คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 238 หากว่าคนเนรคุณเข้าใกล้กว่านี้อีกนิด
ตอนที่ 238 หากว่าคนเนรคุณเข้าใกล้กว่านี้อีกนิด
เทศกาลฉงหยางวันที่เก้าเดือนเก้า ลมพัดบางเบา เมฆจางๆ ไร้เมฆาหมื่นลี้
ปีนี้ผู้คนที่ขึ้นเขาเพื่อมาขอพรที่อารามชิงผิงมากกว่าปีที่ผ่านมา เพราะว่าภายในอารามมีการประกาศให้ผู้มีศรัทธาทราบล่วงหน้า ถึงการปลุกเสกเบิกเนตรปรมาจารย์ลัทธิเต๋าร่างทององค์ใหม่ขึ้น หลังจากพิธีการผ่านพ้นไป ภายในอารามมีการแจกชาสมุนไพรและโจ๊กสมุนไพร สิ่งของทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นของดีสามารถป้องกันร่างกายจากความหนาวเหน็บ
นอกจากนี้ อารามเต๋ายังเตรียมห่อยาบำรุงร่างกายเอาไว้ให้ เพียงแค่เพิ่มเงินบริจาคอีกสองอีแปะ ก็สามารถขอกลับไปให้ผู้สูงอายุพกพาได้ ทั้งนี้ยังเป็นการสืบสานประเพณีเคารพผู้สูงอายุในเทศกาลฉงหยางอีกด้วย
ดังนั้นเมื่อฟ้าสว่างผู้มีศรัทธาก็ขึ้นเขามา หนึ่งคือต้องมาขอพรให้อายุยืน สุดท้ายแล้วสูงสุดย่อมคืนสู่สามัญเป็นสัจธรรม ดังนั้นการขึ้นเขาไประลึกถึงเป็นสิ่งที่ควรทำทุกๆ ปี
ส่วนอย่างที่สองน่ะหรือ หลังจากที่ชมงานใหญ่ในอารามชิงผิงแล้ว ให้ดื่มชาสมุนไพรและโจ๊กสมุนไพรสักถ้วย เพื่อขอให้สิ่งมงคลปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บไป ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเช่นกัน
เส้นทางไปวิหารใหญ่ของอารามชิงผิงมีสองเส้นทาง เส้นทางแรกเป็นทางราบรถม้าสามารถสัญจรได้ไปจนถึงประตูทางเข้าก่อนถึงอาราม อีกเส้นจากด้านล่างเขาขึ้นไป สร้างเป็นบันไดหินตรงไปยังลานเล็กหน้าวิหารหลัก
และบันไดหินนี้ อารามเป็นผู้สร้างรวมถึงออกเงินในการสร้างเองมานานหลายปี สร้างขึ้นอย่างราบเรียบและกว้างขวาง เพียงพอสำหรับให้คนสี่คนสามารถเดินในแนวเดียวคู่กันไปได้ ราวจับบันไดทั้งสองด้านเป็นเนื้อไม้แท้ หากใครที่เดินมาจนเหนื่อยล้าก็สามารถจับที่ราวเพื่อพักได้
บันไดนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งได้ว่าเส้นทางสู่เซียน
เพราะว่าอะไรนะหรือ ก็เพราะว่าหินนี้ไม่ใช่หินธรรมดา บนก้อนหินทุกก้อนล้วนสลักอักขระของนักพรตเต๋าด้วยชาดแดงไว้ เมื่อเดินเข้าไปในนั้นก็เท่ากับได้รับการเจิมอักขระ ราวกับได้เข้าพบเทพเซียน
ดังนั้นแม้ว่าจะมีเส้นทางรถม้า แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังเดินบนเส้นทางไต่สู่เซียนด้วยความเต็มใจ คนธรรมดานี่นา ต่างก็ต้องคาดหวังว่าตนเองจะมีสุขภาพแข็งแรงยืนยาว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงอุบาย ทว่าพวกเขาเองก็เต็มใจเชื่อดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
