไม่เสียเวลากับเรื่องในกำแพงวัง จึงเร่งทำให้ครอบครัวตนมีบุตรีเพื่ออนาคต
ฮ่องเต้คังผิงไม่สร้างวังหลัง แต่รัชทายาทย่อมสร้างกระมัง เมื่อรัชทายาทอภิเษกสมรส พระชายาและพระสนมเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีหวงซุนกำเนิด มีคนใหม่เข้าวังตะวันออก พวกเขาจึงวางใจ
รัชทายาทไม่เลียนแบบบิดาของเขาก็พอแล้ว
บัดนี้ฮ่องเต้คังผิงใกล้เสด็จสวรรคต ผู้คนภายนอกล้วนแสดงความโศกเศร้า แต่ภายในใจกลับไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่แอบยินดี
เถิงเจาปรากฏตัวในวังหลวง เขามาเพื่อส่งฮ่องเต้คังผิงเป็นครั้งสุดท้าย และรับศิษย์ลิขิตสวรรค์ของเขากลับไปด้วย
แม้ฮ่องเต้คังผิงจะครองบัลลังก์มายี่สิบปี อายุยังไม่ถึงครึ่งร้อย แต่นับแต่ศึกอสูรครั้งนั้นก็ได้รับบาดเจ็บถึงพลังชีวิต แม้จะรักษาอย่างดีแต่ก็ทำงานหนักจนส่งผลต่ออายุขัย แน่นอนว่าไม่ยืนยาว
ในเรื่องนี้ฮ่องเต้คังผิงเองก็ตระหนักดีสำหรับอนาคต เขาแสดงออกอย่างสงบ มองเห็นเถิงเจา ยังยิ้มออกมาได้
“ท่านมาส่งข้าเป็นครั้งสุดท้ายได้ นับว่าเป็นวาสนาของข้าแล้ว” ฮ่องเต้คังผิงผู้ดูชรากว่าอายุจริงเอ่ยด้วยความอิ่มเอมใจ
เถิงเจายื่นขวดหยกหนึ่งขวดออกมา เอ่ย “ยาเม็ดนี้ ปรุงขึ้นมาจากโสมพันปี สามารถต่ออายุของท่านได้อีกหนึ่งปี”
ฮ่องเต้คังผิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้าเบาๆ “ไม่จำเป็น ร่างกายของข้าข้ารู้ดี ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ข้าครองบัลลังก์มาได้ยี่สิบปี บัดนี้ต้าเฟิงเจริญรุ่งเรือง สงบสุขทั่วแคว้น ถือว่าได้ตอบแทนสิ่งที่อาจารย์ของท่านเคยฝากฝังไว้ ไม่ให้เสียความตั้งใจของนางที่รวบรวมผู้คนมีความรู้ความสามารถมาร่วมสร้าง”
ในปีนั้นฉินหลิวซีเดินทางมาหาเขา มอบโชคอันยิ่งใหญ่ให้หนึ่งครา เขารับไว้โดยไร้ความลังเล เพียงไม่กี่ปีก็ก้าวขึ้นครองแผ่นดินกลายเป็นเจ้าผู้ครองแคว้น นับว่าเป็นโชคลาภอันยิ่งใหญ่ แต่เช่นเดียวกัน นางได้กล่าวไว้ ว่าโชคอันยิ่งใหญ่นี้แท้จริงมีรูรั่วใหญ่ เพราะมันเป็นมรดกตกทอดที่เต็มไปด้วยปัญหา
เป็นดังคำที่นางกล่าว โชคยิ่งใหญ่นี้มีรูรั่ว แรกเริ่มในปีนั้น เขาต้องดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง ทั้งต้องเรียนการปกครอง ทั้งยังต้องคิดว่าจะหาวิธีฟื้นฟูแผ่นดินที่ทรุดโทรมได้อย่างไร เรียกได้ว่าเหน็ดเหนื่อย หัวใจแทบแหลกสลาย
ไม่มีอื่นใด เพียงไม่ให้ทำลายความหวังของฉินหลิวซี
