คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 350 สุนัขบ้านใครไม่ผูกเอาไว้
ตอนที่ 350 สุนัขบ้านใครไม่ผูกเอาไว้
จู่ๆ ก็ถูกรบกวน ใบหน้าของซือเหลิ่งเย่ว์เยือกเย็นลง มองสาวน้อยอรชรที่หน้าประตู ใบหน้าเคร่งขรึม ทว่าไม่มีความเคลื่อนไหวแม้เพียงนิด เพียงมองไปยังฉินหลิวซี สายตาแสดงความเสียใจ
แม้พวกนางจะมาเจอกันระหว่างทาง แต่เอ่ยตกลงกันไว้แล้วว่าอาหารมื้อนี้นางจะเป็นคนเลี้ยง เช่นนั้นฉินหลิวซีก็คือแขกของนาง นางต้องดูแลให้ดี เมื่อถูกคนรบกวน เป็นใครก็ย่อมไม่พอใจ
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางเลี้ยงข้าวฉินหลิวซีอย่างจริงจัง
ฉินหลิวซีส่งสายตามาปลอบโยน ไม่ต้องรู้สึกผิด นางไม่ได้ใส่ใจ
หญิงสาวในชุดสีชมพูอ่อนหน้าประตูมองคนเหล่านั้นไม่ขยับไหว จึงโกรธจนหน้าแดง เสียงแหลมเอ่ย “สิ่งที่ข้าบอก พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือ”
วั่งชวนตกใจกับเสียงแหลมนั้น จนมุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของฉินหลิวซี
พี่สาวผู้นี้น่ากลัวมาก
ฉินหลิวซีเห็นเช่นนั้น ใบหน้าเย็นยะเยือกขึ้น ดวงตาคู่นั้นแหลมคมราวกับคมมีดมองไปยังเด็กสาวผู้นั้น “เจ้าทำให้คนของข้าตกใจแล้ว”
เด็กสาวถูกสายตาคมของนางมองมา แผ่นหลังเย็นวาบ ตกใจจนก้าวถอยหลังไปสองก้าว ใบหน้าเล็กซีดขาว
ยามนี้ซือเหลิ่งเย่ว์ลุกขึ้นมาแล้ว เอ่ยเสียงเย็น “ออกไป”
แม้อายุยังน้อย ทว่าทำการค้ากับมารดามาตั้งแต่ยังเด็ก ต่อมายังต้องรับผิดชอบตัวคนเดียว แม้จะมีคำสาปติดตัว แต่เพราะสายเลือด ก็ยังติดต่อทำการค้ากับผู้คนมานานหลายปี มีความน่าเกรงขามอยู่ในตัว
เพียงสองคำ ก็ทำให้ใบหน้าของเด็กสาวผู้นั้นซีดขาวลงไปอีกหลายส่วน
นี่เป็นใครกัน แต่ละคนน่ากลัวทั้งนั้น ไม่สิ คนผู้นั้นที่ดูไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายน่ากลัวยิ่งกว่า สายตาคมประดุจคมมีดอย่างไรอย่างนั้น
ซือเหลิ่งเย่ว์ไม่มองนางแล้ว ทว่ามองไปยังผู้จัดการที่เข้ามายืนเหงื่อตกอยู่ด้านใน เอ่ยเสียงเข้ม “ภัตตาคารของท่านขึ้นชื่อว่าไม่มีการแบ่งแยกน้อยใหญ่ ดูแลแขกเช่นนี้หรือ ข้าไม่รู้เลยว่าห้องส่วนตัวที่แขกนั่งแล้ว อาหารก็สั่งแล้ว ยังปล่อยให้คนบุกเข้ามาไล่ได้ หอจุ้ยเซียนหรือ เหอะ ก็เท่านั้น”
ฉินหลิวซีลูบหลังวั่งชวนปลอบโยนเบาๆ ไม่เอ่ยสิ่งใด
ผู้จัดการหัวเราะแกนๆ เอ่ย “แม่นางอย่าเพิ่งโกรธ เป็นร้านของเราที่ดูแลไม่รอบคอบเองขอรับ ทำให้แม่นางต้องตกใจแล้ว รายการอาหารของแม่นางนี้ ข้าน้อยจะลดราคาให้หนึ่งส่วนนะขอรับ” หันกลับไปเอ่ยกับเด็กสาวชุดสีชมพูอ่อน “คุณหนูติง ห้องลั่วเฟิงเองก็มีทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน ท่านจะย้ายไปฝั่งนั้นหรือไม่ขอรับ”
“ตระกูลติงของเรามาครั้งใดไหนเลยจะไม่ใช่ห้องห้องนี้หรือ” เด็กสาวชุดสีชมพูเอ่ย “เช่นนี้ ให้พวกนางเปลี่ยนห้องกับข้า ข้าจะช่วยจ่ายค่าอาหารให้พวกนางเอง เช่นนี้ก็ได้แล้วกระมัง”
เด็กสาวชุดสีชมพูกวาดตามองทั้งสองคนด้วยสายตาดูถูกอีกทั้งยังโอหัง
