คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 241 อารามชั่วเห็นคนตายไม่ช่วย
ตอนที่ 241 อารามชั่วเห็นคนตายไม่ช่วย
ฉินหลิวซีเองก็ไม่ได้ขัดมู่ซี ยันต์อยู่เย็นเป็นสุขสิบแผ่น ธรรมดาอีกเจ็ดแผ่น ต่างป้องกันภัยอันตรายได้ นอกจากนี้ยังมอบแผ่นไม้แกะสลักตัวอักษรชิ้นเล็กๆ ให้เขาหนึ่งชิ้น
ดวงตาของมู่ซีไหววูบ กอดกล่องเก็บสามอย่างนั้นไว้ในอกอย่างเอาจริงเอาจัง เอ่ยถาม “ที่เหลือเจ็ดอันนั้น ไม่มีผลหรือ เจ้าวาดเป็นยันต์คุ้มภัยทั้งหมดมิได้หรือ หากค่าน้ำมันตะเกียงไม่พอข้าเพิ่มให้อีกย่อมได้”
“นี่เป็นสิ่งมีจิตวิญญาณ เก็บเอาไว้กับตัว ขอเพียงไม่โดนน้ำ ร้อยมารร้ายก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้” ฉินหลิวซีเอ่ย “ส่วนยันต์ที่ป้องกันจากสิ่งชั่วร้าย ซื่อจื่อน้อย บอกให้ท่านรู้ ยันต์ที่ข้าเขียนนั้นใช้คุณความดีบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญเพียรมา เงินหนึ่งพันตำลึง ให้ท่านสามอย่าง นั่นเพราะวันนี้ข้าอารมณ์ดีแล้ว มิเช่นนั้นต่อให้ท่านให้ข้ามาหนึ่งพันตำลึง ก็ไม่อาจขอได้แม้เพียงแผ่นเดียว”
มู่ซีกะพริบตา
องครักษ์กัดลิ้น กลืนน้ำลาย
“เช่นนั้นนี่คือ” มู่ซีมองแผ่นไม้เล็กๆ ที่ห้อยด้วยเชือกแดง
ฉินหลิวซีเอ่ย “นี่คือยันต์ไม้สายฟ้า สลักอักษรขจัดสิ่งชั่วร้าย เมื่อครู่ได้ปลุกเสกในพิธีเบิกเนตรท่านปรมาจารย์ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้ละเอียดและงดงามเช่นสิ่งที่อยู่บนตัวท่าน แต่การใช้ประโยชน์ แน่นอนว่าดีกว่า ดวงชะตาของท่านมีเงาหยินติดตาม ดังนั้นครอบครัวของท่านจึงได้ขอยันต์คุ้มภัยมาแขวนเต็มตัวเจ้ากระมัง”
มู่ซีชะงัก อ้าปากอยากบอกดวงชะตาของตนเอง องครักษ์ก้าวขึ้นมาข้างหน้า เอ่ย “ซื่อจื่อ รีบเอ่ยขอบคุณอาจารย์ปู้ฉิวเถิดขอรับ”
ฉินหลิวซีคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มเหลือบมององครักษ์ผู้นั้น ทว่าไม่ได้สนใจ ชี้ไปยังยันต์ไม้ชิ้นนั้น “ไม่รังเกียจก็ห้อยมันเอาไว้ เจ้าจะได้ไม่ถูกผีสางเร่ร่อนเหล่านั้นสิงร่างกาย”
มู่ซีสะดุ้งโหยง รีบแขวนด้ายแดงไว้กับลำคอ แนบติดไปกับผิว
“ข้าเชื่อเจ้า” เขาเหยียดยิ้มกว้างราวกับสุนัขตัวใหญ่
ฉินหลิวซี “ท่านโชคดี”
มาเจอกับข้า
มู่ซีนึกว่าอีกฝ่ายหมายถึงฐานะของเขา เอ่ยอย่างถือดี “นั่นนะสิ หากเจ้าไปเมืองหลวง ข้าจะพาเจ้ากินดีอยู่ดี เป็นหน้าที่ของข้า”
ฉินหลิวซีไม่ได้ใส่ใจ
เสียงดังโวยวายดังขึ้นจากวิหารด้านข้าง ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว เอ่ยกับมู่ซี “เชิญท่านตามสบาย”
นางเดินตรงไปตามเสียงที่ดังมา ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ ได้ยินเสียงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด ยังมีเสียงแหลมด่าทอ รวมไปถึงเสียงหัวเราะอย่างระมัดระวังของชิงหย่วน
