คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 417 ตุ๊กตาดินเผาโชคร้าย
ตอนที่ 417 ตุ๊กตาดินเผาโชคร้าย
ถัดไปหนึ่งวัน ฉินหลิวซีฝังเข็มให้ตงหยางโหวเป็นครั้งสุดท้าย และให้ยาไหเส่าตานที่เพิ่งปรุงใหม่ให้กับเขา จากนั้นก็พาเถิงเจาไปที่หมู่บ้านเจ่าจือ
ผู้ที่มารับฉินหลิวซีก็คือเติ้งต้าอู่ บุตรชายคนโตของเติ้งฟู่ไฉ ที่ไม่รู้ว่ากลัวว่าฉินหลิวซีจะไม่ไปหรือว่าเพราะแสดงความบริสุทธิ์ใจ เติ้งต้าอู่มาพักที่เมืองหลีล่วงหน้าก่อนหนึ่งคืน ฟ้าเพิ่งสว่างก็มารอที่ร้านเฟยฉางเต๋าแล้ว
“ระยะทางที่ไปหมู่บ้านเจ่าจือค่อนข้างไกล เจ้าสามารถงีบได้สักพัก หรือว่าจะฝึกต้าโจวเทียน[1]ก็ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยกับเถิงเจา
เถิงเจาพยักหน้า จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิและปิดตาลง มือทั้งสองข้างประสานกันวางไว้บนหัวเข่า ไม่นานก็เข้าสู่ฌาณ
ฉินหลิวซีที่มีความปลื้มอกปลื้มใจ นั่งสมาธิในรถม้าเพื่อฆ่าเวลา
เช่นนี้ ลูกศิษย์ทั้งสองคนที่นั่งสมาธิฝึกตน และสลับกันถามตอบศึกษาพิจารณาเบญจศาสตร์แห่งเต๋าไป จึงไม่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้า พอดีกับที่มาถึงหมู่บ้านเจ่าจือในยามเซิน[2]
หมู่บ้านเจ่าจือห่างจากเมืองหลีไปไกล แต่ห่างจากเมืองหลิงเซี่ยนไม่ถือว่าไกล ห่างไปแค่ภูเขาลูกหนึ่ง ก็ถึงชายแดนเมืองหลิงเซี่ยนแล้ว เพียงแค่ประมาณสามชั่วยามก็ถึงตัวเมืองหลิงเซี่ยน
และที่นาในบางที่ของหมู่บ้านเจ่าจือ แปดในสิบส่วนล้วนเป็นของตระกูลเติ้ง
ฉินหลิวซีเปิดประตูหน้าติดกับเพลารถม้า ทั้งฟังเติ้งต้าอู่เล่าสถานการณ์ของหมู่บ้านเจ่าจือไป และดูฮวงจุ้ยของหมู่บ้านขนาดใหญ่หมู่บ้านนี้ไปด้วย
ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ทุกอย่างขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาระหว่างฟ้ากับดิน แต่ก็ยังสามารถเห็นทิศทางของภูเขาและลักษณะของฮวงจุ้ยได้
“ถือว่าดีติดภูเขาใกล้แม่น้ำ” เถิงเจาเองก็เช่นเดียวกันกับนาง พินิจพิเคราะห์ลักษณะสภาพของทั้งหมู่บ้านเจ่าจือ จำลักษณะเขตฮวงจุ้ยที่ตนเองมองดูแล้วไว้ในใจ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองนั้นคาดการณ์ไว้ไม่ผิด
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ทิวทัศน์ด้านซ้ายมังกรขดสีเขียวคราม ด้านขวามีเสือหมอบ เป็นพื้นที่ที่ดีอีกที่หนึ่ง ไม่แปลกที่ตระกูลเติ้งจะร่ำรวย คิดไปแล้วนอกจากสร้างกุศลส่งต่อรุ่นต่อรุ่นแล้ว ยังมีสาเหตุของฮวงจุ้ยบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างที่เจริญรุ่งเรืองอีก”
