คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 253 หากข้ายื่นมือเข้าไปยุ่งก็ต่อกรกับสวรรค์
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 253 หากข้ายื่นมือเข้าไปยุ่งก็ต่อกรกับสวรรค์
ตอนที่ 253 หากข้ายื่นมือเข้าไปยุ่งก็ต่อกรกับสวรรค์
เผชิญหน้ากับคำของฉินหลิวซี ซือเหลิ่งเย่ว์เองก็มีความรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา เพราะอะไรกันแน่ เพราะบรรพบุรุษตระกูลซือทำเรื่องชั่วร้าย ถึงได้มีผลเช่นนี้ใช่หรือไม่
ฉินหลิวซีเห็นนางเงียบไปก็ไม่ได้รบเร้า รับมนุษย์น้ำตาลที่เถ้าแก่ยื่นมาให้ มองดูเล็กน้อย จากนั้นยื่นแผ่นทองแดงให้ห้าแผ่น
“เกินแล้ว” ชายชรารับไปเพียงสามแผ่น ยื่นส่วนที่เหลือกลับคืนมา
“ทำออกมาได้เหมือนมาก คุ้มค่า” ฉินหลิวซีหมุนไม้มนุษย์น้ำตาลในมือ เอ่ย “ตอนท่านกลับบ้าน อย่าได้ใช้เส้นทางปกติ หากจำเป็นต้องใช้ อย่าได้ใช้ในปลายยามเซิน[1]”
ชายชราชะงัก
ฉินหลิวซีกลับถือมนุษย์น้ำตาลเดินจากไป
ชายชราส่ายศีรษะ คิดเพียงว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กมาหยอกล้อเขา
ซือเหลิ่งเย่ว์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เอ่ยถาม “ชายชราผู้นั้นทำไมหรือเจ้าคะ ท่านถึงได้เตือนอย่างนี้”
ฉินหลิวซีเลียมนุษย์น้ำตาล เอ่ย “หน้าผากเจอแสงสีแดง มีภัยเลือดตกยางออกอาจถึงชีวิต”
“เช่นนั้นไยท่านจึงไม่เอ่ยให้ชัดเจน”
ฉินหลิวซีหันกลับไปมองนาง เอ่ย “คนมีชะตาที่ถูกกำหนด จะหลีกเลี่ยงได้หรือไม่ต้องดูดวงชะตา ข้าเตือนแล้ว โชคชะตาของเขาจะเป็นเช่นไรนั่นต้องดูชะตากรรมของเขา หากเราได้รับภัยนี้ นั่นคือโชคชะตาของเขา”
ซือเหลิ่งเย่ว์เงียบไป
“นี่ก็คือผู้คนล้วนอยู่ภายใต้อำนาจ หากเข้าไปยุ่งทุกเรื่อง ไหนเลยจะทำได้ สวรรค์ไม่มีทางยอมแน่” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเฉยเมย เอ่ยต่อ “อาณาประชาราษฎร์ในใต้หล้านี้ ต้องเป็นไปตามโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิต”
ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาในใจ
“แน่นอน หากยื่นมือเข้าไปยุ่ง ใช่ว่าจะไม่มีการสะท้อนกลับ” ฉินหลิวซีกัดเสียงดังกร๊อบ กัดมือของมนุษย์น้ำตาล เอ่ย “หากข้ายื่นมือเข้าไปยุ่ง ก็เหมือนต่อกรกับสววรค์ ขัดแย้งกับสวรรค์”
ซือเหลิ่งเย่ว์ชะงัก นางมองมนุษย์น้ำตาลในมืออีกฝ่าย เอ่ยว่า “ท่านกินมือของตนเอง”
ฉินหลิวซี “…”
พวกนางไม่ใช่กำลังพูดคุยเรื่องจริงจังกันอยู่หรือ
ทั้งสองเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลซือ พลันได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมาถี่ๆ ยังตามมาด้วยเสียงด่าอย่างถือดี “ไสหัวไป”
ซือเหลิ่งเย่ว์ตาแหลมคม มีคนขวบม้าเข้ามาก่อนจะสะบัดแส้ ลูกกลมลูกหนึ่งกลิ้งออกมา นางตกใจทันใด ลอยไปทางนั้นโดยไม่คิดแม้เพียงนิด
เป็นเช่นนั้น ในตอนที่ลูกกลมร่วงลง เด็กหญิงอายุเพียงสามสี่ขวบก็วิ่งเตาะแตะออกมา
เสียงดังของกีบม้าไล่คนให้ถอยห่าง ม้าปะทะเข้ากับลูกกลม เด็กหญิงถูกแส้ม้าสะบัดเข้าหา ตวัดม้วนตัวลอยกระเด็นอยู่กลางอากาศ
ผู้คนร้องตกใจ