ใช่แล้ว ต่อมาเขาเข้าใจแล้ว โชคอันยิ่งใหญ่นั้นที่นางส่งมายังมือของเขา แท้จริงแล้วไม่ใช่เพียงแค่การมอบอำนาจหรือบัลลังก์ให้เขา แต่คือการฝากฝังบ้านเมืองไว้กับเขา ไม่เช่นนั้นมีผู้คนมากมายให้นางเลือก ไยนางต้องเลือกเขาเล่า
สิ่งที่แน่นอนก็คือ เขาจะไม่ทำให้นางผิดหวัง
เขาจากไปอย่างสบายใจได้แล้ว
แม้เขาไม่รับ แต่เถิงเจายังคงวางเม็ดยาโสมนั้นไว้ข้างหมอนให้เขา เอ่ย “ได้ยินว่า ฮ่องเต้ทุกพระองค์ไม่ยอมตาย ท่านไม่กลัวตายหรือ อีกทั้งแผ่นดินนี้ ไม่กลัวว่าลูกหลานของท่านจะรักษาเอาไว้ไม่ได้หรือ”
“ข้าเหนื่อยแล้ว” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นของฉีเชียนส่งยิ้มจางๆ “ความจริงตั้งแต่แรกจนจบข้าไม่เคยคิดอยากเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน อาจารย์ของท่านมาหาข้า จึงต้องยอมรับ โชคดีไม่ตายไปก่อน ส่วนแผ่นดินนี้ ฮ่องเต้อายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี จะอายุยืนหมื่นปีจริงหรือ เป็นไปไม่ได้ ดังเช่นฮ่องเต้ไม่มีทางมีอายุจนถึงหมื่นปีได้ แผ่นดินนี้จะมีผู้ปกครองแซ่ฉีตลอดไปได้อย่างไร”
ฉีเชียนมองไปยังแท่นบรรทมมังกรสลักลวดลายดอกไม้ เอ่ย “แผ่นดินนี้ เป็นตระกูลฉีได้ แน่นอนว่าเป็นแซ่อื่นได้เช่นกัน ข้ารักษาเอาไว้แล้ว ชีวิตของข้าสำเร็จแล้ว ลูกหลานของข้าจะรักษาเอาไว้ได้หรือไม่ ไหนจะเป็นสิ่งที่ข้าควบคุมได้กันเล่า นั่นเป็นโชคชะตา หากวาสนาตระกูลฉีต้องสิ้นสุด เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้เขามาตั้งกฎเกณฑ์ สิ่งที่ข้าควรสั่งสอนข้าก็สอนไปหมดแล้ว แผ่นดินในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ต้องอาศัยคนรุ่นหลังแล้ว”
“ท่านเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ลึกซึ้งนัก”
ฉีเชียนเอ่ย “หากบอกไม่มีความเสียดายก็เป็นเรื่องโกหก สิ่งเดียวที่ข้าเสียดาย ก็คือไม่อาจรอจนถึงวันที่อาจารย์ท่านกลับมาได้ หากนางมาส่งข้าได้ ชีวิตนี้ก็ไม่มีสิ่งใดต้องเสียดายอีกแล้ว”
เถิงเจานิ่งเงียบ ยี่สิบปีแล้ว เปลวไฟนรกจนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นแม้เพียงเงา
“ท่านทำเพื่อนางมาเพียงพอแล้ว วิญญาณอาจารย์บนสวรรค์คงปลื้มปิติ”
ฉีเชียนดำเนินชีวิตอย่างมัธยัสถ์ วังหลังของเขาเรียบง่าย ค่าใช้จ่ายไม่มาก ไร้การสิ้นเปลืองใดๆ มีเพียงเรื่องเดียวที่ใช้จ่ายมาก ก็คือสร้างวิหารอันโอ่อ่าเพื่อฉินหลิวซี สร้างรูปหล่อทองคำ ขนานนามว่าเซียนจวิน เพื่อให้ผู้คนได้สักการะและระลึกถึง ควันธูปอบอวลไม่ขาด