ด้านหลังมีภูเขาด้านหน้ามีน้ำ ดินชอุ่มท้องนาอุดมสมบูรณ์ พืชผลก็มากมาย ฮวงจุ้ยที่ดีสามารถทำให้คนเจริญรุ่งเรือง ยิ่งบวกกับบุญกุศลที่สั่งสมมาก็ไม่แปลกที่จะร่ำรวย มิน่าล่ะลูกชายคนโตของตระกูลเติ้งถึงได้มีรถม้ามารับ ได้ยินมาว่าที่เรือนก็มีบ่าวรับใช้
“ท่านอาจารย์รู้จริงด้วย การอบรมสั่งสอนของพวกเราตระกูลเติ้ง ต้องมีน้ำใจต่อผู้อื่น หากผู้ใดทำชั่วก็จะถูกขับไล่ออกจากตระกูลไป” เติ้งต้าอู่เอ่ยขึ้นอย่างเต็มภาคภูมิ
ฉินหลิวซีเอ่ยชื่นชม “เพราะสามารถทำความดีอย่างต่อเนื่อง ถึงได้รับความโชคดีเป็นการตอบแทน”
รถเคลื่อนตัวเข้าไปในหมู่บ้าน ด้านนอกมีเด็กที่กำลังปั้นตุ๊กตาหิมะโบกมือทักทายเติ้งต้าอู่อยู่ ปากก็ตะโกนร้องเรียกพี่อู่
เติ้งต้าอู่ก็ควานหาลูกอมในกระเป๋าติดตัวออกมาหนึ่งกำและโยนออกไป “แบ่งกันกินนะ ห้ามทะเลาะกัน”
พวกเด็กๆ กรีดร้องด้วยความดีใจและไปแย่งกัน
ไม่นานรถม้าก็มาหยุดลงที่เรือนอิฐหลังคากระเบื้องสีดำหลังหนึ่ง เป็นของตระกูลเติ้ง ด้านหน้ามีเด็กกำลังเล่นกันอยู่ เมื่อเห็นเติ้งต้าอู่ ก็ทั้งตะโกนเรียกอยู่ด้านในว่าท่านพ่อกลับมาแล้ว พร้อมกับโผเข้ามาหา
ฉินหลินซีและเถิงเจาลงมาจากรถ
เติ้งต้าอู่โอบเด็กร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงทั้งสองคนเข้ามาในอ้อมแขน และพามาทำความเคารพฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีลูบหัวของเด็กน้อยไปมา และดูบ้านของตระกูลเติ้งอีกครั้ง เห็นด้านบนปกคลุมไปด้วยพลังงานสีทองของความดี อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ตระกูลเติ้งนี่ไม่เลวเลยจริงๆ
มีเสียงฝีเท้าหลายฝีเท้ากำลังจู่โจมเข้ามา ไม่นานเติ้งฟู่ไฉก็เดินออกมา ก้าวขึ้นไปด้านหน้าเพื่อคำนับ และเอ่ย “ท่านอาจารย์ เติ้งคนนี้เฝ้ารอท่านมาเนิ่นนาน”
ฉินหลิวซีทักทายด้วยรอยยิ้มอยู่สองสามคำ และเข้าไปด้านในพร้อมกับเขา เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็พบกับหญิงที่มีใบหน้ากลมมน ดูอ่อนโยน แต่สีหน้ากลับซีดเซียว มีความกังวลอยู่ ถูกประคองด้วยหญิงอีกคนหนึ่งกำลังเดินมา
“ภรรยา นี่คือท่านอาจารย์ปู้ฉิวแห่งอารามชิงผิง” เติ้งฟู่ไฉแนะนำฉินหลิวซีให้นางรู้จัก
เติ้งเฉิงซื่อเดินไปด้านหน้า ทำความเคารพฉินหลิวซี เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น “อาจารย์ ข้ารอคอยที่ท่านจะมา”
