คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 213 ปู้ฉิววิชาความรู้สูงส่งและลึกซึ้ง
ตอนที่ 213 ปู้ฉิววิชาความรู้สูงส่งและลึกซึ้ง
ฉินหลิวซีเคาะประตูที่ถูกตั้งเอาไว้บนทางขึ้นเขา เสียงทุบประตูดังขึ้นท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงบ
มีเสียงฝีเท้าดังมาจากที่ไกลๆ คนจากด้านในเอ่ยถามเสียงดัง “ผู้ใด ประตูเขาปิดแล้ว จะจุดธูปก็มาใหม่พรุ่งนี้”
“ข้าเอง มาจากอารามชิงผิง นักพรตเฒ่าชื่อหยวนอยู่หรือไม่”
คนด้านในชะงักไปชั่วครู่ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงถอนกลอนประตู ประตูหนักๆ ถูกเปิดออก นักพรตเต๋าอายุราวๆ ยี่สิบกว่าอยู่ในชุดเครื่องแบบเต๋าและมวยผมด้วยไม้ไผ่ปรากฏตัวต่อหน้าฉินหลิวซี
อีกฝ่ายถือโคมไฟที่ลุกโชนยกขึ้นมาส่อง มองสำรวจฉินหลิวซี ตกใจความอายุน้อยของนาง มีท่าทีไม่อยากเชื่อ เอ่ยถาม “มาจากอารามชิงผิงเมืองหลีหรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค “พรของเทียนจุนไร้ขีดจำกัด ข้าปู้ฉิว มาหานักพรตชื่อหยวน ไม่รู้ว่าท่านนำทางไปได้หรือไม่”
นักพรตได้ยินชื่อของนาง ยิ่งตกใจขึ้นไปอีก เอ่ย “ปู้ฉิวหรือ ท่านคือปู้ฉิวศิษย์ของเจ้าอาวาสชื่อหยวนหรือ”
“ใช่”
ได้ยินมานานแล้วว่าปู้ฉิวลูกศิษย์ของนักพรตชื่อหยวนเป็นเด็กอายุยังน้อย นักพรตเองแม้ประหลาดใจแต่ก็วางโคมไฟลง ยกมือประสานแสดงท่าทีเคารพ เอ่ย “อาจารย์อาปู้ฉิวเดินทางมาไกล ศิษย์หลานคารวะ”
อาจารย์อาหรือ
ฉินหลิวซีมองท่าทางนอบน้อมของเขา คิดในใจว่านี่ก็คือศิษย์รุ่นที่สามของอารามชิงหลานแล้วหรือ เจ้าอาวาสชิงหลานอายุเท่ากันกับตาเฒ่าของนาง ฉายาในรุ่นถัดไปคือตัวอักษร ไท่ ถัดไปอีกถึงจะเป็นตัวอักษร เหอ
ตนอยู่รุ่นเดียวกันกับอักษร ไท่ เช่นนั้นอายุมากกว่าตนกลับมาเรียกตนว่าอาจารย์อา เกินไปจริงๆ
ผู้อาวุโสเชียวนะ
รบกวนเวลาเขาดึกๆ ดื่นๆ ทั้งยังเป็นผู้อาวุโส ไม่ไว้หน้าสักหน่อยก็คงไม่ได้
ฉินหลิวซีกระแอมไอ สัมผัสแขนเสื้อทั้งสองข้างจึงพบว่าตนเองออกมาจากเรือนพักของตนเอง แน่นอนว่าสวมชุดธรรมดาทั่วไป ไม่ได้นำยันต์ติดตัวมา แขนเสื้อทั้งสองข้างว่างเปล่า
รู้สึกกระอักกระอ่วน
โดยเฉพาะภายใต้สายตาคาดหวังของอีกฝ่าย
ฉินหลิวซีคำไปเจอถุงผ้าที่ผูกอยู่กับเอว ดวงตาวาวขึ้น เปิดถุงผ้าออก หยิบขวดแก้วออกมายัดใส่มือเขา เอ่ย “แม้ฤดูใบไม้ร่วงใกล้จะผ่านพ้นไปแล้ว อาการป่วยในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็คงไม่มีแล้ว แต่เจ้าต้องต้อนรับผู้แสวงบุญมาจุดธูปทุกวัน สวดมนต์ให้พรแก่พวกเขา ระคายเคืองลำคอก็คงมี นี่คือลูกกวาดชิวหลี ข้าทำมันขึ้นมาเอง มอบให้เจ้าเป็นของขวัญแรกพบ ช่วยให้ชุ่มคอ”
