คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 1245 โลกมนุษย์นั้นคู่ควร
………………..
วันที่หนึ่งเดือนสิบสองในปีแรกของรัชศกคังผิง เพราะอสูรร้ายซื่อหลัวใช้ตนเซ่นบูชา ทำให้เกิดหายนะแก่ปวงชน ใต้หล้าเกิดการสูญเสีย และในตอนที่ฉินหลิวซีลากซื่อหลัวตกลงสู่ความว่างเปล่าไปชั่วนิรันดร์ด้วยกัน ค่ายอาคมแห่งชีวิตที่นางซ่อนเอาไว้ในค่ายอาคมกักเทพเมื่อครั้งที่หลอมค่ายมีความเคลื่อนไหว อีกทั้งมีดวงวิญญาณภูเขาหนึ่งดวงเข้ามาเป็นจิตวิญญาณค่าย ฟื้นฟูความมีชีวิตชีวา ฟ้าพลันโปรยสายฝนแห่งพลัง คืนชีวิตให้แก่สรรพชีวิต
ด้วยเหตุนี้หลังจากศึกครั้งนั้น พลังวิญญาณกลับคืนสู่โลก มีมากกว่าเมื่อครั้งก่อนศึกครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น นับเป็นโชคท่ามกลางเคราะห์
เพียงแต่โชคนี้จะต้องแลกมาด้วยการสังเวยทุกสิ่งของฉินหลิวซี
พลังวิญญาณที่ฟื้นฟูไม่ได้เพียงทำให้ปวงชนกลับมามีชีวิตชีวาอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้บำเพ็ญทุกคนสัมผัสได้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของพลังวิญญาณ ตั้งแต่ฟื้นฟูพลังที่เสียไปในศึกใหญ่ จนกระทั่งการบำเพ็ญที่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ทุกคนต่างสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณแห่งโลกได้ฟื้นคืนแล้วจริงๆ
และสถานที่ซึ่งพลังวิญญาณมากที่สุด ยังคงเป็นทะเลทรายดำ นั่นก็คือดินแดนแห่งความว่างเปล่า ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายหลั่งไหลมาเพื่อซ่อนตัวจากทางโลก
กี่สิบปีผ่านไป ดินแดนแห่งความว่างเปล่ากลายเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการฝึกบำเพ็ญตบะ สำนักน้อยใหญ่ต่างมุ่งหน้ามาตั้งถิ่นฐาน แบ่งปันขุนเขา ก่อเกิดการช่วงชิงแข่งขัน ทว่าแต่ละที่ยังคงอยู่ร่วมกันได้โดยไม่รบกวนกัน
และมีเพียงสถานที่เดียวที่ไม่มีผู้ใดกล้าตั้งสำนัก นั่นคือส่วนที่ลึกที่สุดของดินแดนแห่งความว่างเปล่า หรือที่เรียกว่าดินแดนเทพตกสวรรค์
ใช่แล้ว เมื่อครั้งมารเอ้อฝูสำเร็จกลายเป็นเทพ เขาถูกฉินหลิวซีทำลายจนตกลงสู่ความว่างเปล่าไปด้วยกัน ผู้คนจึงเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าดินแดนเทพตกสวรรค์ แต่ผู้ใดเป็นเทพจริงๆ ล้วนมีนิยามอยู่ในใจ
ไม่ว่าเป็นเพราะไม่กล้ารบกวนเซียนจวินผู้เสียสละตนเองบูชาเพื่อช่วยเหลือทุกชีวิตบนโลก หรือเกรงกลัวว่าดินแดนเทพตกสวรรค์จะกลืนกินพลังวิญญาณ นอกจากจะตั้งใจมาฝึกฝนและเรียนรู้เส้นทางแห่งเต๋า หากคิดปักหลักบำเพ็ญตนอยู่ที่นี่ เช่นนั้นต้องเตรียมตัวที่พลังวิญญาณจะถูกกลืนกิน
ใช่แล้ว หลังจากค้นพบว่าดินแดนเทพตกสวรรค์เป็นแหล่งกำเนิดพลังวิญญาณ ผู้คนจำนวนหนึ่งลองบำเพ็ญที่นี่ แต่เมื่อเกินสิบวันก็ไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณได้อีก ซ้ำพลังวิญญาณในตัวยังถูกกลืนกิน
มีผู้คนคิดว่า หากผ่านไปสิบวันแล้วกลับมาใหม่ คงสามารถดูดซับพลังวิญญาณและเข้าถึงวิถีแห่งเต๋าได้อีก ทว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ดินแดนเทพตกสวรรค์ประหนึ่งมีความจำ ไม่อนุญาตก็คือไม่อนุญาต จวบจนมีผู้ลองครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายสามปีให้หลังจึงสามารถกลับมาดูดซับพลังวิญญาณฝึกฝนในเส้นทางเต๋าได้
กฎเกณฑ์นี้ ถูกจดบันทึกไว้เช่นกัน ผู้มาบำเพ็ญเพียรที่ดินแดนเทพตกสวรรค์ สามปีมีโอกาสหนึ่งครั้ง ครั้งหนึ่งได้ไม่เกินสิบวัน หากเกินกว่านั้น ตบะยิ่งสูง การถูกดูดกลืนพลังวิญญาณก็ยิ่งสูง