ฉินหลิวซีที่ไม่ได้กลับมาหนึ่งคืน แม้จะใช้แผ่นยันต์ชำระร่างกายให้สะอาด ทว่าชุดบนร่างกายนั้นสวมมาสองวันแล้ว ยับเยินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดูไม่ได้สูงส่งแต่อย่างใด ทว่าซือเหลิ่งเย่ว์ อยู่ในชุดสีฟ้าน้ำแข็ง บนกระโปรงปักลายต้นไห่ถังประณีต รวมทั้งลายผีเสื้อที่ราวกับมีชีวิต ยามย่างกรายส่วนบางพริ้วไหวดุจเทพเซียนกำลังล่องลอย
นอกจากนี้ นางงดงามทว่าดูเย็นชา เครื่องประดับบนศีรษะมีไม่มาก มีเพียงปิ่นหยกสีม่วงหนึ่งชิ้นเท่านั้น ต่างหูที่คล้ายกัน ทว่ามีไอเย็นชาแผ่ไปทั่วกาย ทำให้คนยากที่จะเมินเฉย
เด็กสาวชุดสีชมพูเองก็ไม่ได้แย่ แต่เมื่อเทียบกับนางแล้ว กลับดูคล้ายดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้นางริษยายิ่งนัก
ฉินหลิวซีได้ยินนางเอ่ยถึงตระกูลของนางเอง ปรายตาเล็กน้อย ที่แท้เป็นคนตระกูลติง แม่นางตระกูลติงนี้ช่างมี ‘ความสามารถ’ นัก
ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้มเย็น “ช่างเป็นวาจาโอหังยิ่งนัก เข้ามายังหอจุ้ยเซียนแห่งนี้แล้ว ผู้ใดบ้างจะจ่ายค่าอาหารมิได้” โนเวลพีดีเอฟ
ใครไม่รู้บ้างว่าหอจุ้ยเซียนขึ้นชื่อเรื่องราคาแพง
“เจ้า!”
ผู้จัดการร้านปวดหัวขึ้นมา คุณหนูติงขึ้นชื่อเรื่องดื้อรั้นเอาแต่ใจ เป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองหลี แม้จะไม่ใช่ชื่อเสียงในทางที่ดี เพียงแต่นางเป็นบุตรีของจวนเจ้าเมืองติง ยังเป็นลูกสาวคนเล็ก เป็นที่รักทะนุถนอม ดังนั้นคนที่บรรดาศักดิ์ไม่อาจเทียบเท่าตระกูลติง เลี่ยงได้ก็เลี่ยง
แต่ไม่คิดว่าคนแปลกหน้าผู้นี้ อ้อ ก็ไม่ได้แปลกหน้า หลายวันก่อนนางก็ปรากฏตัวอยู่ที่ร้านปักเย็บฝั่งตรงข้าม ได้ยินว่าเป็นเจ้าของใหม่ของร้านปักเย็บ เช่นนั้นก็คือคนค้าขาย ดูความน่าเกรงขามนางก็มีไม่น้อย ไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร ไม่ควรล่วงเกินสุ่มสี่สุ่มห้า
“น้องฟัง”
ได้ยินเสียงเรียกนี้ เด็กสาวชุดสีชมพูราวกับเจอตัวช่วย เอ่ย “พี่สาวท่านมาพอดีเลย ห้องส่วนตัวที่เราชอบนั่งถูกคนเอาไปแล้ว ข้าบอกจะช่วยพวกเขาจ่ายค่าอาหารก็ไม่ยอมเปลี่ยน ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”
ติงซู่ม่านขมวดคิ้ว เดินมาดูที่หน้าประตู สบเข้ากับสายตาของฉินหลิวซี ชะงักไปทันใด หัวใจเต้นแรงขึ้นมา
คนแซ่ฉิน แขกคนสำคัญของรุ่ยจวิ้นอ๋อง
ฉินหลิวซีเพียงปรายตามองนางเล็กน้อย เอ่ยกับซือเหลิ่งเย่ว์ “ก่อนข้ามาได้คำนวณเอาไว้ ว่าจะได้เจอสุนัขขวางทาง เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่รู้ว่าสุนัขตระกูลใดมิได้ผูกเอาไว้ ออกมาเห่าไปทั่ว”
ทุกคน “…”
ดวงตาของซือเหลิ่งเย่ว์เต็มไปด้วยรอยยิ้มขบขัน
สตรีชุดสีชมพูโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว แทบพุ่งเข้าหา “เจ้าด่าผู้ใดเป็นสุนัข”
ฉินหลิวซีเหลือบตามองไป หัวเราะหึ “แน่นอนว่าข้าต้องด่าสุนัขบ้าที่มาขวางทางข้าที่ปากซอยเมื่อครู่น่ะสิ แม่นางคิดว่าข้าด่าผู้ใดหรือ”
“เจ้า เจ้า!”