ลูกกวาด
ขมับของเหอหมิงกระตุก คิดว่าตนเองเป็นผู้น้อยจริงๆ
เขาเก็บลูกกวาดเข้าไปไว้ในแขนเสื้อ ยิ้มพลางเอ่ย “ขอบคุณอาจารย์อาปู้ฉิวที่มอบให้ เชิญท่านเข้าไปด้านใน เหอหมิงจะจัดการส่งนักพรตไปทำความสะอาดเรือนรับรองให้ขอรับ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่ต้องหรอก ข้ารับอาจารย์แล้วก็จะกลับเมืองหลี เจ้าเห็นข้านั่งรถมาหรืออย่างไร”เหอหมิงตกใจ “ไม่นั่งรถ ท่านเดินหรือขอรับ”
“ถูกแล้ว”
เหอหมิงยิ้ม คิดในใจว่าท่านโม้หรือ เดินเท้า เดินกี่วันกันเล่า ยังบอกว่าเพิ่งมาจากเมืองหลีอีก
อาจารย์อาปู้ฉิวอายุยังน้อยเป็นเรื่องจริง ดูเป็นคนขี้โม้ ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสม
แต่เหอหมิงก็ไม่อาจเอ่ยออกมาตรงๆ ได้ เพียงยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า “หากเดินมา เมืองหลีห่างจากอารามชิงหลานของเรามาก คิดว่าท่านคงเหนื่อยไม่น้อย ขาเองก็คงล้าแล้ว”
“อ้อ ข้ามาเส้นทางหยิน ไม่นับว่าลำบากอันใด ไม่นานก็ถึงแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
ผัวะ
โคมไฟในมือเหอหมิงร่วงลงกับพื้น เขามองฉินหลิวซี ดวงตาเบิกโตค้างเติ่งอยู่แบบนั้น เอ่ยว่า “เดิน เดินเส้นทางหยินมาหรือขอรับ”
ฉินหลิวซีหยิบโคมไฟขึ้นมาแล้วโบกมือ ดับโคมไฟที่กำลังจะไหม้ เอ่ย “ก็ใช่น่ะสิ มีปัญหาหรือ เดินทางเร็ว เส้นทางปลอดภัย เดินทางได้สะดวกมาก”
เหอหมิง “!”
นี่คือเดินทางรวดเร็วไม่มีปัญหาหรือ
เส้นทางหยินเลยนะ หากไม่ระมัดระวังคงออกมาไม่ได้
แต่อาจารย์อาบอกว่าเดินทางมาแล้ว ไม่เพียงเดินทางมา คนยังมายืนอยู่ตรงนี้ได้ หากอีกฝ่ายไม่ขี้โม้ ไม่ก็คงมีความรู้อันสูงส่ง
ฉินหลิวซีกำลังจะก้าวเท้า เสียงตื่นตระหนกของซือเหลิ่งเย่ว์ก็ดังออกมาจากน้ำเต้า
“แม่นางฉิน จี้หยกของข้าแตกเป็นสองส่วนแล้ว”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว มองไปยังเหอหมิง เอ่ย “เจ้าอาวาสของเจ้ายามนี้อยู่ที่ใด รีบพาข้าไปหาเขา”
จี้หยกของซือเหลิ่งเย่ว์แตก นั่นหมายความว่าจี้หยกในร่างกายของนางแตกแล้ว รอเครื่องรางแตก นางวิญญาณออกจากร่าง ไม่มีเครื่องรางคุ้มภัย วิญญาณเร่ร่อนสิงร่างได้ง่าย
ไม่สิ บางทีอาจสิงแล้วก็เป็นได้
สตรีนางนี้โชคร้ายจริงๆ
เหอหมิงเอ่ย “อาจารย์อาปู้ฉิว เจ้าอาวาสของเราไม่อยู่ อ้อ อาจารย์ของข้ามาแล้วขอรับ”
ฉินหลิวซีมองไป ชายวัยกลางคนใบหน้ากลมอวบอ้วน รอยยิ้มมีเมตตาคล้ายพระโพธิสัตว์กำลังเดินเข้ามา
“อาจารย์ของเจ้า เป็นสายลับที่ศาสนาพุทธส่งมาหรือ” ใบหน้ากลมดูมีเมตตาราวกับพระ ยิ่งเหมือนคนในพระพุทธศาสนา
เหอหมิง “!”