มีผู้กล่าวว่า นั่นเพราะเซียนจวินยังคงปกป้องสรรพชีวิต มิเช่นนั้นใครๆ ก็จะมายังจุดกำเนิดเพื่อดูดซับพลังวิญญาณ พลังวิญญาณคงถูกพวกเจ้าเอาไปจนหมด ที่อื่นยังจะมีพลังวิญญาณใดอีกเล่า ผู้บำเพ็ญอื่นจะได้ดูดซับสิ่งใด
ผู้บำเพ็ญเพียร ไม่เพียงมนุษย์เท่านั้น ยังมีสรรพชีวิตอีกมากมาย บ้างเป็นปีศาจ บ้างเป็นวิญญาณ บ้างเป็นภูติ ทั้งหมดล้วนเป็นผู้ฝึกฝนบำเพ็ญ
เพียงแต่จะสามารถเข้าถึงวิถีของตนเองได้หรือไม่นั้น ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับปัญญาและความสามารถของแต่ละคน
นานวันเข้าดินแดนเทพตกสวรรค์กลายเป็นสถานที่ฝังร่างและดวงวิญญาณของฉินหลิวซี อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เหล่าผู้บำเพ็ญจำนวนมากนับถือเป็นดั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้ได้โอกาสอยู่เพียงสิบวัน พวกเขาก็ยินดีเฝ้ารอคอยถึงสามปีเพื่อมาเยือนสักครั้ง
เพราะการเข้าถึงวิถีแห่งเต๋าในสถานที่นี้ ก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย
ชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปห้าสิบปี ดินแดนเทพตกสวรรค์ถูกผู้บำเพ็ญเพียรขนานนามว่าเป็นดินแดนลี้ลับศักดิ์สิทธิ์ จากที่เคยเข้าได้เพียงสามปีครั้ง กลับกลายเป็นต้องอาศัยวาสนา มีคนไม่น้อยเรียกว่าปาฏิหาริย์
แม้ไม่มีผู้บำเพ็ญขั้นสูงใดเข้ามาแบ่งแยกครอบครอง แต่ดินแดนลี้ลับแห่งนี้ราวกับมีจิตวิญญาณของตัวเอง คล้ายมีม่านพลังไร้รูปร่างขวางกั้นไว้ ผู้ที่เป็นผู้มีวาสนาต่อเต๋าอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าสู่ดินแดนนี้เพื่อแสวงธรรมได้ และเมื่อครบสิบวัน จะถูกส่งออกไปราวกับเป็นกลไกที่ตั้งไว้
หลังจากดินแดนลี้ลับนี้ถือกำเนิดขึ้น เพราะมีผู้เข้าถึงน้อยครั้ง ส่งผลให้พืชพันธุ์วิญญาณอันล้ำค่าภายในเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากพืชวิญญาณแล้ว ยังสามารถพบวัสดุหายากสำหรับการสร้างค่ายอาคม เช่น ทองคำดำ หินสีน้ำเงิน และไม้เหลยจีที่เป็นของวิเศษ
เมื่อข่าวลือนี้แพร่สะพัด ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายต่างหลั่งไหลเข้ามา แต่ดินแดนลี้ลับไม่ใช่ที่ที่ใครก็เข้าได้ ต้องอาศัยวาสนาเท่านั้น ผู้ที่สามารถเข้าไปได้ หากพบสมบัติล้ำค่า เมื่อออกมาภายนอก ย่อมถูกผู้คนประมูลแข่งขันอย่างบ้าคลั่ง
ในที่ที่มีผู้คน ย่อมมีความวุ่นวาย การซื้อขายแลกเปลี่ยนโดยทั่วไปนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ก็มีผู้กล้าฆ่าชิงสมบัติ ด้วยเหตุนี้โรงประมูลจิ่วเสียนที่ปิดตัวไปเนิ่นนานจึงกลับมาเปิดอีกครั้ง เพื่อเป็นสถานที่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรและให้ชาวเมืองใช้แลกเปลี่ยนซื้อขาย
หากต้องการสิ่งของใด สามารถตั้งรางวัลในจิ่วเสียน หรือหากต้องการขายสมบัติ ก็สามารถนำมาประมูลได้ แม้ค่าธรรมเนียมจะสูงลิบ แต่จิ่วเสียนรับประกันความลับของผู้ซื้อและผู้ขายอย่างเคร่งครัด
ด้วยเหตุนี้ จิ่วเสียนจึงกลายเป็นโรงประมูลอันดับหนึ่งของใต้หล้า ขอเพียงจ่ายได้ตามราคา หรือแลกเปลี่ยนด้วยสมบัติล้ำค่า ก็สามารถแลกสิ่งที่ต้องการได้
การมีอยู่ของจิ่วเสียนย่อมสร้างความหวาดระแวงและความโลภในหมู่ราชวงศ์ ทว่าจิ่วเสียนกลับคล้ายกับร้านยาตำหนักอายุวัฒนะแห่งยุคสมัยราชวงศ์คังอู่ ลึกลับและทรงพลัง เบื้องหลังของมันมีผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยเข้าร่วมสงครามสังหารเทพคอยสนับสนุน ผู้ใดจะกล้าหาเรื่อง