“รอนางกลับมา ท่านอย่าลืมบอกแทนข้า ข้าไม่ทำให้นางผิดหวัง” เมื่อยาหมดฤทธิ์ ฉีเชียนค่อยๆ อ่อนแรงลง
เถิงเจาตอบรับ อดไม่ได้ที่จะส่งพลังวิญญาณบางส่วนเข้าไปช่วยอย่างลับๆ
ฉีเชียนสัมผัสได้แล้ว ส่ายศีรษะเบาๆ อยากบอกว่าไม่ต้องสิ้นเปลือง
“ฝ่าบาท องค์ชายสี่ถูกพามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามา”
เถิงเจานั่งตัวตรง จ้องเข้าไปในห้องนอน เด็กชายตัวอ้วนกลมหน้าตาท่าทางดูเซ่อซ่าผู้หนึ่งถูกขันทีน้อยพาเข้ามา
เด็กคนนั้นอายุราวห้าหรือหกขวบ แต่กลับอ้วนจนตาแทบปิด เสื้อผ้าที่สวมใกล้จะปริแตก ร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและรอยล้มลุกคลุกคลานจนดูน่าเวทนา
อ้วนเกินไป
เถิงเจาขมวดคิ้ว
อีกทั้งดวงชะตาของเขายังอ่อนแอถึงที่สุด ทั้งเคราะห์ร้ายทั้งโชคร้ายดาหน้าเข้ามาไม่หยุดหย่อน ในวันที่เด็กชายลืมตาดูโลก เขาต้องเผชิญเคราะห์อันยิ่งใหญ่ มารดาต้องทุกข์ทรมานจากการคลอดยาก เด็กน้อยเกือบขาดอากาศหายใจเสียชีวิตในครรภ์ พอลืมตาดูโลกได้ก็แทบไร้ลมหายใจ ต้องใช้ทั้งคนและยาไม่น้อยเพื่อประคองชีวิตเอาไว้แม้จะรอดมาได้ แต่ร่างกายเขาก็เต็มไปด้วยโรคภัย ต้องอาศัยยาไม่เว้นแต่ละวัน
เด็กชายผ่านพ้นอุปสรรคด้วยความทุลักทุเลจนมีชีวิตรอดมาถึงวัยห้าขวบ ทั้งนี้ก็เพราะได้รับการคุ้มครองจากบารมีของฝ่าบาท แต่ทันทีที่ย่างเข้าสู่วัยห้าปี เคราะห์ร้ายสารพัดก็เริ่มรุมเร้า ไม่ว่าจะเดินก็ล้ม ตอนอาบน้ำทั้งที่มีคนดูแลอยู่ข้างๆ ก็เกือบจมน้ำเสียชีวิต หรือเมื่อพี่น้องทะเลาะกัน คนที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจนต้องบาดเจ็บก็คือเขา เรียกได้ว่าเป็นเด็กที่โชคร้ายโดยแท้
ในวังหลวงสถานที่กินคนเช่นนี้ เด็กที่ไม่มีมารดาคอยปกป้องดูแลย่อมเสียเปรียบที่สุด เด็กที่มีร่างกายเช่นฉีหมิงอวิ่น หลังฉีเชียนรู้เรื่องจึงมีรับสั่งเป็นพิเศษ ทำให้มีชีวิตอยู่มาได้จนอายุป่านนี้ มิเช่นนั้นหากวันใดขาดยาบำรุง วันนั้นอาจเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตเขาก็เป็นได้ ไหนเลยจะกินจนอ้วนฉุได้เพียงนี้
เถิงเจารู้สึกปวดหัวและไม่ชอบใจอย่างยิ่ง เขาเปลี่ยนลูกศิษย์ได้หรือไม่ เจ้าเด็กนี่เป็นปัญหาใหญ่ และเขาเกลียดปัญหา
แต่ว่าอาจารย์เคยบอก ชีวิตของเขามีศิษย์เพียงคนเดียว ปีนี้ดูเหมือนจะมีสายสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์เกิดขึ้นจึงได้คำนวณดู พบว่าคนผู้นั้นอยู่ในวังหลวง เขาเลยถือโอกาสมาตรวจอาการและปรับยาให้ฉีเชียน พร้อมทั้งมาสำรวจเด็กคนนั้นไปด้วย
นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะอ้วนกว่าที่เจอครั้งก่อนอีก
ฉีหมิงอวิ่นคุกเข่าถวายพระพรแก่ฉีเชียน มองด้วยความหวาดกลัว เอ่ยถามอึกอัก “เสด็จปู่ ท่านดีขึ้นบ้างหรือไม่ ไม่รู้เรียกหลานมาด้วยเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”
เขาถวายพระพรพร้อมเอ่ยจบสองประโยค พลันหอบหายใจ ท่าทางเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก
เถิงเจาเห็นแล้วรู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันใด ปวดหัวหนักกว่าเดิม
แต่ว่าที่บอกว่าชีวิตนี้มีศิษย์เพียงคนเดียว หลังจากเจอหน้าสายสัมพันธ์ของทั้งสองก็เชื่อมเข้าด้วยกัน เขาไม่เชื่อไม่ได้
ฉีเชียนชี้ไปยังเถิงเจา เอ่ย “หมิงอวิ่น เจ้าเข้าสู่เต๋าไปกับท่านเซียนผู้นี้เป็นอย่างไร”
เขาเองไม่คาดคิดว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาจะเข้าสู่เต๋า อีกทั้งยังเป็นศิษย์ของเถิงเจา ในตอนที่เขาเอ่ยว่าจะรับศิษย์เป็นเด็กที่ดูเลี้ยงไม่โตผู้นี้ เขาคิดว่าตนเองฟังผิดไปหรือไม่
เด็กคนนี้มีสิ่งใดเหนือผู้อื่นหรือ
ฉีหมิงอวิ่นกะพริบตา เอ่ยถาม “เข้าสู่เต๋าคือสิ่งใดกัน”
“คือการไปยังอารามเต๋าเพื่อศึกษาวิชาเกี่ยวกับเต๋า ใช่ เป็นนักบวช”
เถิงเจามองเสื้อผ้าบนตัวเด็กที่ดูไม่พอดีตัวและดูเก่า ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เด็กน้อย เจ้าจะยินยอมรับข้าเป็นอาจารย์หรือไม่”
ฉีหมิงอวิ่นจับชายเสื้อแน่น ไม่กล่าวสิ่งใด เงยหน้าขึ้นลอบมองเถิงเจา
บุรุษตรงหน้าผู้นี้เป็นนักพรตจริงหรือ แต่เขาไม่ได้ศีรษะโล้น เสื้อคลุมที่สวมอยู่แม้เรียบง่าย แต่ก็ปักลวดลายแปลกประหลาด เส้นผมมัดไว้ด้วยปิ่นไม้
เขามีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ ดูสง่างาม ทว่าท่าทางกลับเยือกเย็น เคร่งขรึม เขาดูไม่เหมือนนักบวช ให้ความรู้สึกมีอำนาจ เขาดูยิ่งใหญ่กว่าท่านปู่เสียอีก
เขาดูดุมากด้วย
เถิงเจามองดูเขาแต่ไม่ปริปากพูดอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ย “เจ้าต้องเข้าสู่หนทางแห่งเต๋าเท่านั้นจึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ มิเช่นนั้นด้วยดวงชะตาของเจ้า เจ้าจะอยู่ไม่ถึงสิบปี”
ฉีเชียนยังมีชีวิตอยู่ ผู้ใต้บังคับบัญชาต่างเกรงว่าเขาอาจนึกถึงหลานชายคนนี้เมื่อใดก็ได้ จึงยังไม่กล้าลงมือทำอะไรต่อเด็กผู้นี้ แต่หากฉีเชียนสิ้นลม เด็กน้อยผู้น่าสงสารนี้ ด้วยดวงชะตาที่อาภัพของเขา ย่อมไม่อาจมีชีวิตยืนยาวได้
ฉีหมิงอวิ่นหน้าซีดเผือด แม้เขาจะอายุน้อย แต่ก็เข้าใจความหมายของคำว่าความเป็นความตาย
