คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 37 ผูกมิตรเอาใจหมอเทวดาฉิน ตอนที่ 38 เรื่องไร้สาระที่
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 37 ผูกมิตรเอาใจหมอเทวดาฉิน ตอนที่ 38 เรื่องไร้สาระที่
ตอนที่ 37 ผูกมิตรเอาใจหมอเทวดาฉิน / ตอนที่ 38 เรื่องไร้สาระที่จริงจัง
ตอนที่ 37 ผูกมิตรเอาใจหมอเทวดาฉิน
ฉินหลิวซีเป็นคนเชื่อในกฎแห่งกรรม ต่อให้นางจะรักษาคนไข้ช่วยชีวิตคน เมื่อได้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมแล้วก็จะไม่รับเงินอะไรเพิ่มอีก ไม่เช่นนั้นนางก็จะต้องรับผลกรรมนั้น
ดังนั้นจึงปฏิเสธคำเสนอของเฉียนหยวนไว่ และตกลงกับเขาเพียงว่าจะให้คนไปซื้อจากร้านค้าของเขา แล้วก็กล่าวคำอำลาจากไป
เฉียนหยวนไว่มองส่งอีกฝ่ายก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในจวนพลางเอ่ยสั่งพ่อบ้าน “เจ้าไปแจ้งเถ้าแก่เลี่ยวไว้หน่อยว่า ถ้าหากท่านหมอฉินส่งคนมาก็ให้ดูแลให้ดี ไม่ๆๆ เจ้าไปตามตัวเถ้าแก่เลี่ยวมาที่นี่ดีกว่า ข้าจะสั่งเขาเอง”
พ่อบ้านเอ่ย “นายท่าน บ่าวไปก็ได้นะขอรับ ไยต้องให้ท่านสั่งการด้วยตนเองด้วย”
เฉียนหยวนไว่ขึงตาใส่เขาเล็กน้อย “เจ้าจะไปรู้อะไร ท่านหมอฉินผู้นั้นเป็นใคร หมอเชียวนะ! ขุนนางผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นอาจไม่เห็นหมออยู่ในสายตา แต่เมื่อผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นเจ็บป่วยขึ้นมาก็ต้องพึ่งพาหมอพวกนี้ไม่ใช่หรือ การผูกมิตรกับหมอที่มีฝีมือไว้สักคนเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นแค่คนธรรมดา คงหลีกหนีเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยไปไม่พ้น หากเป็นโรคอะไรแปลกประหลากรักษายากขึ้นมา หมอธรรมดาก็ยังรักษาไม่ได้ แต่ถ้าเป็นหมอเทวดาที่ฝีมือไม่ธรรมดา ต่อให้มีเงินมากมายเท่าไรก็ยากจะเชิญมารักษาได้ไม่ใช่หรือ”
“ไม่ต้องพูดเรื่องไกลตัว ดูฮูหยินของข้าสิ หาหมอมาแล้วตั้งกี่คน แต่ก็ยังรักษาไม่หายสักที พอท่านหมอฉินผู้นี้ลงมือ ฝังเข็มไปครั้งเดียวเท่านั้น ฮูหยินของพวกเจ้าก็พูดได้นอนหลับแล้ว เห็นได้ชัดว่าทักษะทางการแพทย์ของเขาไม่ธรรมดา” น้ำเสียงของเฉียนหยวนไว่เจือความยำเกรง “จะมีใครบ้างที่ไม่อยากจะผูกมิตรกับคนเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อพวกเราทำการค้า คนที่ร่วมมือกับเราล้วนแต่เป็นคนทำการค้ากันทั้งนั้น ยังมีเจ้าหน้าที่ทางการอีก ถ้าอีกฝ่ายมีโรคประจำตัวที่รักษาไม่ได้ เฮอะ ถ้าเจ้าเป็นคนชักนำให้พวกเขามาเจอกันได้ มีหรือที่พวกเขาจะไม่ติดค้างบุญคุณเจ้า หากมีบุญคุณต่อกันเมื่อใด หนทางต่างๆ ก็จะสะดวกสบายมากขึ้นไปด้วย”