ราชวงศ์เองก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนลี้ลับเทพตกสวรรค์นี้ ทว่าอย่าว่าแต่จะหาทางเข้าเจอเลย แม้แต่จะย่างกรายเข้าไปในดินแดนแห่งความว่างเปล่า คนทั่วไปเข้าไปใกล้ยังถูกแรงกดดันจนแทบหายใจไม่ได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงการบุกรุกแล้ว
เพราะเหตุนี้ สถานที่แห่งนี้แม้ตั้งอยู่บนโลกมนุษย์ แต่สำหรับประชาชนผู้ไร้พลังบำเพ็ญธรรมแล้ว กลับเป็นดินแดนที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ราวกับสรวงสวรรค์ จนผู้คนรู้สึกว่าเป็นเหมือนโลกสองใบที่ไม่อาจบรรจบกัน
แม้แต่ราชวงศ์เองก็รู้สึกเช่นนี้ ยิ่งเมื่อจำนวนผู้ฝึกบำเพ็ญเพิ่มมากขึ้น นับวันพลังก็ยิ่งแข็งแกร่ง พวกเราเริ่มรู้สึกว่าพลังอำนาจของตนกำลังสั่นคลอนแล้ว
ยิ่งผู้คนหวาดกลัวการสูญเสีย ยิ่งต้องการไขว่คว้าอำนาจในมือไว้แน่น เผชิญหน้ากับภัยคุกคามจากผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่ง ฮ่องเต้จึงมีประสงค์จะดึงอำนาจการควบคุมกองทัพกลับคืนมา
ต่างจากฮ่องเต้คังผิงผู้เป็นพระบิดา ฮ่องเต้หย่งเหยียนทรงได้รับการสั่งสอนจากท่านอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง เป็นผู้มีจิตใจดีงาม ทว่าโลกนี้กลับแปรเปลี่ยนไปได้เสมอ เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ จิตใจที่เคยบริสุทธิ์ก็เปลี่ยนเป็นแบบฮ่องเต้ทั่วไป มีความหวาดระแวงและระมัดระวังรุนแรง
เขากลับชื่นชอบในสตรี ไม่เหมือนฮ่องเต้คังผิงผู้โดดเดี่ยวและเปล่าเปลี่ยว สนมในวังได้รับการคัดเลือกครั้งแล้วครั้งเล่า โอรสธิดากำเนิดมาราวกับสายน้ำ หากไม่รวมผู้ที่จากไปแล้ว โอรสธิดาที่เหลืออยู่มีกว่ายี่สิบพระองค์ เมื่อมีลูกมาก แน่นอนว่าการแย่งชิงยิ่งมากขึ้น ฮ่องเต้หย่งเหยียนครองบัลลังก์ได้เพียงสิบแปดปี เพราะพระวรกายทรุดโทรมจึงสิ้นพระชนม์ในที่สุด และผู้สืบทอดราชบัลลังก์กลับไม่ใช่องค์ชายเชื้อสายหลัก แต่เป็นโอรสองค์ที่สาม เปลี่ยนรัชศกเป็นเฉียนหนิง
ดั่งคำกล่าวของฮ่องเต้คังผิงฉีเชียนในอดีต ราชวงศ์ใดๆ ล้วนไม่อาจยืนยาวพันปี จะรักษาไว้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับบุญวาสนา ราชวงศ์ฉีนี้ นับตั้งแต่ยุคสมัยหย่งเหยียนก็เริ่มเสื่อมถอยลงแล้ว
ฮ่องเต้คังผิงทรงบากบั่นนำพาแผ่นดินต้าเฟิงสู่ความรุ่งเรือง มาถึงยุคฮ่องเต้หย่งเหยียน วังหลังโอ่อ่า สิ้นเปลืองทรัพยากรมหาศาล ต่อมาถึงเวลาการแย่งชิงอำนาจของทายาท เพื่อรวบรวมอำนาจทางการทหารกลับคืนจึงมีความหมาดหมางกับตระกูลเฉวียนและตระกูลเย่ว์ที่ถือครองกำลังทหารกองทัพใหญ่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าฮ่องเต้หย่งเหยียนไม่มัธยัสถ์เหมือนบิดา ทว่าหรูหราฟุ่มเฟือย โชคดีที่พลังวิญญาณกลับมาเฟื่องฟู ภัยพิบัติมีน้อย การเก็บเกี่ยวยังคงอยู่ดี ไม่เช่นนั้นแผ่นดินคงล่มสลายไปนานแล้ว
แต่แม้จะมีภูเขาเงินภูเขาทอง หากไร้การผลิตในระยะยาว ทรัพย์สมบัติย่อมไม่เพียงพอ และเมื่อถึงยุคฮ่องเต้เฉียนหนิง ที่ทรงสิ้นเปลืองยิ่งกว่าบิดา อีกทั้งยังดื้อรั้นและเต็มไปด้วยความหวาดระแวง ใช้กำลังรวบรวมอำนาจการทหารและมองตระกูลขุนนางที่ครองอำนาจกองทัพเสมือนหนามยอกอก จึงเกิดความบาดหมางรุนแรงไม่อาจประสานได้
