คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 320 ศิษย์ทรยศหากสามวันไม่แกล้งเสียบ้าง ก็คงซนจนไป
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 320 ศิษย์ทรยศหากสามวันไม่แกล้งเสียบ้าง ก็คงซนจนไป
ตอนที่ 320 ศิษย์ทรยศหากสามวันไม่แกล้งเสียบ้าง ก็คงซนจนไปรื้อกระเบื้องบนหลังคา
เดิมทีเหล่าโฉววางแผนไว้ว่าเมื่อส่งฉินหลิวซีถึงอารามเต๋าแล้วก็จะกลับไปรายงานทางด้านอวี๋ชิวไฉ แต่คิดไม่ถึงว่าฉินหลิวซีจะเรียกเขาไว้จึงได้เดินมาหา
“ท่านอาจารย์มีอะไรจะกำชับหรือขอรับ”
ฉินหลิวซีมองไปยังแขนเสื้อที่ว่างเปล่าของเขา เอ่ย “เจ้าปกป้องข้าตลอดการเดินทาง อย่างไรเสียข้าก็ต้องตอบแทนเจ้า แขนของเจ้าอยากต่อกลับคืนหรือไม่”
เหล่าโฉวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เลือดทั้งร่างกายสูบฉีดไปที่ศีรษะ เอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “ต่อ ต่อกลับคืนหรือขอรับ”
หรือว่าอาจารย์ต้องการใช้มนต์คาถาต่อแขนที่ขาดของเขา เสวียนเหมินมีมนต์คาถามวิเศษเช่นนี้เลยหรือ
ปลายแขนของเขานั้นกลายเป็นขี้เถ้าไปนานแล้ว
ฉินหลิวซีมองออกในทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร ยิ้มพลางเอ่ย “แขนของเจ้าถูกตัดขาดไปหลายปีแล้ว ถึงแม้จะใช้ยาวิเศษฟื้นคืนชีพก็ไม่สามารถทำให้ปลายแขนงอกออกมาได้ ข้าก็ไม่ได้มีคาถาวิเศษเช่นนั้น เจ้าคิดมากไปแล้ว”
เหล่าโฉวอุทานด้วยความเข้าใจผิด ใบหน้าเริ่มร้อนเล็กน้อย ถามด้วยความเขินอายว่า “เช่นนั้นคืออะไรหรือขอรับ”
“เป็นการทำแขนเทียมมาต่อ เพียงแค่เจ้าฝึกฝนมันอย่างเหมาะสม ก็จะสามารถใช้มันได้อย่างอิสระเหมือนกับแขนจริงๆ” ฉินหลิวซีกล่าว
เมื่อเถิงเทียนฮั่นและหวังเจิ้งได้ยินสิ่งนี้ต่างก็หันมามองพลางเงี่ยหูฟัง
“แขนเทียมหรือขอรับ” เหล่าโฉวตกตะลึง
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ก็คือแขนปลอม”
เหล่าโฉวก้มลงมองแขนเสื้อที่ว่างเปล่า เงยหน้าพลางเอ่ย “ได้หรือขอรับ”
“หากเจ้าต้องการก็ทำได้”
“ข้าต้องการขอรับ” เหล่าโฉวคุกเข่าลงหนึ่งข้าง “ขอท่านอาจารย์โปรดทำให้ข้าด้วยขอรับ”
“ได้ เจ้าเข้ามา ข้าจะจับชีพจรเจ้า ดูมือของเจ้าว่าจะต้องตัดสินใจอย่างไร”
เหล่าโฉวรีบตามไป ยื่นมือไปช่วยพยุงนาง เอ่ยกับอู๋เหวยว่า “ท่านนักพรต ข้าจะพยุงท่านอาจารย์เองขอรับ”
อู๋เหวย “…” โนเวลพีดีเอฟ
รู้จักประจบเสียจริง!