เด็กคนนี้แย่แล้ว
“เยี่ยนเอ๋อร์” เสียงกรีดร้องของสตรีในชุดกระโปรงผ้าหยาบดังขึ้นดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
ภาพปาฏิหาริย์ปรากฏขึ้นแล้ว เด็กหญิงผู้นั้นที่ควรร่วงหล่นลงมาราวกับมีพลังงานไร้รูปร่างบางอย่างรองรับเอาไว้ หยุดอยู่ห่างจากพื้นสามชุ่น จากนั้นร่วงลงไปช้าๆ อย่างมั่นคง
คนอื่นมองไม่เห็น ฉินหลิวซีกลับมองเห็นแล้ว เป็นซือเหลิ่งเย่ว์ที่ลอยเข้าไปเป็นพรมร่างมนุษย์อุ้มนางเอาไว้
ฉินหลิวซีมองไปยังลูกหลานชนชั้นสูงที่ทำความผิดมหันต์ไม่พอ ปากยังต่อว่าด่าทอชาวบ้านสมควรตายที่มาขวางทางเขา ท่าทางเย่อหยิ่งโอหังควบม้าผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะ
อ้อ โอหังยิ่งกว่านางเสียอีก ไม่ได้การละ ต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งสักหน่อย
ฉินหลิวซีจรดปลายนิ้วนางและหัวแม่มือเข้าหากันก่อนจะดีดเบาๆ พลังงานสีเทาลอยไปยังลูกหลานชนชั้นสูงผู้นั้น
เพียงเวลาไม่นาน ม้าที่ลูกหลานขุนนางผู้นั้นนั่งก็เกิดบ้าคลั่งขึ้นมา ลูกหลานชนชั้นสูงถูกสะบัดร่วงลงมาจากหลังม้า ม้ากระทืบเหยียบเขาเสียงดังกร๊อบ กระดูกหักแล้ว
ลูกหลานชนชั้นสูงผู้นั้นร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวดตั้งแต่ต้นซอยไปจนถึงท้ายซอย
ฉินหลิวซีกลับไม่สนใจ เดินเข้าไปหาแม่นางน้อยที่ชื่อเยี่ยนเอ๋อร์ผู้นั้น
เด็กหญิงถูกผู้เป็นมารดากอดเอาไว้ในอ้อมอก ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ น้ำตาหลั่งรินไม่หยุด “เยี่ยนเอ๋อร์ ลูกแม่ จะทำอย่างไรดี”
ผู้คนรุมล้อมเข้ามา
เด็กหญิงเหม่อลอยเพราะความตกใจ
“รีบพาไปหาหมอเถิด สวรรค์ ไยจึงฟาดเข้าที่ลำคอและใบหน้า นี่เสียโฉมแล้วชัดๆ เด็กสาวก็อยู่ดีๆ แท้ๆ”
ฉินหลิวซีเดินเข้ามาใกล้ จึงเห็นว่าลำคอจนถึงปลายคางขึ้นมาบนแก้มนั้นมีเลือดอยู่ มองเห็นบาดแผลไม่ชัด ดวงตาจมลึกลง
“โชคร้ายจริงๆ คุณชายเก้าตระกูลถูนั่น ได้ยินว่าแส้ม้าของเขาถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษ มีตะขอ เพื่อให้ม้าวิ่งเร็วขึ้น” คนที่พอรู้เรื่องเอ่ยขึ้น
“เฮ้อ มีชีวิตรอดมาได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว บางคนถูกม้าของเขาเหยียบตายก็มี ใช้เงินเพียงไม่กี่ตำลึงกระทั่งเงินตำลึงเงินเพียงเล็กน้อยก็จัดการเรื่องให้จบได้” ในสายตาของคนมีอำนาจ ชาวบ้านยากจนก็เป็นดั่งมดปลวก ชีวิตไม่ได้มีค่าคู่ควรกับเงิน
ซือเหลิ่งเย่ว์ยืนอยู่ข้างฉินหลิวซีอธิบายให้นางฟังเสียงเข้ม “เมื่อเทียบกับคนเสเพลตระกูลสื่อนั่น คุณชายเก้าตระกูลถูผู้นี้อันธพาลมากกว่า เรื่องไม่ชั่วไม่ทำ เขาควบม้าเหยียบชาวบ้านตายบนท้องถนนมิใช่เพียงครั้งเดียว ทุกครั้งใช้เงินจ่ายไปก็จบแล้ว ชาวบ้านจะทำอันใดได้ ไหนเลยจะกล้าต่อกรกับผู้มีอำนาจ”
ฉินหลิวซีไม่เอ่ยสิ่งใดเพียงแหวกผู้คนออก ย่อตัวลงไป นิ้วมือนวดคลึงจุดลมปราณกุ่ยซินให้เด็กน้อยที่ตกใจจนเหม่อลอยเบาๆ อีกทั้งยังนวดมือของนางไปมา เด็กหญิงจึงได้สติกลับคืนมา ร้องไห้เสียงดัง
“ท่านแม่ ใบหน้าข้าเจ็บมาก” เยี่ยนเอ๋อร์ร้องไห้เสียงดัง มือข้างหนึ่งอยากยกขึ้นมาจับใบหน้า