“…เจ้าแซ่ฉีนี่นะ ชะตากำลังจะสิ้นสุดแล้ว มั่งคั่งมาห้าสิบปีก็นับว่าเป็นผลแห่งบุญเก่าที่พวกเขาได้รับมามากพอแล้ว” เฟิงซิวเอนกายอยู่หน้าป้ายหิน เอ่ยรำพึงรำพันถึงเรื่องราวในโลกภายนอก มือหนึ่งลูบร่องรอยอันว่างเปล่าของอักษร ฉินหลิวซี ที่เคยสลักอยู่ เอ่ย “ต่อให้หนึ่งปีหายไปหนึ่งขีด ก็ยังมีเวลาอีกยี่สิบหกปี ยังมากไปหลายปี ท่านยังไม่กลับมาอีก คงไม่ใช่ว่าปีนขึ้นมาไม่ได้กระมัง หรือว่าหลงทาง ต้องให้ข้าไปรับหรือไม่ หรืออย่างน้อยให้ชี้ทางสักหน่อย”
นับตั้งแต่เถิงเจาพาฉังตู้ ศิษย์เพียงคนเดียวของเขามากราบอาจารย์ แล้วเจ้าเด็กนั่นบอกว่าเห็นนาง ชื่อบนป้ายนี้ก็ลดลงไปปีละขีด พวกเขาจึงคาดเดาว่าเมื่อตัวอักษรทั้งหมดนี้ลบไปแล้ว นางจะปรากฏตัวขึ้น
แต่ชื่อของฉินหลิวซีบนป้ายนี้หายไปแล้วหลายปี นางก็ยังไม่ปรากฏตัว ไฟนรกในนรกโลกันต์ก็ยังไม่ลุกโชนกลับมา
ยุคสมัยผันเปลี่ยน จากวันที่นางลาจากไปจนถึงบัดนี้ เวลาก็ล่วงเลยมาห้าสิบปีแล้ว
เฟิงซิวไม่ได้รับคำตอบ เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง จิบสุราก่อนเปลี่ยนร่างเป็นสภาพเดิมของเขาแล้วขดตัวอยู่หน้าป้ายศิลา
การปรากฏของดินแดนลับหาใช่เรื่องบังเอิญ
แม้นักบำเพ็ญคนอื่นไม่อาจอยู่ในสถานที่นั้นได้นาน แต่เขากลับสามารถอยู่ได้โดยปราศจากอุปสรรค นั่นย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ ต้องเป็นความลำเอียงที่มาจากใจลึกๆ เป็นแน่
นางย่อมต้องหาหนทางกลับมาได้ เพียงแต่เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นเอง
…
รัชศกเฉียนหนิงปีที่สิบสอง เดือนสิบสอง ศาลเทพเจ้าประจำเมืองในอำเภอหนานได้จัดงานเทศกาลยิ่งใหญ่ เพราะในปีนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านเทพเจ้าประจำเมือง เหล่าชนชั้นสูงในท้องถิ่นจึงร่วมกันจัดงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่
ความจริงในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีท่านเทพประจำเมืองคอยปกปักรักษา อำเภอหนานจึงร่มเย็นเป็นสุข ฟ้าฝนสมบูรณ์พูนสุข ยังมีผู้คนมีสติปัญญาเฉียบแหลม นักปราชญ์บัณฑิตสอบผ่านเป็นขุนนางมากมายนับไม่ถ้วน ชาวเมืองต่างเชื่อว่าเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าประจำเมือง จึงแสดงความศรัทธาเลื่อมใสต่อเทพเจ้าประจำเมืองอย่างสูง
แต่มีคนต่างถิ่นเข้ามาร่วมงานเทศกาล กลับเห็นว่าศาลเจ้าแห่งนี้เรียบง่ายเก่าแก่ไม่พอ รูปเคารพของเทพเจ้ายังเป็นเพียงรูปหล่อสำริดธรรมดา ยังมีผ้าคลุมลวดลายยันต์ที่ดูเก่าแก่จนเหมือนของโบราณไร้ค่า
จึงรู้สึกไม่เข้าใจ
ทั้งๆ ที่มีผู้ศรัทธาล้วนมีใจเลื่อมใสที่แท้จริง เครื่องสักการะและควันธูปก็รุ่งเรือง ในอำเภอหนานนี้ยังมีบุคคลสำคัญมากมาย ย่อมต้องมีผู้ที่ต้องการตอบแทนพระคุณเทพเจ้าด้วยการสร้างรูปหล่อทองคำบูชามิใช่หรือ
ไยจึงยังเป็นสำริดเก่าๆ แม้แต่ผ้าคลุมยังเป็นผืนเก่าแก่ดูทรุดโทรม
มองดูฐานรูปเคารพ ก็มีผ้าคลุมใหม่ผูกไว้ไม่น้อย แต่ผืนที่อยู่บนตัวกลับเป็นผ้าผืนเก่าๆ
“เจ้าจะรู้อะไร นี่เป็นเพราะตัวเทพเจ้าประจำเมืองเองไม่เอารูปหล่อทองคำ และไม่เอาผ้าคลุมผืนใหม่ด้วย ท่านบอกเอาไว้แล้ว ผ้าคลุมผืนนั้น เป็นสิ่งที่ศิษย์ของท่านถวายให้ก่อนจากไป การคงรูปเคารพเดิมไว้ ก็เพื่อไม่ให้ศิษย์ผู้จากไปจำท่านไม่ได้เมื่อกลับมา นี่คือเหตุผลที่ไม่ต้องการเปลี่ยนเป็นรูปทองคำ” มีชาวเมืองเอ่ยขึ้นเสียงหนัก “เทพเจ้าประจำเมืองของเรา เจ้าถวายสุราดีกับไก่ย่าง ท่านก็ดีใจมากแล้ว เรื่องเปลี่ยนรูปเคารพไม่จำเป็นหรอก”
“นี่ ชาวเมืองอย่างพวกเจ้าแต่งเรื่องเองกระมัง เทพประจำเมืองพูดได้ด้วยหรือ”