อีกครึ่งหนึ่งของเส้นทางไต่สู่เซียน ยังได้สร้างจุดชมวิวเอาไว้อีกด้วย เพราะว่าทิวทัศน์บริเวณนี้งดงามมาก และยิ่งเป็นช่วงเทศกาลฉงหยางที่ต้องขึ้นเขาไปเที่ยว มีเหล่าบัณฑิตจำนวนไม่น้อยที่มาเพลินเพลินกับฤดูใบไม้ร่วงในบริเวณจุดชมวิวของอารามในตอนเช้าจึงทำให้ยิ่งน่าสนใจ พวกเขาแต่งบทกวีท่องกลอนสรรเสริญทิวทัศน์ดังๆ ดึงดูดให้ผู้คนธรรมดานึกอิจฉาและอยากที่จะมาชื่นชม
คุณค่าใดหรือจะเทียบกับการศึกษาหาความรู้ด้วยการร่ำเรียน ผู้คงแก่การเรียนนั้นย่อมได้รับความเคารพจากผู้อื่นมากกว่าเสมอ
บริเวณเขาด้านล่างดูคึกคัก มีร้านขายขนม เทียนหอม และขายของป่าอยู่ทั่วสารทิศ รวมทั้งในอารามเองก็เช่นกัน
การปลุกเสกเบิกเนตรปรมาจารย์ลัทธิเต๋าร่างทองเป็นการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังเป็นเทศกาลฉงหยาง โคมไฟบริเวณอารามชิงผิงจึงส่องสว่างตั้งแต่เที่ยงคืน เช้ามาก็มีชาสมุนไพรและโจ๊กสมุกไพรมาบริการ แม้แต่ในอากาศก็ยังมีกลิ่นหอมจางๆ ของสมุนไพรลอยอบอวล ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่น
นี่เป็นใบสั่งยาทั้งหมดที่ฉินหลิวซีเตรียมเอาไว้ให้ ตัวยาล้วนแล้วแต่สามารถใช้ปัดเป่าความหนาวเหน็บและดับกระหาย ไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ป่วยก็สามารถกินได้
ห้องเตรียมอาหารก็มีแม่ครัวเก่าแก่ของอารามและผู้ศรัทธาที่มีน้ำใจคอยช่วยเหลืออยู่ วิหารอื่นๆ และลานที่พัก นักพรตเต๋าที่อยู่ในอาราต่างก็พากันจับไม้กวาดกวัดแกว่งไปมาทั่วทุกที่ตั้งแต่เช้าตรู่
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนมองดูความวุ่นวายภายในอาราม ลูบเคราด้วยความพึงพอใจ นัยน์ตาแสดงออกถึงความปลื้มอกปลื้มใจไม่มีผู้ใดเทียบได้
หลายปีมาแล้วที่อารามชิงผิงไม่ได้มีบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้ หรือก่อนที่เสวียนเหมินจะเงียบสงบลง สิบปีที่เริ่มเปิดอารามอีกครั้ง ถือเป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานใหญ่และครึกครื้นถึงเพียงนี้
หลังจากนี้ก็คงจะคึกคักมากกว่านี้แล้วล่ะ
สมมติว่าศิษย์เนรคุณเข้ามาใกล้กว่านี้อีกนิด
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเหลือบมองใครบางคนที่หาวออกมาด้วยความเกียจคร้าน เคราหนึ่งเส้นถูกดึงจนขาด ข่มอารมณ์โกรธเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้น “วันนี้ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็เป็นงานใหญ่ที่จะเปลี่ยนปรมาจารย์ลัทธิเต๋าเป็นองค์สีทอง เจ้าจะจริงจังสักนิดมิได้เลยหรือ อย่างน้อยเจ้าก็เป็นถึงเจ้าอาวาสน้อยของชิงผิง”
หนังตาฉินหลิวซีกระตุก ถามขึ้น “เจ้าอาวาสน้อยอะไรกัน”