พ่อบ้านโค้งตัวลงและพูดจายกยอน่าฟัง “นายท่านฉลาดเฉลียว ความคิดอ่านกว้างไกลกว่าบ่าวมากนัก”
เฉียนหยวนไว่ยิ้มก่อนจะเอ่ย “ท่านหมอฉินคนนี้มีนิสัยแปลกประหลาด แต่เขาก็มีหลักการของตัวเองไม่เหมือนใคร หนึ่งก็ว่าหนึ่ง สองก็ว่าสอง คบค้าง่ายกว่าหมอคนอื่นอีก คนเช่นนี้ใช่ว่าข้าจะสามารถผูกมิตรด้วยได้ แต่ตอนนี้ข้ามีโอกาสแล้วมิใช่หรือ คนที่เขาจะส่งมาถ้าไม่ใช่บ่าวรับใช้ในบ้านก็ต้องเป็นคนรู้จัก หากข้าต้อนรับขับสู้อย่างดีก็จะเป็นความประทับใจที่ดี อ้า พูดแล้ว ข้าไปเองก็ดีกว่า ไปๆ ไปกัน”
พ่อบ้านถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นนายท่านเปลี่ยนใจแล้วเปลี่ยนใจอีกเช่นนั้น เด็กหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนจะมีความสำคัญมากทีเดียว แต่เมื่อนึกถึงทักษะทางการแพทย์ของอีกฝ่ายก็รู้สึกว่ามีเหตุมีผล
ถูกต้องแล้ว หมอนั้นหาง่าย แต่หมอผู้มีพรสวรรค์นั้นหายาก การผูกมิตรก็ยิ่งยากกว่า
แต่พ่อบ้านกลับไม่ทราบว่าหมอเทวดาจิตใจบริสุทธิ์สูงส่งที่เขาและเฉียนหยวนไว่เอ่ยถึงนั้นเวลานี้กำลังมองดูกล่องที่เต็มไปด้วยก้อนทองคำพลางยิ้มแหย
“คุณชาย มีสองพันตำลึง เฉียนหยวนไว่คนนี้ใจกว้างจริงๆ เขาคงอยากจะประจบประแจงท่านกระมัง” เฉินผีนับดู
ฉินหลิวซีเล่นก้อนทองในมือ “ถึงอย่างไรก็เป็นชีวิตของภรรยากับลูกของเขา ไม่ใจกว้างได้หรือ”
“แล้วครรภ์ของฮูหยินเฉียนอันตรายเพียงนั้นจริงหรือ” เฉินผีถามอีกครั้ง
“ครรภ์บวมผิดปกติ ไฟในตับพุ่งพล่าน แก่นปราณและปราณกำเนิดทั้งหมดถูกปลดปล่อยออกมา เมื่อถึงเวลาคลอด หากไม่มีปราณกำเนิดคอยคุ้มครองปกป้อง นางจะคลอดเด็กออกมาได้เช่นไร” ฉินหลิวซีเอ่ยเรียบๆ “สุดท้ายแล้วก็ต้องฝืนเอาเด็กออกมาเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น มารดาก็ต้องตาย”
เฉินผีตัวสั่นด้วยความตกใจทันที “เช่นนั้นพวกเขาก็โชคดีแล้วที่ได้พบคุณชาย”
“เพราะเฉียนหยวนไว่ผู้นั้นได้สั่งสมบุญไว้บ้าง เขาน่าจะทำบุญไว้ไม่น้อยในระหว่างที่เดินทางทำการค้านี้ ไม่เช่นนั้น…”
ตึง
รถม้าหยุดลงอย่างกะทันหัน
ศีรษะของฉินหลิวซีกระแทกเข้ากับรถม้า รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ตอนที่ 38 เรื่องไร้สาระที่จริงจัง
ฉินหลิวซีกุมท้ายทอยตนเอง สีหน้าของนางงอง้ำลงทันที
การกระแทกที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันนั้นเจ็บปวดที่สุด