“ไยจะไม่ได้เล่า ดูแล้วเจ้าคงไม่ได้ศรัทธาอย่างแท้จริง เทพเจ้าเข้าฝันได้ หากเป็นเพียงคนเดียวที่เล่าว่าได้ยิน อาจจะเป็นเรื่องที่ข้าแต่งขึ้น แต่หลายคนที่คิดจะถวายรูปทองคำ ต่างก็ฝันถึงเรื่องเดียวกัน ยังจะเป็นเรื่องโกหกได้อีกหรือ เห็นผู้ดูแลศาลชรานั่นหรือไม่ อย่ามองว่าเขาแก่ ดวงตายังพร่ามัว แต่การทำนายของเขาแม่นยำนัก ได้ยินว่าอายุเกินแปดสิบแล้ว หลายสิบปีมานี้เป็นเขาที่คอยเฝ้าดูแลศาสเทพเจ้านี้อยู่ตลอด ยังไม่ยอมให้ผู้ใดเปลี่ยนเป็นรูปหล่อทองคำด้วย”
“จริงหรือ เช่นนั้นข้าเองก็จะขอคำทำนายด้วย”
“ไปเถิด ไปเถิด ต้องถวายเงินบริจาคเล็กๆ น้อยๆ ด้วย ได้ยินว่าปีนี้เทพเจ้าประจำเมืองจะออกตรวจตราและประทานพรให้ เจ้าเห็นนักพรตเหล่านั้นหรือไม่ พวกเขามาเพราะท่านเทพเจ้าจะออกตรวจตรา”
บุรุษต่างถิ่นผู้สวมชุดบัณฑิต ดูท่าทางจะเป็นนักศึกษาที่ออกเดินทางแสวงหาประสบการณ์ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ถามด้วยความสนใจใคร่รู้ “เทพเจ้าประจำเมืองอออกตรวจตราหมายความว่าอย่างไรหรือ”
ชาวเมืองมองพิจารณาเขาอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “เจ้าเป็นบัณฑิตสินะ ได้ยินมาว่าบัณฑิตอย่างพวกเจ้าไม่กล่าวถึงเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ สิ่งที่ข้าบอกไป เจ้าอาจจะไม่เชื่อ”
บัณฑิตจันเมิงรีบเอ่ยทันใด “ข้าไม่ใช่พวกบัณฑิตโง่เขลาที่เอาแต่นั่งอ่านตำราโดยไม่ออกไปดูโลกกว้าง ข้าอ่านตำราหมื่นเล่มยังไม่เท่าเดินทางหมื่นลี้ สิ่งที่ข้าพบเจอและได้ยินมาล้วนบันทึกไว้ เพื่อเตรียมเรียบเรียงเป็นบันทึกการเดินทาง ข้าผู้นี้ยังมีสมญานามอีกด้วย”
“เอ๋?”
“อำเภอหนานมีร้านหนังสือหรือไม่ เคยได้ยินตำราชุดประวัติศาสตร์นอกตำราเขียนโดยปราชญ์เหนือเมฆที่ขายดีหรือไม่ ข้าไม่ถือตัว ปราชญ์เหนือเมฆก็คือข้าเอง” จันเมิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นท่านเพียงเอ่ยเล่าออกมา ข้าฟังแล้วก็จะนำเอาไปเขียนลงบันทึก”
“โอ้ เช่นนั้นก็ยินดีนัก” ชาวพื้นเมืองดึงเขาไปยังบริเวณที่นักพรตตั้งแผงขาย เอ่ย “หากเจ้ารู้ มนุษย์มีชนชั้นที่หลากหลายระดับ เหมือนดั่งชนชั้นสูงและชาวบ้านธรรมดา ก็มีความแตกต่างกัน นักพรตก็เช่นเดียวกัน ผู้มีวิชาแก่กล้ากับผู้ที่มีวิชาตื้นเขินย่อมแตกต่างกัน ใช่หรือไม่”
“เป็นความจริงอย่างยิ่ง”
“เจ้าอย่าเพิ่งไม่เชื่อ ในโลกนี้มีผี ข้าเองเคยเห็นกับตาว่าวัวหัวใหญ่จากศาลเทพเจ้าประจำเมืองออกไปจับผีตัวน้อย โอ้โห วัวหัวใหญ่นั้นเหน็บดอกบัวขนาดเท่าปากถ้วยไว้บนหัว พอจับผีน้อยตนนั้นได้ ก็ตีเสียจนร้องโหยหวนอย่างน่าสยดสยอง”
“มีผี ก็ย่อมมีนรกภูมิ ท่านแม่ข้าเองมีสหายสนิทคนหนึ่งพักอยู่ในอารามเต๋า ได้ยินว่าเมื่อเหล่านักพรตจับผีได้แล้ว ไม่ใช่บอกว่าจะส่งไปก็ส่งไป…”
“เอ่ยถึงผีไม่ใช่ตีให้ตายหรือ ยังต้องรอให้ส่งอีกหรือ” เป็นผีนี่มันยิ่งใหญ่มากเลยหรือ
“หนุ่มน้อย กำลังเล่าเรื่องอยู่มิควรขัดคอนะ” ชาวบ้านถลึงตาใส่ เอ่ย “ผู้ใดบอกว่านักพรตจับผีแล้วต้องฆ่าให้ตายเล่า เอ่ยตามความเป็นจริง ผีก่อนจะมาเป็นผี ล้วนเป็นคน คนตายไปแล้วก็กลายเป็นผี บางคนเพิ่งตายไปไม่เชื่อว่าตนเองตายแล้ว ล่องลอยไปมาอยู่บนโลกโดยไม่เคยทำร้ายคนนั่นเป็นผีที่ดี ในเมื่อเป็นผีที่ดี แน่นอนว่าต้องได้รับการปลดปล่อยใช่หรือไม่ มีเพียงผีร้ายเหล่านั้น เหล่านักพรตต้องทำลายวิญญาณจนสูญสิ้น”
“พี่ท่านรู้เรื่องไม่น้อยเลยจริงๆ” จันเมิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมยกมือประสาน
ชาวบ้านโบกมือเอ่ย “ข้าเองมีเวลาก็แวะเวียนไปอารามเต๋าบ้าง เรื่องไกลๆ ไม่เอ่ยถึง เอ่ยถึงเมืองข้างๆ อารามชิงผิง อารามอันดับหนึ่งในใต้หล้า พวกเขาไม่ได้ปลดปล่อยวิญญาณในทุกๆ วัน จะรวบรวมวิญญาณเอาไว้จนถึงเทศกาลเชงเม้งและเทศกาลผี[1]จึงจะทำพิธีเปิดประตูผีเพื่อส่งวิญญาณเหล่านั้นไป หากเจ้าไม่รีบเดินทาง รอถึงเชงเม้งแล้วค่อยไปที่อารามชิงผิง นั่นเป็นงานพิธีใหญ่ประจำปี มีผู้ศรัทธามากมายมารวมตัวกัน”
จันเมิงเอ่ยรำพึงถึงอารามชิงผิงเบาๆ เอ่ย “ไม่ปิดบังพี่ชาย ข้ามาเพราะอารามชิงผิง ได้ยินว่าที่นั่นคือสำนักของปู้ฉิวเซียนจวิน”
“ใช่แล้ว นั่นเป็นเทพธิดาท่านหนึ่งเชียวนะ คนเฒ่าคนแก่มักบอกว่า หากไร้เทพเซียนผู้นี้คอยช่วยเหลือ พวกเราคงไม่อาจรอดมาได้แล้ว” ชาวบ้านเอ่ยพร้อมยกมือไหว้หันไปทางทิศของอารามชิงผิงอยู่ เอ่ย “ออกไปไกลแล้ว เมื่อครู่เราเอ่ยถึงการเปิดประตูผี ไม่ใช่นักพรตทุกคนจะมีความสามารถนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรต่ำ ย่อมต้องอาศัยพลังงานจากภายนอก เช่นการเชิญเทพเจ้าประจำเมืองไปตรวจตรา หรือร่วมพิธีของอารามอื่นเพื่อส่งวิญญาณที่ตนดูแล อ้อ หากเจ้าจะถามว่าไยพวกเขาจึงต้องยุ่งยากเช่นนี้ นั่นก็เพื่อบุญกุศลแล้ว”
ชาวบ้านมองไปทางนักพรตแล้วเอ่ย “ผู้บำเพ็ญเพียร ล้วนบำเพ็ญเพื่อตนเองและผู้อื่น รวมถึงสรรพวิญญาณทั้งปวง บำเพ็ญเพราะมุ่งมั่นในวิถีแห่งเต๋า และค้นหาสัจธรรมแห่งเต๋า จิตแห่งเต๋าตั้งมั่น ย่อมเกิดเป็นบุญกุศล บุญกุศลคืออะไร ข้าไม่ต้องอธิบายใช่หรือไม่”
จันเมิงพยักหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ “ท่านรู้มากยิ่งนัก”
ชาวบ้านยิ้มพลางเอ่ย “ก็เพียงได้ยินมา พวกเขามา หนึ่งเพื่อรับพรจากเทพเจ้าประจำเมือง สองเพื่ออาศัยเทพเจ้าประจำเมืองช่วยนำทางผีเข้าสู่ประตูผี เจ้าเห็นเครื่องเซ่นพวกนั้นหรือไม่ เมื่อจะขอยืมทาง ก็ต้องแสดงความเคารพ ของเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องบูชาแด่เทพเจ้าประจำเมืองและเทพผีทุกทิศ”
จันเมิงมองดูเครื่องหอมและเทียนไข ภาพในหัวพลันกระจ่างขึ้น ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น เอ่ย “ขอบคุณพี่ท่านที่ช่วยไขปัญหา งานพิธีอันยิ่งใหญ่นี้ ข้าจะไม่พลาดมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งเด็ดขาด”
“เจ้าไปกับข้าก็ได้ เทพเจ้าประจำเมืองออกตรวจตรา ประทานพรหาใช่ให้แต่คนเท่านั้น ยังให้ผีด้วย อย่าได้วุ่นวายเชียว อย่างไรคนมีประตูคน ผีมีเส้นทางของผี ชนกันเข้าจะไม่ดีเอา”
จันเมิงกล่าวคำขอบคุณอย่างจริงใจ
เขาติดตามชาวบ้านไป ระหว่างทางมีผู้คนเดินสวนผ่านร่าง เขาเหลียวมองเห็นเพียงเงาของชุดแดงเพลิงแวบผ่านไป ชั่วพริบตาก็ไม่เจอแล้ว เขาเอียงศีรษะด้วยความสงสัยอย่างอดไม่ได้
…
นรกโลกันต์
ท่ามกลางการตรวจตราของทหารผีในนรก จู่ๆ พลันรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งกาย วิญญาณสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
ความหวาดกลัวเช่นนั้น ราวกับมีสิ่งน่ากลัวเข้ามาใกล้ ล้อมเขาเอาไว้ คล้ายว่าหากขาดสติไปแม้เพียงเสี้ยวเดียว จะถูกแผดเผาจนสิ้นสูญ
ใต้ฝ่าเท้าเริ่มรู้สึกถึงความร้อนแผ่ขึ้นมา
ทหารผีหยุดนิ่งร่างแข็งทื่อ ก้มหน้ามองลงไป
ประกายไฟเล็กจุดหนึ่งสว่างขึ้นแล้วดับลง เขากะพริบตา นี่ข้าตาฝาดหรือ
ประกายไฟจุดขึ้นมาอีกครั้ง ใหญ่กว่าเมื่อครู่เล็กน้อย