เขาหันไปมองฉีเชียน หวังจะขอคำปลอบโยน
ฉีเชียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเมตตา เอ่ย “ปรมาจารย์เสวียนอีเป็นผู้มีความสามารถยิ่งใหญ่ อาจารย์ของเขาคือ ปู้ฉิวเซียนจวินแห่งวิหารบงกชแดง เจ้าเป็นคนมีวาสนา ถึงมีโอกาสเช่นนี้ มีวาสนาเป็นศิษย์ของเขา ไปกราบอาจารย์เถิด เข้าสู่เต๋า จากนี้ต่อไปเจ้าจะไม่ใช่คนในราชวงศ์ จงติดตามอาจารย์ตั้งใจฝึกฝนและแสวงหาหนทางแห่งเต๋าให้ดี อย่าได้ข้องแวะในทางโลก โดยเฉพาะเรื่องราชวงศ์ อย่ายุ่ง อย่าฟัง อย่าสนใจ นั่นไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า เมื่อเจ้าบรรลุทางเต๋าแล้ว นับแต่นั้นไป หนทางของเจ้า เจ้าจะเป็นผู้กำหนดเอง”
ฉีหมิงอวิ่นฟังจบ เม้มริมฝีปากซีดเล็กน้อย ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าเขา โขกศีรษะสามครั้ง “เช่นนั้นหลานหมิงอวิ่นขอลาเสด็จปู่ ขอให้เสด็จปู่มีพระพลานามัยแข็งแรง อายุยืนหมื่นปีหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
การโขกศีรษะทั้งสามครั้ง ทำให้หน้าผากของเขาแดงไปหมด หลังจากลุกขึ้น เขาก็ทรุดตัวลงคุกเข่าตรงหน้าเถิงเจาทันที “ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์”
“ดี ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจะมีนามในทางแห่งเต๋าว่าฉังตู้[1] ช่วยเหลือผู้อื่น ตนเอง และสรรพชีวิตทั้งปวง[2]” เถิงเจาลูบศีรษะเขา เอ่ย “เจ้าคือศิษย์สายตรงรุ่นที่หกของอารามชิงผิง ศิษย์ใหญ่แห่งสำนักของข้า กฎของสำนักมีว่า ผู้ใดคิดทรยศต่อสำนัก จักต้องถูกกำจัด เจ้าจงจำไว้ให้ดี”
ฉีหมิงอวิ่น ไม่สิ ตั้งแต่นี้ไปต้องเรียกว่าฉังตู้ รู้สึกถึงความอบอุ่นตรงหน้าผาก ราวกับบางสิ่งเข้าสู่ร่างผ่านศีรษะ แผ่ซ่านไปทั่วกาย สบายยิ่งนัก
ต่อมาเขาจึงได้รู้ว่าสิ่ นั่นเรียกว่าพลังวิญญาณ และยังเรียกได้อีกว่าบุญกุศล
เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่อาจารย์ของอาจารย์เขารับศิษย์ เมื่อครั้งตั้งชื่อให้ศิษย์ยังส่งพลังวิญญาณให้ด้วย นี่คือคำอวยพร และเป็นเครื่องป้องกันภัย และต่อไปเขาก็จะทำเช่นนี้ นี่เป็นการสืบทอด
เถิงเจาทอดสายตามองใบหน้ากลมป้อมอ่อนนุ่มของศิษย์ น้ำตาคลอเบ้า ราวกับเห็นตัวเขาในอดีตผ่านใบหน้าของศิษย์ผู้นี้
อาจารย์ ยี่สิบปีแล้ว ศิษย์เองก็มีผู้สืบทอดสายแล้ว การกลับมาของท่าน เกิดขึ้นได้แล้วหรือไม่