ชื่อหยวนละสายตา เอ่ยกับเถิงเทียนฮั่นว่า “คงจะเหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนานนี้ นี่ก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ไปพักผ่อนและกินอาหารมังสวิรัติที่ลานเต๋าก่อนเถิด ชิงหย่วน จัดเตรียมให้พวกเขาพักผ่อน แล้วค่อยไปนำอาหารมังสวิรัติมา”
“ขอรับ”
เถิงเทียนฮั่นกล่าวกับเถิงเจาว่า “เจาเอ๋อร์ เจ้าไปทานอาหารมังสวิรัติกับบิดาเถิด”
เถิงเจามองไปยังฉินหลิวซี นางลูบหัวของเขาแล้วกล่าวว่า “ไปเถิด”
เถิงเทียนฮั่นเห็นดังนั้นก็อดน้อยใจไม่ได้ บุตรชายไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไปแล้วจริงๆ
…
ฉินหลิวซีดูแขนที่ถูกตัดขาดของเหล่าโฉว ในใจรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร ให้เขากลับไปรายงานทางด้านอวี๋ชิวไฉก่อน หากนางทำแขนเทียมเสร็จแล้วจะส่งคนไปแจ้งแก่เขา
เหล่าโฉวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หลังจากคารวะขอบคุณอย่างเป็นทางการแล้วจึงจากไป
ฉินหลิวซีจึงได้พาวั่งชวนไปกินอาหารมังสวิรัติ เมื่อจัดการให้นางเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ลากขาที่เจ็บอยู่ไปยังห้องเต๋าของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับวั่งชวน ถึงได้ทำให้เจ้าพานางกลับมาโดยไม่สนใจห้าโทษสามวิบัติ”
ฉินหลิวซีนั่งลง เล่าชีวิตของวั่งชวนให้ฟังอย่างคร่าวๆ
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนถอนหายใจ “ในเมื่อเจ้าได้เปลี่ยนชะตาชีวิตของนางในเรื่องความเป็นความตายแล้ว เมื่อพามาไว้ข้างกายก็ต้องอบรมสั่งสอนให้ดี เจ้าจำไว้ว่าเจ้าฝืนช่วยชีวิตคนผู้นี้กลับมา หากในภายภาคหน้านางทำเรื่องชั่วร้าย เช่นนั้นกรรมก็ย่อมตกอยู่ที่เจ้าด้วย”
“ข้ารู้”
การแย่งคนมาจากยมบาลนั้นเทียบเท่ากับการเข้าไปแทรกแซงการเวียนว่ายตายเกิด หากคนผู้นี้ทำความดี ช่วยไว้ก็ไม่เป็นไร แต่หากนางทำร้ายผู้อื่น เช่นนั้นฉินหลิวซีที่เป็นคนช่วยนางก็จะต้องรับผลกรรมนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่ก็เป็นข้อห้ามของลัทธิเต๋าเช่นกัน เพราะการช่วยชีวิตคนหนึ่งคน แต่กลับทำร้ายคนนับพันถือเป็นผลกรรมใหญ่หลวง ใช่ว่าทุกคนจะแบกรับได้
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนรู้ว่าแม้นางจะทำผิดข้อห้าม แต่เมื่อเป็นเรื่องใหญ่นางก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไรจึงไม่ได้เอ่ยอะไรมาก เพียงแต่กล่าวว่า “เจ้ารับศิษย์ตอนที่อายุเท่านี้ก็ไม่ควรละเลยการฝึกบำเพ็ญ วันเดียวก็ไม่ได้ อย่าคิดว่าเมื่อมีลูกศิษย์แล้วจะมีชีวิตยามแก่อย่างสบายใจ เจ้าอย่าได้ฝันเช่นนั้น”
นี่ไม่ใช่คำกล่าวที่ว่าอาจารย์เป็นอย่างไรศิษย์ก็เป็นอย่างนั้นหรือ ดูนักพรตเฒ่าชื่อหยวนสิ มองออกถึงแผนการของฉินหลิวซีในทันที
ฉินหลิวซีจ้องมอง “ท่านคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนหัวเราะ ‘หึๆ’ ในลำคอ สายตาราวกับบอกว่า ‘เลิกแสดงได้แล้ว ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ’
ฉินหลิวซีเบ้ปาก หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากเอวแล้วโยนออกไป “ดูสิ”
“นี่คืออะไร” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเหลือบมองสิ่งที่ปิดผนึกด้วยยันต์กระดาษ เมื่อยื่นมือออกไป สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที เงยหน้าขึ้นมองฉินหลิวซี เขาไม่ได้หยิบไป แต่กลับไปจับชีพจรของนาง
“ชีพจรอ่อนแรง พลังชี่[1]แต่กำเนิดเสียหาย” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนสีหน้ามืดครึ้ม “เจ้าได้รับบาดเจ็บแล้ว?”