เดินเข้าไปใกล้ เห็นผู้ที่แต่งตัวเหมือนปัญญาชนหลายคนยืนราวกับพูดคุยอะไรกันอยู่ บนพื้นยังมีคนหนึ่งนอนอยู่ส่งเสียงร้องโอดครวญ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยถามหนึ่งประโยค มองไปยังคนที่อยู่บนพื้น ดวงตาคมฉายแววเดือดดาลขึ้นมา
ชิงหย่วนเช็ดเหงื่อบนขมับ เอ่ย “ศิษย์พี่ท่านมาพอดี รีบรักษาบาดแผลให้ผู้แสวงบุญผู้นี้เถิดขอรับ บอกว่าล้มขณะเดินเล่นอยู่หลังเขาจนมือเจ็บขอรับ”
“ล้มเพราะเดินเล่นที่อารามของพวกเจ้า พี่ถังเขาเป็นถึงผู้มีความสามารถแห่งจวนหนิงโจวของเรา การสอบขุนนางปีหน้าจะต้องผ่านอย่างแน่นอน ยามนี้มาล้มที่อารามของพวกเจ้าจนมือขวาได้รับบาดเจ็บ หากเข้าร่วมการสอบขุนนางไม่ได้ พวกเจ้าจะชดใช้อย่างไร” ปัญญาชนผู้หนึ่งเอ่ยเสียงดัง
ฉินหลิวซีเอ่ย “เดินเล่นไม่ระวังจนล้มเอง ยังมาโยนความผิดให้พวกข้าอีกหรือ”
“อารามเส้นทางยากลำบากนี้มิใช่พื้นที่ของพวกเจ้าหรือ พวกเจ้าไม่จัดการดูแลให้ดี คนต้องมาล้ม มิใช่ความผิดของพวกเจ้าหรือไร” ปัญญาชนผู้นั้นยิ้มเย็น “วันนี้หากพวกเจ้าไม่รักษามือพี่ถังให้หายดี พู่กันของพี่น้องทั่วใต้หล้าของพวกเรา คงได้ช่วยพวกเจ้ากระจายชื่อเสียงของอารามแห่งนี้แล้ว”
คงไม่ใช่เรียนหนังสือมากจนเป็นบ้าไปแล้วกระมัง
ฉินหลิวซีหัวเราะ “ปัญญาชนผู้นี้ ท่านคงมิได้แซ่ไล่กระมัง”
คนผู้นั้นชะงัก “ข้าแซ่ไล่แล้วอย่างไร”
“พี่ไล่ ท่านอย่าเพิ่งเอ่ยอะไรเลย ให้พี่ถังรักษาให้ดีก่อนเถิด” ปัญญาชนคนหนึ่งดึงผู้ศึกษาเล่าเรียนที่เสียงดังโวยวายเอาไว้
แซ่ไล่จริงๆ อย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซีมองไปยังปัญญาชนผู้นั้น คิ้วสวยเลิกขึ้นเล็กน้อย โอ้ เคยเจอจริงๆ ด้วย
ที่ร้านขายหนังสือ นักศึกษาที่ถูกนางแนะนำผู้นั้น รอดพ้นภัยไปหนึ่งครั้งแล้ว ไยจึงมาขลุกอยู่กับคนไม่ดีพวกนี้อีกแล้วเล่า
เหนียนซิ่วไฉเองก็จำฉินหลิวซีได้ มีความยำเกรงต่อนางมาก อย่างไรครั้งที่แล้วเจอนางอยู่ในร้านหนังสือนางบอกว่าตู้ซิ่วไฉโชคไม่ดี ไม่ทันสองวันตู้ซิ่วไฉก็ไปเที่ยวทำคณิกาตาย ชีวิตจึงพลิกผลันถูกจับเข้าห้องขัง เดิมคืนนั้นเขาต้องไป แต่นึกคำของฉินหลิวซีขึ้นมาได้ เขาจึงปฏิเสธอย่างน่าเต็มใจนักทำให้รอดพ้นจากภัยในครั้งนี้
ดังนั้นช่วงระยะนี้เขาจึงบอกปัดต่องานที่เรียกว่างานเลี้ยงน้ำชาเหล่านั้นไปหลายครั้ง ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน วันนี้เทศกาลฉงหยาง เขาไม่อาจปฏิเสธได้ อีกทั้งยังมีอุปสรรคกับการเขียนบทความ ครั้งนี้จึงรับคำเชิญจากสหายร่วมสำนักศึกษาออกมาขึ้นเขาชื่นชมฤดูใบไม้ร่วง ไม่คิดว่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้