“ลูกสาวยังคงสบายดีนะ” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น
“ท่านหัวหน้าครอบครัวรับยันต์แคล้วคลาดมาจากท่านอาจารย์ พวกเราเอาไว้ใกล้ๆ กับหน้าอกให้นาง นางสงบลงบ้างแล้ว แต่กลับยังไม่เคยตื่นขึ้นมา” ดวงตาทั้งสองข้างของเติ้งเฉินซื่อร้อนผ่าวจนแดงไปหมด และเอ่ยขึ้น “ที่ท่านอาจารย์มาครั้งนี้ พวกเรารู้สึกซาบซึ้งจนหาที่สุดมิได้”
“ท่านอาจารย์เดินทางมาไกล น่าจะเข้าไปดื่มชาร้อนสักหน่อยค่อยไปดูลูกสาวของข้า” ถึงแม้ว่าในใจของเติ้งฟู่ไฉจะเป็นกังวล แต่ก็รู้ว่าการวิ่งเต้นตลอดทางนั้นมันเหนื่อยล้ามากๆ จึงข่มความกระวนกระวายเอาไว้ในใจ และเอ่ยเชิญด้วยรอยยิ้ม
เขาพาฉินหลิวซีและศิษย์มาสถานที่รับแขกในสวนดอกไม้ มีเด็กสาวรินน้ำชาให้ ฉินหลิวซีดื่มไปอึกสองอึก ถึงแม้ว่าเติ้งฟู่ไฉจะทักทายต้อนรับ แต่เห็นที่พวกเขาเทียวลุกเทียวนั่งจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ จึงต้องเสนอไปดูเติ้งสุ่ยหลานก่อน
บ้านของตระกูลเติ้งครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่ มีสามส่วน สองส่วนเป็นของเติ้งต้าอู่และลูกคนรองอยู่ มีเพียงแค่ลูกคนรองที่กำลังเล่าเรียนอยู่เมืองฝู่ ส่วนภรรยาก็พาลูกสาวไปเข้าเฝ้า และส่วนสุดท้ายเป็นส่วนของเติ้งฟู่ไฉกับภรรยาสาว อยู่ร่วมกับลูกชายที่ยังไม่ได้แต่งงานอีกสองคน
เรือนกลางเป็นห้องนอนของเติ้งฟู่ไฉและภรรยา ทิศตะวันตกเฉียงเหนือห้องปีกตะวันออกเป็นห้องส่วนตัวของเติ้งเสี่ยวเม่ย
ฉินหลิวซีอยู่ที่ประตูโค้งรูปพระจันทร์มองไปรอบๆ ทั้งสามส่วน จวนเล็กๆ หลังนี้มีพลังงานชั่วร้ายจางๆ แต่กลับมีพลังงานของความโชคดีกดเอาไว้ จนไม่อาจกระจายออกไป และไม่รุนแรง
และพลังชั่วร้ายนี้ก็มีอยู่ทุกที่ นางเงยหน้าขึ้นยกเท้าเดินไปทางห้องปีกทางทิศตะวันออก
เติ้งฟู่ไฉและภรรยามองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง พลันตกใจขึ้นมา รีบเดินตามไป
“ท่านอาจารย์ หลังจากที่หัวหน้าครอบครัวกลับมาได้บอกแล้ว แต่พวกเราค้นหาที่ห้องของลูกสาวข้าแล้วรอบหนึ่ง ก็ไม่พบสิ่งของที่ไม่ควรพบเลย” เติ้งเฉิงซื่อเอ่ย
ฉินหลิวซีเดินมาถึงห้องปีกทางทิศตะวันออก เอ่ยขึ้น “บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าพวกเจ้าไม่หามันออกมา”
นางเดินเข้าไปในห้อง พลังงานความชั่วร้ายก็รุนแรงขึ้น นางมองไปรอบๆ ทุกทิศ เดินไปทางบริเวณที่พลังรุนแรงที่สุด ซึ่งนั่นก็คือห้องนอน