ฉินหลิวซีดึงมือกลับ ไม่ได้สนใจแม้แต่นิด “ไม่ทันได้สังเกตจึงโดนเล่นงาน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร รักษาก็หายแล้ว”
“พลังชี่แต่กำเนิดเสียหายเช่นนี้ยังบอกว่าไม่เป็นไรหรือ” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนจ้องมองนาง จากนั้นก็มองไปยังของสิ่งนั้นที่อยู่บนโต๊ะ “เป็นเพราะสิ่งนี้หรือ”
ทันทีที่มือของเขาเข้าไปใกล้ก็รู้สึกถึงพลังชั่วร้ายของสิ่งนี้
เขาท่องบทสวดเทพจินกวง[2] มือขวาร่ายคาถาแล้วหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาอย่างใจเย็น เปิดกระดาษยันต์ที่ห่อไว้ออกทีละชั้น เผยให้เห็นกระดูกนิ้วสีขาว เขาหายใจไม่ออกเล็กน้อย
“หรือว่านี่คืออัฐิพุทธะ” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนขมวดคิ้ว
ในกระดูกนี้มีพลังพุทธานุภาพอันล้ำลึกซ่อนอยู่ ตามหลักแล้ว หากเป็นอัฐิของพระภิกษุผู้รู้แจ้ง เมื่อถือไว้ก็จะรู้สึกเพียงความสงบเท่านั้น แต่กระดูกพุทธะนี้แตกต่าง ทำให้คนจิตใจไม่สงบ ราวกับถูกสะกด
“นี่อาจเป็นกระดูกพุทธะของมารเอ้อฝูซื่อหลัว”
ตุ้บ
มือของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนสั่นระริก กระดูกพุทธะตกลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง
“ดูท่านตื่นตระหนกเข้าสิ คงจะแก่แล้วกระมัง” ฉินหลิวซีอุทานด้วยความเวทนา หยิบกระดูกขึ้นมาเล่นในมือ
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนจ้องนางด้วยความไม่พอใจ ถามว่า “กระดูกพุทธะของมารเอ้อฝูซื่อหลัว เจ้าแน่ใจหรือ”
“ข้าไปที่วัดอวิ๋นหลิงเพื่อสอบถามกับอาจารย์สืออวิ๋นผู้นั้นโดยเฉพาะ เข้าไปที่หอเก็บพระคัมภีร์ พบม้วนคัมภีร์ม้วนหนึ่งบันทึกว่าเมื่อห้าพันปีก่อนร่างซื่อหลัวอ่อนแอลงและถูกจับกุมวิญญาณไว้ กระดูกพุทธะถูกแบ่งออกเป็นเก้าส่วน โดยมีเก้าวัดพุทธใหญ่ควบคุมดูแล” ฉินหลิวซีเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ตรวจพบจากวัดอวิ๋นหลิง จากนั้นก็เคาะกระดูกพุทธะบนโต๊ะ เอ่ยต่อว่า “ตอนนี้นอกจากวัดพุทธใหญ่สามแห่งที่ควบคุมดูแลอยู่ สมมุติว่าหากชิ้นนี้เป็นของจริง เช่นนั้นก็ยังเหลืออีกห้าชิ้นที่ยังหาไม่พบ ข้าคิดว่าซื่อหลัวคงกำลังตามหาอยู่ และเขาจะต้องหาเจอก่อนพวกเราอย่างแน่นอน”
เพราะเดิมทีนี่ก็เป็นกระดูกของเขา ตราบใดที่การฝึกบำเพ็ญของเขาค่อยๆ ฟื้นตัว ก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงส่วนที่เหลือและหาจนเจอได้
และเมื่อเขาเจอครบหมดแล้ว เหอะๆ สนุกแน่!
สีหน้าของนักพรตเฒ่าชื่อหยวนดูย่ำแย่ เอ่ย “อาจารย์รู้ว่าการที่ซื่อหลัวหนีออกมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คิดว่าเขาคงรอโอกาสนี้มานานแล้ว”
ฉินหลิวซีไม่ได้แสดงความคิดเห็น
“ตอนนี้ไม่รู้ว่าซื่อหลัวซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เมื่อระดับการฝึกบำเพ็ญของเขาเพิ่มขึ้นมาก และสร้างร่างกายที่แท้จริงของเขาขึ้นมาใหม่ด้วยกระดูกพุทธะ เช่นนั้นทุกคนในใต้หล้าต้องประสบกับหายนะอย่างแน่นอน แม่หนู เจ้าไม่ควรทำเฉย”
ฉินหลิวซีจ้องมอง “ทำไมหรือ ตาเฒ่าอย่างท่านกลัวว่าข้าจะปล่อยให้ท่านตายเพื่อที่จะได้สืบทอดอารามเต๋าต่อ จึงได้รีบผลักไสให้ข้าไปตายโดยให้ข้าไปต่อสู้กับเขาหรือ”
“ไม่ต้องเสแสร้ง หากเจ้าต้องการสืบทอด ข้าก็จะลาออกเดี๋ยวนี้ มา ข้าจะมอบตราประทับเต๋าแก่เจ้า” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนทำท่าจะไปเอาตราประทับ
ศิษย์ทรยศหากสามวันไม่แกล้งเสียบ้าง ก็คงซนจนขึ้นไปรื้อกระเบื้องบนหลังคา
ฉินหลิวซีรีบจับมือของเขาไว้ ยิ้มพลางเอ่ยประจบ “ท่านดูท่านสิ ข้าเพียงล้อท่านเล่นเอง ทำเอาท่านร้อนใจแล้ว!”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนหัวเราะ ‘หึๆ’ ในลำคอ “เจ้าวางใจเถิด เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ ไม่เพียงแต่เจ้า ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าในใต้หล้านี้จะร่วมด้วย มิเช่นนั้นใต้หล้านี้จะต้องถูกทำลายล้างกลายเป็นนรกบนดินแน่”
“ข้ารู้”
“แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรกับสิ่งนี้” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนถามพลางชี้ไปยังกระดูกพุทธะ
ฉินหลิวซีแววตาลุ่มลึก ใช้ปลายนิ้วเขี่ยกระดูกพุทธะเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงห่างเหิน “แน่นอนว่าจะใช้งานอนุภาพของมันอย่างยอดเยี่ยม”
[1] พลังชี่ กระแสพลังสายหนึ่ง ซึ่งไหลเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวเรา มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็นพลังที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสถึงได้
[2] บทสวดเทพจินกวง หนึ่งในแปดบทสวดมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ในพระสูตรของลัทธิเต๋า