สตรีผู้นั้นรู้สึกราวกับฟ้าถล่มลงมา ทำอะไรไม่ถูก
“อย่าจับ ข้ารับรองว่าเจ้าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม” ฉินหลิวซีจับมือของนางเอาไว้ หยิบขวดหยกออกมาจากหน้าอกเสื้อ เทลูกอมออกมาหนึ่งเม็ดป้อนเข้าปากนาง “ไม่ต้องกลัวนะ”
เยี่ยนเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงเม็ดหวานๆ ที่มีกลิ่นยาเข้ามาในปาก เงยหน้ามองฉินหลิวซี สะอื้นไห้
“ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะเมืองชิงโจวอยู่ที่ใด” ฉินหลิวซีเอ่ยถามโนเวลพีดีเอฟ
“ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะหรือ อยู่ที่ถนนจูเชวี่ยของจั่งซิ่นฟัง” มีคนเอ่ยตอบ “ไม่ไกลมาก เดินผ่านถนนสองเส้นก็ถึงแล้ว”
ฉินหลิวซีลุกขึ้น “เช่นนั้นพวกเราไปร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ ข้าจะรักษาใบหน้าเจ้าให้หาย”
สตรีผู้นั้นมองนาง ท่าทางลังเลใจ
“คุณชายน้อย ยาของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะนั้นแพงนัก พวกนางไม่มีเงินมากมายไปรักษาหรอก” มีคนเอ่ยขึ้น
สตรีผู้นั้นเช็ดน้ำตาอีกครั้ง
ชาวบ้านทั่วไปก็เช่นนี้ ยาที่ดีขึ้นมาสักหน่อยก็ไม่มีเงินไปซื้อรักษา ทำได้เพียงรอความตาย
“ขอเพียงไป ก็จะรักษาได้ ไปเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ย
นางเดินไปข้างหน้า สตรีผู้นั้นกัดฟันเดินตาม หากรักษาได้จริงๆ ต่อให้ต้องทุบหม้อข้าวนางก็จะรักษาเยี่ยนเอ๋อร์
ฉินหลิวซีเดินพร้อมเอ่ยถามซือเหลิ่งเย่ว์ไปพลาง “คนแซ่ถูนั้นมีที่มาอย่างไร”
“ปู่ของเขาเป็นเจ้ากรมพระราชยานหลวง พี่ชายเชื้อสายหลักของเขาคุณชายถูสามแต่งกับคุณหนูตระกูลเหมิงผู้ดีใหม่ในเมืองหลวง” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยเสียงเย็น “ยามนี้เหมิงกุ้ยเฟยจากตระกูลเหมิงให้กำเนิดพระโอรส กำลังเป็นที่โปรดปราน แม้แต่คุณหนูตระกูลเหมิงเองก็ยังยโสโอหังตามไปด้วย น้ำขึ้นเรือย่อมสูง[2] ได้ข่าวว่าตระกูลถูในตอนนี้มีคุณหนูเหมิงเป็นผู้ดูแล อำนาจนั้นเพียงพอแล้ว น่าเสียดายความรู้น้อย ตระกูลถูยามนี้จึงเป็นครอบครัวแสนวุ่นวายไร้ระเบียบกฎเกณฑ์”
การเกี่ยวดองกับตระกูลเหมิง ก็ยิ่งง่ายแล้ว
ฉินหลิวซีเหลือบมองนางเล็กน้อย “เจ้าช่างรู้สถานการณ์ของคนมีอำนาจพวกนี้ดีนัก”
ซือเหลิ่งเย่ว์ “ข้าเป็นผู้นำตระกูลซือ งานนอกบ้านในบ้านของตระกูลซือล้วนเป็นข้าที่จัดการ และตระกูลซือก็มีกิจการไม่น้อย แน่นอนว่ามีเส้นทางข่าว มิเช่นนั้น ข้าเกรงว่าแม้แต่อายุสิบหกปีข้าก็อาจมีชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว”
มารดาจากไปเร็ว บิดาอ่อนแอดุจซาลาเปานุ่ม นางไม่แข็งแกร่ง ไม่ฉลาด สองพ่อลูกคงถูกกลืนกินไปตั้งนานแล้ว
แต่อย่ามองว่านางแข็งแกร่งมีความสามารถ คนนอกความจริงต่างดูว่านางจะตายเมื่อใด อย่างไรสตรีตระกูลซือก็ไม่เคยมีใครอายุมากกว่ายี่สิบห้าปี
เกรงว่านางเองก็คงไม่ต่าง
[1] ยามเซิน ช่วงเวลา 15:00-17:00 น.
[2] น้ำขึ้นเรือย่อมสูง เมื่อสถานที่อิงนั้นดีขึ้น สถานการณ์หรือเหตุการณ์ของตนย่อมดีไปด้วย