เฉินผีเองก็ตกใจเช่นกัน เขาหันไปถามฉินหลิวซีก่อนว่าเป็นอะไรหรือไม่ จากนั้นจึงเปิดประตูเล็กๆ ที่ติดอยู่กับที่นั่งรถม้าและเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำลึกว่า “พี่หลี่ เกิดอะไรขึ้น”
กระนั้นก็ไม่ได้ตำหนิเขา เพราะถึงอย่างไรก็รู้อยู่แล้วว่าหลี่เฉิงไม่ใช่คนที่จะทำอะไรประมาทใจร้อน
“จู่ๆ ก็มีคนกระโดดออกมาขวางรถ คุณชายเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ” หลี่เฉิงหันหน้ามาและมองไปที่ฉินหลิวซี สายตาเขามีแววลำบากใจเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร” ฉินหลิวซีตอบกลับก่อนจะมองออกไปข้างนอก โอ้ ออกมาได้แล้ว
“ปรมาจารย์ปู้ฉิวใช่หรือไม่ คุณชายของข้าขอเชิญท่านสักหน่อย” อิงหนานก้าวเข้ามาและโค้งคำนับด้วยท่าทางสุภาพ แต่น้ำเสียงของเขากลับฟังดูไม่เต็มใจและมีอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
คนผู้นี้ทำให้พวกเขาลำบากมากเมื่อวานนี้
ฉินหลิวซีเปิดประตูรถม้าและมองไปยังอิงหนาน เมื่อเห็นว่าใต้ตาเขาดำคล้ำใบหน้าซีดเซียวก็รู้แล้วว่าเมื่อคืนเขาติดอยู่ในป่าวั่นไหวอย่างน่าอนาถ
สมน้ำหน้า!
ฉินหลิวซีไม่มีความเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย เอ่ย “หาผิดคนแล้ว หลี่เฉิง ไป”
“เฮ้”
หลี่เฉิงดึงบังเหียนและกำลังจะขับรถม้าออกไป อิงหนานกระวนกระวายรีบห้ามอย่างรวดเร็ว “ปรมาจารย์ปู้ฉิว พวกเรามาขอให้ท่านไปรักษาคนด้วยความจริงใจ ท่านเห็นคนตายแต่กลับไม่ช่วย ยังเรียกตัวเองว่าหมอได้อีกหรือ”
“อิงหนาน”
อิงหนานถอยหลบและโค้งคำนับน้อยๆ “นายท่าน”
ฉีเชียนก้าวเข้าไปและประสานมือคำนับฉินหลิวซี เอ่ยว่า “ข้าน้อยฉีเชียน ข้าไม่ได้เข้มงวดกับลูกน้อง ต้องขออภัยปรมาจารย์ด้วย”
ฉินหลิวซีนั่งอยู่ในรถม้า นางใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางพลางเอ่ย “ท่านก็ไม่เข้มงวดจริงๆ นั่นแหละ ปล่อยให้เจ้าหนุ่มคนนี้พูดปาวๆ เช่นนี้ หากไปเดินข้างนอก คงโดนรุมกระทืบตาย!”
อิงหนาน “!”
หรือไม่ใช่ท่านที่บีบให้ข้าต้องทำเช่นนี้
ฉีเชียนเอ่ย “ท่านปรมาจารย์เอ่ยถูกแล้ว แต่เมื่อวานท่านก็ได้ให้บทเรียนพวกเราแล้วมิใช่หรือ”
ฉินหลิวซีแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง กะพริบตาปริบๆ แล้วจึงเอ่ย “ท่านพูดเรื่องอะไร บทเรียนอะไร เฮอะ ข้าว่านะคุณชายฉี ท่านจะเอ่ยอะไรมั่วๆ เช่นนี้ไม่ได้ ข้าเป็นพลเมืองชั้นดีที่เคารพกฎหมายและช่วยเหลือชาวบ้าน ใจซื่อมือสะอาด ท่านใส่ร้ายป้ายสีข้าเช่นนี้ ข้ารับไม่ได้หรอก!”