ทหารผีเริ่มรู้สึกผิดปกติ ร่างกายตอบสนองด้วยสัญชาตญาณ อยากจะถอยออกไป ทว่ามีวิญญาณหนึ่งเห็นเขาแล้วตะโกนเสียงดัง “ผีตนนั้น เจ้ายืนอยู่ที่นั่นทำไมกัน รีบกลับมา นั่นเป็นจุดกำเนิดไฟ อยากตายหรือ”
“ข้า ข้า…” ทหารผีตัวสั่นระริก ข้าเองก็อยากไป ปัญหาคือ ข้าขยับไม่ได้
เขาจ้องมองพื้นดินใต้เท้า ประกายไฟจุดขึ้นอีกครั้ง จิตวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างแล้ว
ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าที
วิญญาณอีกตนที่เห็นเหตุการณ์ก็รู้สึกผิดปกติ รีบลอยเข้ามา ทันใดนั้นประกายไฟปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำให้วิญญาณนั้นหยุดนิ่งด้วยความตกใจ
เป็นไปไม่ได้ ไฟต้นกำเนิดดับไปตั้งห้าสิบปีแล้ว เป็นไปไม่ได้กระมัง
เขาคุกเข่าลง จ้องมองจุดกำเนิดไฟนั่น หากเป็นท่าน ช่วยออกแรงอีกสักนิด ท่านแผดเผาขึ้นมาสิ
ประกายไฟจุดขึ้นมาแล้วดับลงไป
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า
กระทั่งเสียง ฟู่ ดังขึ้น เปลวเพลิงสีแดงดั่งบงกชแดงสด พุ่งขึ้นจากกลางพื้นดิน
สองผีส่งเสียงร้องหวาดผวา ยังไม่ทันที่จะทำสิ่งใดต่อไป ความกดดันอันมหาศาลก็เข้าปกคลุม พริบตาเดียว พวกเขาถูกโยนออกไปยังขอบนรกโลกันต์
ด้านข้าง ราชาเทพเฟิงตู พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ อีกทั้งเหล่ายมบาล ยมราชจากสิบสองตำหนักต่างก็มาจนครบแล้ว ทุกคนต่างจดจ้องอยู่ที่จุดไฟนั้น ตื่นเต้นไม่น้อย
ห้าสิบปีแล้ว ไฟนรกบงกชแดงที่สามารถเผาผลาญบาปทุกชนิดได้กลับมาจุดติดอีกครั้ง
ภายใต้สายตาของทุกคน เปลวเพลิงเล็กๆ นั้นพลันระเบิดออกด้วยเสียงดัง “ปึง” จากก้นบึ้งของพื้นดิน ไฟต้นกำเนิดพุ่งพรวดขึ้นมา
โครม
พร้อมกับไฟต้นกำเนิดที่ลุกโชนขึ้น ทันใดนั้น นรกโลกันต์อันกว้างใหญ่ก็ถูกเปลวเพลิงบงกชแดงอันร้อนแรงแผ่กระจายปกคลุม
อำนาจแรงกล้า ดุจดั่งเพลิงพิโรธ ที่สามารถเผาผลาญบาปกรรมทุกชนิด
มีเงาร่างหนึ่งก้าวออกมาจากเปลวเพลิงทีละก้าว เปล่งประกายเจิดจ้าดุจบงกชแดง ร้อนแรงดั่งเปลวไฟที่แผดเผา
ไฟนรกบงกชแดง หวนกลับมาอีกครั้ง
…
ค่ำคืนแห่งรัตติกาล
เทพเจ้าประจำเมืองออกตรวจตราในอำเภอหนาน มีการประดับประดาดั่งเทศกาลปีใหม่ โคมไฟหลากสีถูกจุดสว่าง และคำสั่งห้ามออกนอกบ้านในยามวิกาลก็ถูกเลื่อนออกไปจนถึงปลายยามไฮ่[2]
บอกว่าเป็นการออกตรวจตรา แท้จริงแล้วเป็นนักพรตเชิญเทพเจ้าประจำเมืองออกมา รูปเคารพแน่นอนว่าไม่ใช่รูปสำริดจริงๆ แต่เป็นกระดาษสร้างขึ้นมาแทน จุดธูปเผากระดาษเชิญเทพสถิตย์ในรูปเคารพกระดาษ ให้นั่งอยู่บนเกี้ยว โดยมีนักพรตแบกเดินไปตามท้องถนน นอกจากเทพเจ้าประจำเมือง ยังมีเหล่าเทพบริวารของเขา เช่นหัววัวหัวม้า ผู้พิพากษาน้อย เหล่านี้ก็เชิญออกมาเช่นกัน
ขณะเดินขบวนอยู่บนท้องถนน มีกลิ่นควันหอมศักดิ์สิทธิ์นำทาง มีดอกไม้และผลไม้สดถวายบูชา ชาวบ้านต่างถือธูปคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความเคารพ ขอพรจากเทพ
และในที่ซึ่งสายตาพวกเขาไม่อาจมองเห็น เทพเจ้าประจำเมืองหนานแท้จริงพร้อมบริวารผู้ติดตาม ถือตราเทพเจ้าประจำเมือง ประทานพรให้กับชาวเมือง รอจนเหล่านักพรตเปิดประตูหยินฝั่งนั้น จากนั้นก็อาศัยเครื่องเซ่นที่ประชาชนถวายให้เป็นอาหารและสุราเลี้ยงผีทุกดวงให้กินอิ่มดื่มพอ ก่อนที่จะเปิดประตูผีส่งพวกเขาเข้าสู่แดนนรก
เมื่อวิญญาณทั้งหมดเข้าสู่แดนนรก นักพรตรู้สึกได้ถึงบุญกุศลที่เข้าสู่ร่าง และยังได้รับพรจากเทพเจ้าประจำเมือง จึงสวดมนต์ด้วยความมุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม
เทพเจ้าประจำเมืองเหลือบมองเถิงเจา เห็นเขานำเหล่าศิษย์น้องศิษย์หลานมาด้วย เอ่ย “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เถิงเจานั้นได้บรรลุธรรมขั้นสูงตั้งนานแล้ว พลังปราณสมบูรณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้จะเกือบถึงขั้นสร้างแก่นทองแล้วก็ตาม แม้อายุเกือบเจ็ดสิบปี แต่ด้วยพลังขั้นสูงทำให้รูปลักษณ์ยังคงดูเหมือนหนุ่มยี่สิบต้นๆ
ด้วยพลังปราณของเขา แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังภายนอก เขาสามารถเปิดประตูผีและส่งวิญญาณเร่ร่อนได้ด้วยตนเอง
เถิงเจานำศิษย์น้องศิษย์หลานคำนับเทพเจ้าประจำเมือง จากนั้นเหลือบมองหนึ่งโสมหนึ่งหนูที่กลับมาพร้อมกับขนมตุ๊กตาน้ำตาลในมือ เอ่ย “นานๆ ศาลจะมีเทศกาล พวกเขาอยากมาเที่ยว ก็เลยมา”
อีกทั้ง เขาเองรู้สึกถึงความแปลกประหลาด รู้สึกว่าควรมา ความรู้สึกเช่นนี้ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
ทั้งตื่นเต้นและเปี่ยมด้วยความคาดหวัง
เทพเจ้าประจำเมืองเอ่ย “ในเมื่อมาแล้ว ก็สนุกให้เต็มที่เถิด”
เขามองเหล่าศิษย์หลาน ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก
เจ้าตัวแสบ ใจร้ายมากจริงๆ
เขามองไปยังงานเทศกาลศาลเจ้า พ่อค้าส่งยิ้มรับแขก พนักงานร้องตะโกนเรียกลูกค้า ทุกคนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เด็กขี่อยู่บนบ่าของบิดา มือถือตุ๊กตาน้ำตาลและกังหันลมเทพเจ้า เสียงหัวเราะอบอวลไปทั่ว
โลกมนุษย์สุขสงบ สำราญเปรมปรีดิ์
เป็นสิ่งที่เด็กคนนั้นรักและชื่นชม ไยนางจึงไม่กลับมาดูสักครั้ง
เทพเจ้าประจำเมืองหนานกำตราประจำเทพเจ้าเอาไว้ ถ่ายทอดพลังศักดิ์สิทธิ์จากธูปเทียนและคำอธิษฐานเข้าสู่รูปแกะสลักขนาดเล็กที่อยู่ข้างกาย นั่นเป็นรูปปั้นเล็กๆ ของฉินหลิวซี สร้างจากดินเหนียวและกระดูกคน เป็นนิ้วส่วนที่นางหักและฝากเอาไว้ก่อนจากลา โดยให้ซาหยวนจื่อทำเป็นรูปคนเหมือน
หน้าประตูศาลเทพเจ้า ไม่รู้ผู้ใดผลักเหยือกน้ำเหยือกหนึ่งหก ไหลไปทางทิศตะวันตก
เขาลูบรูปปั้นเบาๆ เอ่ยพึมพำ “ธารน้ำหน้าประตูไหลมุ่งสู่ทิศตะวันตก ศิษย์ข้ามาถึงแล้ว เจ้ารอถึงเมื่อใด”
ปังๆๆๆ
เสียงประทัดดังสั่นด้านนอก สว่างไสวเจิดจรัส
ทันใดนั้น บนฟากฟ้าพลันมีดอกไม้ไฟลุกโชน ส่องประกายราวกับเปลวเพลิงดอกบัวแดงฉาน สะท้อนบนใบหน้าของผู้คน
เถิงเจาเงยหน้าขึ้นมอง รีบก้าวเท้ามุ่งสู่ศาลเทพเจ้าประจำเมืองทันที
เทพเจ้าประจำเมืองหนานมองหญิงสาวในชุดผ้าแพรบางสีครามเดินมาจากด้านนอก ยืนอยู่หน้าประตู ส่งยิ้มให้เขา “น้ำหน้าประตูไหลมุ่งสู่ทิศตะวันตก ศิษย์มาถึง อาจารย์เทพเจ้าประจำเมือง หลิวซีมาชดเชยงานเลี้ยงสุรานั้นของท่าน สุราร้อยปีไหนั้น เปิดฝาออกได้แล้ว”
แม้ช้าแต่มาถึง
เทพเจ้าประจำเมืองหนานน้ำตานอง “ได้”
“ท่านอาจารย์”
ฉินหลิวซีหันกลับไป เห็นเถิงเจายืนอยู่ด้านหลังนาง ด้านข้างเขายังมีคนยืนอยู่ไม่น้อย เจ้าโสมน้อย หนูทองคำ ยังมีลูกศิษย์ ศิษย์หลาน มองตรงมายังนาง น้ำตาไหลนองหน้า
ร่างเงาสีแดงปรากฏขึ้น เฟิงซิวในอาภรณ์ยาวสีแดงเพลิง ผมรวบด้วยผ้าผูกผมก้าวเดินมาข้างหน้า ดวงตาจิ้งจอกเรียวยาวทว่าเป็นประกายสะท้อนเพียงภาพนาง ยื่นมือออกมา “ไม่ได้เจอกันนาน ขอบคุณที่กลับมา”
ฉินหลิวซียิ้มร่า สัมผัสมือของเขา “โลกมนุษย์นั้นคู่ควร”
เมืองแสนคึกคัก รวมกันมาเป็นดอกไม้ไฟ แผ่ออกเป็นโลกมนุษย์ มันคุ้มค่า ให้หวนกลับ
…จบบริบูรณ์…
[1] วันปล่อยผี
[2] ยามไฮ่ 21.00 – 22.59 น