“เจ้านั่นแหละ” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ยขึ้นชี้ไปที่นาง “เจ้าเป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของอาจารย์ อนาคตอาจารย์ก็จะต้องเลื่อนขั้นเจ้าแล้ว อาจารย์ตัดสินใจแล้ว อย่างไรก็ต้องยกอารามผิงชิงให้เจ้า จะใช้พิธีการวันนี้ประกาศให้ผู้มีศรัทธาทราบ เจ้าไม่ต้องมีฉายานักพรตเต๋า เป็นศิษย์เอกของอาจารย์ และเป็นเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิง”
เขาเดินไปแล้วก็เอ่ยไป มือวางไว้บนบ่าของนาง เอ่ยเสียงหนักแน่น “ศิษย์เอ๋ย หนทางยังอีกยาวไกล จากนี้ไปเจ้าจะต้องมุ่งมั่นตั้งใจเล่า”
ฉินหลิวซีดึงมือของเขาออกเบาๆ และเผยยิ้มออกมา “ท่านฝันไปเถิด” นางชี้ไปยังอารามเต๋า “ท่านดูสิ อารามเต๋าเล็กๆ หลังนี้ จะต้องการเจ้าอาวาสน้อยไปทำไมกันเล่า แค่มองปราดเดียวก็เห็นจุดจบแล้ว ท่านยังมาวาดขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ให้ข้าเพียงนี้[1]ทำไมหรือ ด้านในขนมไม่ใส่ไส้เนื้อแล้วคนจะอยากกินหรือ”
“เมื่อก่อนอารามชิงผิงเคยมีผู้มีศรัทธานับไม่ถ้วนมาสักการะและถวายเครื่องหอม ในเมื่อเจ้าเข้ามาเป็นศิษย์ของอาจารย์แล้ว ก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบอันสำคัญในการฟื้นฟูมันให้รุ่งโรจน์ดังเช่นเมื่อก่อน เอาล่ะ ตัดสินใจอย่างสบายใจแล้ว ไม่รับคำถกเถียง อาจารย์จะไปดูวิหารหลักเจ้ารีบไปจัดเตรียมชุดเต๋าของเจ้ามา อย่าพลาดช่วงฤกษ์งามยามดี” หลังจากที่นักพรตเฒ่าชื่อหยวนพูดจบประโยค ก็นึกกลัวขึ้นมาตอนนั้นว่าฉินหลิวซีจะโกรธจนไม่ทำงานเลยรีบวิ่งออกไป
ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ ส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจอีกครั้ง
ตาแก่นี่จริงๆ เลย
“ปู้ฉิว”
ฉินหลิวซีที่กำลังจะเดินกลับห้องทว่าได้ยินเสียงร้องเรียกดังขึ้น นางจึงหันหน้ากลับไป เห็นอวี้ฉังคงสวมชุดขาวนวลดุจพระจันทร์ ผมรวบขึ้นเป็นมวยปักด้วยปิ่นหยก ราวกับว่าความงามได้มาเยือน
นางโค้งคำนับเพื่อทำความเคารพอวี้ฉังคง “ปกติแล้วจะเห็นท่านใส่สีดำ ไม่นึกเลยว่าสีขาวจะยิ่งขับให้ท่านดูงดงามจริงๆ”
ชุดคลุมสีฟ้าอ่อน แขนเสื้อ ปกคอเสื้อ และชายเสื้อปักด้วยลายเมฆมงคล เอวผูกรัดด้วยเข็มขัดเงิน ห้อยด้วยจี้หยกมันแพะหนึ่งอัน ดูสูงส่ง
อวี้ฉังคงเองโค้งคำนับเพื่อทำความเคารพอีกฝ่ายกลับเช่นกัน “วันนี้มาเข้าร่วมพิธีการ ก็ต้องให้เกียรติเป็นธรรมดา”
“มาแต่เช้าเพียงนี้ กว่าพิธีจะเริ่มก็อีกหลายชั่วยาม” ฉินหลิวซีเอ่ย “กินข้าวเช้ามาแล้วหรือไม่ จะได้ให้นักพรตน้อยหาโจ๊กสมุนไพร ซาลาเปามาให้ท่านเป็นอย่างไร”
อวี้ฉังคงเอ่ยขึ้น “มาเร็วสักหน่อย เพราะอยากจะมาเติมน้ำมันหอมให้ตะเกียงของท่านพ่อกับท่านแม่ แล้วค่อยไปจุดธูป”