“ป่าวั่นไหว!” อิงหนานอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่าท่านไม่ได้จงใจล่อพวกเราเข้าไปติดอยู่ในนั้น?”
ฉินหลิวซีร้องอุทานก่อนจะเอ่ย “ป่าวั่นไหวหรือ คุณชายฉีท่านนี้ พวกท่านคงมาจากต่างถิ่นกระมัง หรือว่าท่านเข้าไปในป่าวั่นไหวยามพลบค่ำ?”
นางกระโดดลงจากรถม้าลงมายืนอยู่ตรงหน้าฉีเชียน เอ่ยด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ “คุณชายฉีเป็นคนต่างถิ่นจึงไม่รู้ แต่ทุกคนในเมืองหลีต่างก็รู้กันว่า ป่าวั่นไหวนี้ไม่ควรเข้าไปในตอนพลบค่ำ เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะชื่อน่ะสิ!”
อะไรนะ ชื่อหรือ?
“อักษรคำว่าไหว[1]นั้นคือผีเกาะต้นไม้ ต้นไหวซู่ดึงดูดพลังหยินอยู่แล้ว เพียงดูคำว่าผีก็รู้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคำว่าวั่นไหว[2]เลย นั่นหมายถึงมีต้นไหวซู่เป็นพันเป็นหมื่นต้นเลยนะ พอแยกส่วนตัวอักษรออกมาก็แปลว่าป่าหมื่นผีแล้วไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซี เอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ “ดังนั้นป่าวั่นไหวแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าป่าวั่นกุ่ย[3] ยามพลบค่ำ พอพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ที่นั่นก็จะเป็นเวลาที่เหล่าสหายทั้งหลายจะออกมา การเข้าไปในถิ่นของพวกเขาไม่เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายหรือไร”
พวกฉีเชียนพากันหน้าเปลี่ยนสีด้วยความตกใจ
ดังนั้นเสียงผีร้องโหยหวนและเสียงหมาป่าหอนที่พวกเขาได้ยินทั้งคืนก็ไม่ใช่ภาพลวงตาสินะ
“คนท้องถิ่นอย่างเราจะไม่เข้าไปในป่าหมื่นผีในเวลานั้น ถึงอย่างไรมันก็มีระดับพลังหยินหยางอยู่ เมื่อเข้าไปแล้วก็ยากที่จะบอกว่าออกมาได้หรือไม่ ถ้าพวกเขาปล่อยออกมาก็แปลว่าพวกเขาใจกว้าง ถ้าไม่ปล่อยออกมาก็ได้แต่ต้องวนอยู่ตรงที่เดิมนั้น” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านออกมาได้แล้วก็แปลว่าได้เจอคนดีๆ ไม่สิ เจอผีดีๆ เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ!”
อิงหนาน “…”
นายท่าน ถ้าท่านอยากจะลงโทษก็ลงโทษเถิด นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นได้เห็นคนพูดเรื่องไร้สาระได้จริงจังเช่นนี้ เขาคันไม้คันมืออยากชักกระบี่ออกมาจริงๆ!
[1] อักษรคำว่าไหว (槐) ในภาษาจีน ประกอบด้วยตัวมีอักษรที่มีความหมายว่า ไม้ และภูติผีหรือวิญญาณ
[2] วั่นไหว (万槐) คำว่าวั่นแปลว่าหมื่น ในบางกรณีใช้เป็นคำวิเศษณ์แสดงถึงจำนวนที่มาก วั่นไหว จึงแปลว่าต้นไหวซู่จำนวนมาก
[3] กุ่ย (鬼) ผี