เตียงไม้พะยูงสีแดงแขวนด้วยแพรผ้าม่านสีชมพู เด็กผู้หญิงอายุยังไม่ถึงสี่ห้าขวบคนหนึ่งนอนนิ่งไม่ขยับอยู่บนเตียง ตาทั้งสองข้างปิดสนิท ลมหายใจแผ่วเบาราวกับขนนก หากบริเวณอกไม่ขยับขึ้นลง ก็คงคิดว่านางไม่มีชีวิตอยู่
“เพราะว่ามียันต์แคล้วคลาดของท่านอาจารย์ สีหน้าของเด็กน้อยถึงได้ดีขึ้นมาหน่อย ก่อนหน้านี้” เติ้งเฉิงซื่อเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ท่านอาจารย์ ในนี้มีของสกปรกจริงหรือ เขาถูกยันต์ของอาจารย์ขับไล่ไปแล้วใช่หรือไม่”
“หากไล่ไปแล้ว ก็คงตื่นขึ้นมาแล้ว” ฉินหลิวซีมองไปที่หน้าผากของเติ้งเสี่ยวเม่ยที่ถูกเมฆสีดำปกคลุมอยู่ ใบหน้าเล็กเริ่มเขียว พลังความชั่วร้ายกำลังเกาะกุม คนทั้งคนดูเซื่องซึม
เด็กคนนี้ ถูกดูดกินสารจิงในร่างกายไป
สีหน้าของฉินหลิวซีเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาหยุดลงที่หัวเตียง
ตรงนั้นมีพลังงานความชั่วร้ายหนักที่สุด
พวกเติ้งฟู่ไฉสนใจสายตาของฉินหลิวซีอยู่ตลอด จึงมองตามไป แต่กลับไม่พบอะไร แต่ฉินหลิวซีกลับไม่ได้ละสายตาไปไหนเลย จึงอดที่ใจจะเต้นขึ้นมาไม่ได้
หัวเตียงของเติ้งเสี่ยวเม่ยติดกับผนัง และบนผนังมีก้อนอิฐก้อนหนึ่งที่ไม่เหมือนกับก้อนอื่นๆ และด้านในนั้นมีพลังงานของความชั่วร้ายแพร่กระจายออกมา
“นั่นเป็นช่องแห่งความลับหรือ” ฉินหลิวซีเปิดแพรผ้าม่านออก และชี้ไปที่อิฐก้อนนั้น
เถิงเจามองไปตามนิ้วมือที่นางชี้ไป ดวงตาที่งดงามหรี่ลงครึ่งหนึ่ง
เติ้งฟู่ไฉ่ชะงักไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่ขอรับ” เขากำลังมอง ก็มองไม่ออกเช่นเดียวกัน อิฐก้อนนั้นยื่นออกมาเล็กน้อย
เขายื่นมือออกไปดึงโดยจิตใต้สำนึก อิฐก้อนนั้นถูกเขาดึงมันออกมาแล้ว พลังงานเยือกเย็นพลันโชยออกมา
“อันนี้ขุดตั้งแต่เมื่อไร” เติ้งฟู่ไฉตื่นตกใจจนหน้าถอดสี
“นั่นคืออะไร” เติ้งเฉิงซื่อชี้ไปทางช่องอิฐที่ว่างด้วยมือที่สั่นเทา กรีดร้องและถอยหลังไป
เติ้งฟู่ไฉเดินเข้าไปดูข้างใน ฉับพลันก็สบเข้าดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่ง ตกใจจนถอยหลังไปสองก้าว สีหน้าก็พลันขาวซีด
ฉินหลิวซีมือหนึ่งวาดขึ้นร่ายคาถา อีกมือหนึ่งยื่นเข้าไปในช่องอิฐ หยิบเอาของด้านในออกมา
ตุ๊กตาดินเผาที่สวมเสื้อผ้าหนึ่งตัว
[1]ต้าโจวเทียน เป็นขั้นตอนลำดับสอง ตามความเชื่อเรื่องแนวทางการเดินลมปราณของคนจีนโบราณ เพื่อไหลเวียนพลังปราณไปตามจุดเส้นชีพจรทั่วร่าง
[2] ยามเซิน 15.00 – 17.00 น.