ยังได้เจอกับฉินหลิวซี ที่แท้อีกฝ่ายเป็นนักพรตในอารามชิงผิง มิน่าวันนั้นถึงได้เอ่ยเช่นนั้น
ฉินหลิวซีชี้ไปยังเหนียนซิ่วไฉ เอ่ย “เจ้าผู้นี้ การเรียนพอได้ สายตาการคบสหายกลับไม่เท่าไร คนอะไรกัน”
“เจ้าว่าอะไรนะ” ไล่ซิ่วไฉสะบัดมือเหนียนซิ่วไฉออก โมโหขึ้นมาทันใด
ฉินหลิวซีปรายตามองเขาเล็กน้อย เอ่ย “ว่าเจ้านั่นแหละ ความจริงความสามารถของเจ้าไม่สู้พวกเขา และไม่เท่าคนที่บาดเจ็บผู้นี้ด้วยกระมัง มีเวลามาเถียงกับข้า มิใช่อยากถ่วงเวลาการรักษาของเขาหรือ เขาจะได้เสียมือไป ก็จะไม่ได้สอบ”
“เจ้านักพรตบ้า”
“เจ้าผู้นี้ มองเห็นแก้มจากด้านหลัง[1] ริมฝีปากกว้างแหลม ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง เล่นสำบัดสำนวน ในใจริษยา เป็นสหายกับเจ้า ต้องคอยระแวดระวังไม่ให้ถูกเจ้าแทงจากข้างหลัง สายตาเจ้ากลับกลอก แววตาหลบเลี่ยง แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เจ้าแสดงออกกับสิ่งที่อยู่ในใจนั้นแตกต่าง อีกทั้งขมับเว้าลึกของเจ้า บ่งบอกว่าเจ้าหลายใจในความสัมพันธ์ เห็นใหม่ทิ้งเก่า อีกทั้งยังถนัดโกหกหลอกลวง สตรีทั้งหลายคงถูกเจ้าเอาอกเอาใจหัวหมุนกระมัง” ฉินหลิวซีลอบมองเขา
มีผู้เล่าเรียนศึกษาคนหนึ่งสีหน้าพลันเปลี่ยน ไล่ซิ่วไฉยังคิดอยากหมั้นหมายกับน้องสาวของเขานี่นา
ไล่ซิ่วไฉถูกวิจารณ์จนหน้าแดง ชี้หน้าฉินหลิวซีด่าทอเสียงดัง “เจ้า เจ้านักพรตบ้านี่ เจ้าเหลวไหล ข้าเป็นผู้เล่าเรียนศึกษา นักพรตอย่างเจ้าจะมาใส่ร้ายได้อย่างไร”
“ข้าใส่ร้ายเจ้าหรือ เจ้าว่าเจ้าเอ่ยมานานเพียงนี้ เห็นหรือไม่ว่าเขาเจ็บเจียนตายแล้ว” ฉินหลิวซีชี้ไปยังผู้เล่าเรียนศึกษาแซ่ถังผู้นั้น
ถังซิ่วไฉหน้าซีดขาว อิงตัวอยู่ในอ้อมแขนของเหนียนซิ่วไฉ เอ่ยร้องขอความช่วยเหลือเสียงเบา และแขนเสื้อข้างขวาของเขาถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสด
ชิงหย่วนจึงเอ่ย “ศิษย์พี่ปู้ฉิว ท่านรักษาก่อนเถิด อย่างไรก็บาดเจ็บอยู่หลังเขาอารามของเรา”
“เป็นเขาที่สมควรตาย ข้าไม่ช่วย เจ้าดูไม่ออกจริงหรือ” ฉินหลิวซีส่งเสียงหยัน
สมควรตายอะไรกัน
ทุกคนตกใจ คนที่ล้อมอยู่รอบๆ ชี้ไม้ชี้มือ
ถังซิ่วไฉสีหน้าไม่อยากเชื่อ
เหนียนซิ่วไฉกลับฟังความหมายบางอย่างออก ร่างกายแข็งทื่อ เขาซวยจริงๆ ไม่ใช่ว่าพี่ถังแอบทำเรื่องไร้ศีลธรรมใดหรือไม่
มีเพียงไล่ซิ่วไฉ จับคำของฉินหลิวซีนี้ รู้สึกว่าได้โอกาส เอ่ยเสียงดัง “ได้สิ เป็นถึงนักบวช ยังเห็นคนตายไม่ช่วย พวกเจ้ายังไหว้อารามเยี่ยงนี้ ยังมาขอพรกับเทพอย่างนี้ เห็นคนตายไม่ช่วย ขอพรไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร อารามชั่วซุกซ่อนความชั่วร้าย ทุกคนอย่าได้ไปหลงเชื่อ หลอกลวงทั้งนั้น”
[1] มองเห็นแก้มจากด้านหลัง เชื่อว่าเป็นคนเป็นประโยชน์แล้วลืมบุญคุณ เห็นแก่ตัว