รัชศกคังผิงปีที่ยี่สิบ เดือนสิบเอ็ด ฮ่องเต้คังผิงเสด็จสวรรคต ฤดูหนาวปีเดียวกัน องค์ชายสี่ในองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ด้วยโรคร้ายปีถัดมา รัชทายาทขึ้นครองราชย์ เปลี่ยนเป็นรัชศกหย่งเหยียน
วันที่หนึ่งเดือนสิบสอง เถิงเจากลับขึ้นจากปรโลกด้วยความผิดหวังอีกครั้ง พาศิษย์ที่รับมาใหม่ไปยังสุสานของฉินหลิวซี
เฟิงซิวยังคงเอนตัวพิงอยู่หน้าป้ายซึ่งผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ได้ยินเสียงฝีเท้า เปิดเปลือกตาขึ้นมองแวบหนึ่ง สายตามองไล่ผ่านเด็กน้อยข้างเถิงเจาด้วยสายตาดูแคลน
เถิงเจาก้าวขึ้นมา ถวายสุราแก่อาจารย์ จากนั้นให้ฉังตู้คุกเข่าโขกศีรษะ บอกเด็กน้อยว่าป้ายนี้ตั้งขึ้นเพื่อผู้ใด
ฉังตู้หน้าซีดเผือด เขาไม่เข้าใจ ไยเพียงชั่วพริบตาก็จากอารามชิงผิงมายังสถานที่ประหลาดเช่นนี้ได้ ตอนอาจารย์ให้เขาหลับตา เขาก็หลับตาอย่างเชื่อฟัง รู้สึกถึงความเย็นยะเยือก เหมือนมีผีมาสัมผัสเขา
แต่เดิมเขาก็เป็นเด็กเชื่อฟัง เถิงเจาให้เขาคุกเข่า เขาก็คุกเข่าลงกับพื้นอย่างว่าง่าย ไหว้บรรพบุรุษ[3] เลียนแบบท่าทางของเถิงเจา ถวายเหล้า เมื่อถวายเหล้าเสร็จหนึ่งรอบ เขาก็ ปัง ล้มลงกับพื้นสลบไป
เฟิงซิวมุมปากกระตุก “ศิษย์หรือ อ่อนแอยิ่งนัก”
เถิงเจาเอ่ยอย่างจนหนทาง “ท่านอาจารย์บอกเอาไว้ ในชีวิตมีศิษย์เพียงคนเดียว ก็คือเขาแล้ว”
เฟิงซิวหัวเราะเยาะ “กลัวแต่ว่าจะรอไม่ถึงวันที่อาจารย์เจ้ากลับมา เขาคงไปหายมบาลเสียก่อน จะได้พบหน้าหรือไม่ยังยากที่จะเอ่ย”
เถิงเจาชินกับคำเหน็บแนมของเขาแล้ว จึงไม่ได้โต้เถียง เพียงหมุนกายไปพยุงศิษย์
ทว่าฉังตู้กลับฟื้นขึ้นมาเอง พลางจ้องเฟิงซิวด้วยความไม่พอใจ เอ่ย “ข้าได้เห็น”
“อะไรนะ”
ฉังตู้กำหมัดแน่น เอ่ย “ข้าบอกว่า ข้าเห็นบรรพบุรุษ”
นางยังบอกอีกว่าตนอายุยืนยาว
เฟิงซิวชะงัก สบตากับเถิงเจา ทั้งสองหันไปมองแผ่นป้ายจารึกพร้อมกัน
“นี่ ตัวอักษรนี้หายไปหนึ่งขีดใช่หรือไม่”
เฟิงซิวชี้ไปยังตัวอักษรบนป้าย ตัวอักษรฉิน หายไปหนึ่งขีด
หากไม่ใช่ผี เช่นนั้นก็คือ นาง ก้าวสู่หนทางหวนกลับแล้วอย่างนั้นหรือ
[1] ตู้ (渡) การช่วยให้หลุดพ้น การช่วยเหลือ
[2] แนวคิดในลัทธิเต๋า ช่วยเหลือผู้อื่น คือการช่วยเหลือผู้อื่นให้ข้ามผ่านความทุกข์ ความลำบาก หรืออุปสรรคในชีวิต ช่วยเหลือตนเอง คือ การช่วยเหลือตนเองให้พ้นจากความทุกข์ การพัฒนาตนเอง และการบรรลุความสงบทางจิตใจ ช่วยเหลือสรรพชีวิตทั้งปวง คือการช่วยเหลือสรรพชีวิตทั้งปวงให้หลุดพ้นจากความทุกข์ โดยมุ่งเน้นความเมตตาและปณิธานที่กว้างไกล
[3] ไหว้อาจารย์ของเถิงเจา คือ ฉินหลิวซี