“พรของเทียนจุนไร้ขีดจำกัด เมื่อครู่ข้าทำนาย มีสหายมาถึง คงเป็นผู้นี้กระมัง” ไท่ชิงหันไปมองฉินหลิวซีด้วยรอยยิ้ม
เหอชิงก้าวขึ้นมา เอ่ยอย่างนอบน้อม “อาจารย์ ท่านผู้นี้คือปู้ฉิว ศิษย์ของนักพรตชื่อหยวนขอรับ”
ไท่ชิงตกใจ ท่าทางตื่นเต้นที่เห็นฉินหลิวซี เอ่ย “เป็นศิษย์น้องปู้ฉิวเองหรือ ข้าคือศิษย์พี่ไท่ชิงของเจ้า”
ฉินหลิวซียกมือขึ้นมาทำความเคารพ เอ่ย “ข้ามารับอาจารย์ และขอพบเจ้าอาวาสของท่าน ไม่รู้ศิษย์พี่นำทางได้หรือไม่”
“เจ้ามาเสียเวลาเปล่าแล้ว อาจารย์เพิ่งรับคำเชิญของผู้แสวงบุญ เข้าไปในเมืองเพื่อช่วยเหลือผู้แสวงบุญ” ไท่ชิงเอ่ย “ท่านนักพรตชื่อหยวนเองก็ไปด้วยกัน”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว บังเอิญเพียงนี้เลยหรือ
นางครุ่นคิด หยิบน้ำเต้าขึ้นมาเปิดจุกออก เอ่ย “เช่นนั้นศิษย์พี่เคยเห็นแม่นางผู้นี้หรือไม่ วิญญาณนางออกจากร่าง ตอนที่ข้าเดินทางผ่านเส้นทางหยิน เจอนางระหว่างทางจึงพานางมาด้วย”
ฉินหลิวซีให้ซือเหลิ่งเย่ว์ออกมา
ตอนซือเหล่งเย่ว์ออกมายืนอยู่บนพื้น เท้าไม่มั่นคงนัก ใบหน้ายิ่งซีดขาว
ฉินหลิวซีเห็นนางเป็นเช่นนั้น คิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้น
เหอหมิงไม่มีตาทิพย์ มองไม่เห็นซือเหลิ่งเย่ว์ นิ่งอึ้งอยู่บ้าง ทว่าเห็นอาจารย์ของตนมองไปยังทิศทางทิศทางหนึ่ง จึงเดินตามไปด้วย
ไม่มีผู้ใดนี่
ยามนี้ไท่ชิงจำซือเหลิ่งเย่ว์ได้แล้ว เอ่ย “นี่คือแม่นางตระกูลซือ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร”
ฉินหลิวซีดีใจ “ท่านรู้จักนางจริงด้วย”
“รู้จักแน่นอน เป็นแม่นางตระกูลซือ อาจารย์เองก็ได้รับคำขอความช่วยเหลือจากตระกูลซือ ให้ไปช่วยตามหาวิญญาณแม่นางซือ แต่อาจารย์ไปได้สองชั่วยามแล้ว วิญญาณของแม่นางซือไยจึงยังไม่กลับเข้าร่างเล่า” ไท่ชิงเองก็ไม่เข้าใจ
ฉินหลิวซีเองก็ตกใจ บังเอิญแล้วจริงๆ ช่างบังเอิญนัก
“ศิษย์พี่ แม่นางซือวิญญาณออกจากร่างมานานแล้ว เครื่องรางคุ้มภัยร่างกายเองก็แตกหัก ในเมื่อเจ้าอาวาสยังไม่อาจเรียกวิญญาณได้ ไม่แน่ว่าตระกูลซืออาจเจอปัญหาแล้ว ช้าไม่ได้ ศิษย์พี่ไปตระกูลซือกับข้าได้หรือไม่”
ไท่ชิงเอ่ย “มิอาจทำเช่นนั้น ในวัดมีแขกผู้สูงศักดิ์ ข้าไปไม่ได้ เอาเช่นนี้ เหอหมิง เจ้าไปกับอาจารย์อาปู้ฉิวของเจ้า”
“ขอรับ ศิษย์จะไปเตรียมม้าเดี๋ยวนี้”
ฉินหลิวซีเอ่ย “เตรียมอะไรกัน ยามนี้คงปิดเมืองแล้ว ม้าไปถึงเมืองก็เข้าไม่ได้ พวกเราเดินเส้นทางหยิน”
เหอหมิง “?”
ไท่ชิง “!”
ในตอนที่เขากำลังเบิกตาโตฉินหลิวซีก็ใช้อาคมเปิดเส้นทาง มือข้างหนึ่งคว้าเหอหมิง มืออีกข้างคว้าซือเหลิ่งเย่ว์เดินเข้าไปในเส้นทางหยิน ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “อาจารย์บอกว่าแม้ปู้ฉิวอายุยังน้อย กลับมีวิชาความรู้สูงส่งและลึกซึ้ง ไม่ได้โกหกข้าจริงๆ ข้าไม่อาจเทียบได้”
*********************************