“จริงสิ วันนี้ก็เป็นวันฉงหยางด้วย” ฉินหลิวซียิ้มเอ่ย “เช่นนั้นเชิญท่านตามสบายเป็นอย่างไร ข้าต้องไปจัดเตรียมชุดเต๋าก่อน ไม่เช่นนั้นอาจารย์ของข้าได้สวดข้างหูข้าแน่ว่าข้าไม่เคารพปรมาจารย์ลัทธิเต๋า”
“ได้” อวี้ฉังคงยิ้มและพยักหน้า
จากนั้นฉินหลิวซีจึงเดินเอามือไพล่หลังเข้าห้องไป
อวี้ฉังคงเองก็หมุนตัวกลับเดินเข้าไปในวิหารหลัก ทันทีที่เข้าไปในวิหาร พลันมองเห็นนักพรตเต๋าชื่อหยวน สองมือยกขึ้นประสานรีบทำความเคารพ “เจ้าอาวาสชื่อหยวน”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนยิ้มและทำความเคารพกลับ ตอนที่มองเห็นคนของเขา ก็เอ่ยขึ้นพร้อมมองด้วยสายตาสงสัย “หากทายไม่ผิด ท่านคงจะเป็นคุณชายอวี้”
“ไม่อาจปิดบังต่อดวงตาเห็นธรรมของท่านได้”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนยิ้มพลางเอ่ย ”เพราะปรมาจารย์ลัทธิเต๋าองค์สีทองที่ท่านบริจาคให้กับอาราม วันนี้ถึงได้มีการจัดงานใหญ่เช่นนี้ได้ ปรมาจารย์ลัทธิเต๋าจะต้องป่าวประกาศให้เหล่านักพรตได้เปิดหูเปิดตารู้จัก อีกไม่นานคุณชายอวี้ก็จะเดินทางไกลแล้วใช่หรือไม่”
อวี้ฉังคงชะงักไปชั่วขณะ เอ่ยขึ้น “ท่านปู่ไม่สบาย วันพรุ่งนี้วางแผนจะกลับไปเพื่อแสดงความกตัญญูต่อท่าน”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนพยักหน้า “เช่นนี้นี่เอง คุณชายเดินทางทางน้ำจะสะดวกราบรื่นสักหน่อย”
ดวงตาดำของอวี้ฉังคงเข้มลง สีหน้าพลันเคร่งขรึม โค้งคำนับและเอ่ย “ขอบคุณท่านเจ้าอาวาส”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนยิ้มแล้วหยิบน้ำมันตะเกียงส่งให้เขา “เติมน้ำมันในตะเกียงให้บิดามารดาท่านเถิด”
อวี้ฉังคงใช้สองมือรับมา พยักหน้ารับท่าทางนอบน้อม ขณะที่กำลังจะเดินไปนักพรตเฒ่าชื่อหยวนได้เอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค
“ดวงตาของคุณชายสว่างไสว คงเข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
อวี้ฉังคงใบหน้าขรึมไม่เอ่ยคำใด
“กรรมย่อมต้องชดใช้ด้วยกรรมของตนเอง ในเมื่อคุณชายเป็นผู้มีศรัทธาของอารามชิงผิงของเรา ทางที่ดีควรจะจดจำคำเหล่านี้เอาไว้” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเงยหน้าขึ้นไปมองปรมาจารย์ลัทธิเต๋าองค์เดิม เอ่ย “หลักธรรมสวรรค์ไร้สายสัมพันธ์ สอดคล้องกับผู้ที่ปฏิบัติตามวิถีแห่งสวรรค์เสมอ”
“ขอรับ” อวี้ฉังคงโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนโบกไม้โบกมือ มองเขาหมุนตัวเดินไปหน้าตะเกียงเพื่อเติมน้ำมัน ตะเกียงสว่างแล้ว จึงได้ละสายตาไปจากเขา
ถ้าหากแสงส่องไปถึงก็จะสว่างแจ่มแจ้ง หากส่องไปไม่ถึงก็จะมืดมน
ฉังคงแห่งสกุลอวี้ คือคนที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความดีและความชั่ว
[1] ท่านยังมาวาดขนมเปี๊ยะชิ้นใหญ่ให้ข้าเพียงนี้ เปรียบเปรยว่า ท่านยังมาวาดฝันอันยิ่งใหญ่ให้ข้าเพียงนี้