สตรีชุดสีชมพูกระบอกตาแดงก่ำ เห็นชัดๆ ว่าคนผู้นี้กำลังด่านาง แต่ก็ไม่มีสักคำที่กำลังด่านาง
ติงซู่ม่านรู้สึกไม่พอใจอยู่ในใจ โชคดีที่คนของตนก็มาแล้ว จึงหันกลับไป “พี่ใหญ่ ห้องส่วนตัวลั่วซวงนี้ถูกคนจองแล้ว”
พวกฉินหลิวซีมองไป เห็นคุณชายสองคนเดินเคียงข้างหญิงสาวผู้หนึ่งเข้ามา
หนึ่งในนั้น เป็นพี่ชายคนโตของสองพี่น้องติงซู่ม่าน ชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินตามมาด้านหลัง ฝ่ายชายหน้าตาหล่อเหลา ฝ่ายหญิงสุขุมสง่างาม ดูสูงส่ง ไม่รู้ว่าเป็นคนจากตระกูลใด
“เปลี่ยนไม่ได้หรือ” ติงหย่งเหลียงขมวดคิ้วมองมา มองเห็นซือเหลิ่งเย่ว์ที่ดูเยือกเย็นดวงตามีความตกตะลึงปรากฏ เป็นแม่นางที่งดงามยิ่งนัก
ฉินหลิวซีคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม
ติงหย่งเหลียงเดินเข้ามา ยกมือขึ้นประสานอย่างสุภาพ เอ่ย “แม่นางผู้นี้ ไม่รู้ว่าจะ…”
“ไม่ได้” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยขัดวาจาของเขาอย่างเย็นชา แล้วหันไปเอ่ยกับผู้จัดการ “ผู้จัดการ ข้านึกว่าพวกเราแสดงออกชัดเจนแล้ว แต่เห็นได้ชัด ร้านของท่านทำกิจการ เอาใจคนแข็งแกร่งละเลยคนอ่อนแอนี่”
ผู้ดูแลเหงื่อซึมไปทั่วขมับ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“พี่ติง กินข้าวเพียงเท่านั้น กินที่ห้องอื่นก็ย่อมได้ อย่าได้ทำให้ผู้อื่นลำบาก” คุณชายในชุดสีม่วงท่าทางสูงส่งเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ เห็นพวกฉินหลิวซีมองมา ผงกศีรษะแสดงการทักทาย
ในเมื่อแขกเอ่ยเช่นนี้แล้ว แม้คนตระกูลติงจะไม่พอใจอยู่ในใจ แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้ดึงดันต่อไป เอ่ย “เช่นนั้นก็เป็นห้องลั่วเฟิงเถิด”
พวกเขายอมถอยออกไป
“อย่างไรกัน รบกวนแล้ว คำขอโทษสักคำยังไม่มีก็ไปแล้วหรือ การอบรมสั่งสอนของตระกูลติงเป็นเช่นนี้หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยปาก
ติงหย่งเหลียงและเด็กสาวชุดสีชมพูชะงัก อีกฝ่ายรู้จักแล้วว่าพวกเขาเป็นคนตระกูลใด รู้จักแล้วยังกล้าล่วงเกินอีกหรือ
ติงซู่ม่านรีบเอ่ยกระซิบข้างหูติงหย่งเหลียงสองประโยค ติงหย่งเหลียงตกใจ ทว่าก้าวขึ้นมาด้านหน้า “รบกวนการกินอาหารของพวกท่าน เป็นความผิดของพวกข้า ข้าต้องขออภัยทุกท่านด้วย ไม่รู้คุณชายน้อยคือผู้ใด”
ฉินหลิวซีกลับมองเลยผ่านเขาไปยังสองคนนั้น เอ่ย “ทั้งสองท่าน มีร้านหนึ่งบนถนนหงไป๋ตรอกโซ่วสี่มีชื่อว่าเฟยฉางเต๋า สามารถแก้ไขความกังวลในใจของพวกท่านได้ หากมีเวลาลองไปดูก็ได้”
คุณชายสูงศักดิ์ผู้นั้นชะงัก ขณะที่เขามองมา ดวงตาลึกซึ้งก็หรี่ลง มีความมืดครึ้มพาดผ่าน