คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 433 ทิ่มแทงใจข้านัก
ตอนที่ 433 ทิ่มแทงใจข้านัก
ยามราตรีในฤดูหนาวยาวนานกว่าช่วงกลางวัน ซึ่งเหมาะแก่การอู้งานเหลือเกิน ทว่าฉินหลิวซีกลับมีเรื่องวุ่นๆ มากมาย อย่างแรกต้องช่วยเหล่าโฉวทำแขนขาเทียมให้เรียบร้อยและใส่ให้เขาด้วย พร้อมสอนเขาว่าใช้งานอย่างไร เหล่าโฉวดีอกดีใจจนแทบคุกเข่าคำนับนางอยู่หลายครั้ง และเขาต้องการอยู่เป็นคนขับรถติดตามฉินหลิวซีต่อไป
ทว่าฉินหลิวซีกลับปฏิเสธ หากนางเป็นคุณหนูมาจากตระกูลใหญ่อย่างแท้จริง ทหารเก่าแก่เกษียณแล้วที่มีวิชาต่อสู้และทักษะการสืบสวนติดตัวเช่นนี้ นางคงไม่มีทางปล่อยไปแน่
ทว่านางเดินบนเส้นทางนักพรต ไม่จำเป็นต้องมีคนฝีมือดีเช่นนี้ อีกอย่างเหล่าโฉวเองก็มีเส้นทางของตนเอง
เหล่าโฉวเองก็ไม่ดื้อรั้นแต่อย่างใด เพียงแต่จดจำบุญคุณอันใหญ่หลวงนี้ไว้จนขึ้นใจ
นอกจากเรื่องนี้ยังมีเรื่องอื่นอีก ซึ่งก็คือทำยันต์วาดยันต์ศักดิ์สิทธิ์ แถมต้องปรุงวัตถุดิบยาราคาสูงลิ่วที่ได้มาจากเฟิงซิว เพื่อเตรียมช่วยแก้คำสาปโลหิตให้แก่ซือเหลิ่งเย่ว์
แน่นอนว่าพ่อค้าหน้าเลือดอย่างเฟิงซิวย่อมไม่ลืมส่วนของตนเอง เพิ่มแรงบีบคั้นนางสุดขีด อย่าว่าแต่ปรุงยาราคาแพงมากมายเลย เพราะยาสามัญที่ขายดีเองก็ปรุงขึ้นมาไม่น้อย
ขณะที่จัดการเรื่องพวกนี้ ฉินหลิวซีก็ไม่ลืมให้คำชี้แนะแก่ศิษย์ทั้งสองที่ติดตามข้างกาย ซึ่งยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาสามารถเรียนรู้เคล็ดวิชาจากอาจารย์ได้ทั้งหมด เรื่องการปรุงยายิ่งไม่ต้องกล่าวถึง สิ่งที่ให้พวกเขาทำล้วนเป็นวัตถุดิบยาธรรมดาๆ เท่านั้น การวิเคราะห์วัตถุดิบยาและคุณสมบัติของยานั้นเป็นสิ่งจำเป็น
นอกจากศาสตร์การรักษา ยังมีการสอนยันต์เต๋าอื่นๆ ด้วย ซึ่งถ่ายทอดให้พร้อมกันไม่มีขาดตกบกพร่อง
พอมีธุระมากมายนับไม่ถ้วน ฤดูหนาวนี้นอกจากฉินหลิวซีจะไม่อ้วนขึ้นแล้ว นางกลับผอมลงเล็กน้อย สองดวงตายิ่งคมขึ้นและเป็นประกายมากกว่าเดิม
เป็นเช่นนี้ต่อไปวันแล้ววันเล่า เวลาก็ล่วงเลยมาถึงสิ้นปี ฉินหลิวซีได้รับของกำนัลปีใหม่จากหลายตระกูลอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งส่งไปถึงอารามเต๋าด้วย
คนแรกคือพ่อของเถิงเจา เขาให้คนมาส่งของพร้อมแนบจดหมายปึกหนาฉบับหนึ่งมาด้วย เพื่อให้เถิงเจานั่นเอง บางทีอาจจะรู้ว่าที่อารามเต๋าฝึกบำเพ็ญอย่างยากลำบาก ของกำนัลปีใหม่ใช่ว่าจะเป็นของที่ดูดีเพียงภายนอกอย่างเดียว เพราะมีวัตถุดิบยาของบำรุงชั้นดี รวมถึงตั๋วเงินปึกหนึ่งราวๆ ห้าพันชั่ง
ตามที่ใต้เท้าเถิงกล่าวไว้ เงินเหล่านี้เป็นค่าบำรุงวัดและของกำนัลกราบไหว้อาจารย์ รวมถึงค่าดูแล
ฉินหลิวซีลูบศีรษะของศิษย์คนโตอย่างพึงพอใจ “บิดาของเจ้าเป็นคนจริงใจดีเสียจริง! ถึงแม้เจ้าจะเข้าสำนักข้ามาแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดเดียวกัน สำนักเราไร้ทรัพย์ ของกำนัลตอบแทนคงสู้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เจ้าเองก็วาดยันต์คุ้มครองให้ปลอดภัยได้ เจ้าวาดยันต์อักขระศักดิ์สิทธิ์สักสองสามใบกลับไปให้บิดาเจ้าเพื่อตอบแทนท่านก็เพียงพอแล้ว”
เถิงเจามองตั๋วเงินปึกนั้นแวบหนึ่ง ตั๋วเงินห้าพันชั่งแลกกับยันต์ศักดิ์สิทธิ์สองใบ คุ้มสุดๆ
เขาขานรับที จากนั้นก็ใช้พลังวิญญาณของตนวาดยันต์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาสองใบแล้วให้คนส่งกลับไป ส่วนแรกให้บิดา อีกทั้งให้ท่านอาจารย์ตู้ด้วย เช่นนี้แล้วในยามที่ทั้งสองได้รับยันต์จึงรู้สึกตื้นตันใจจนดวงตาแดงก่ำ น้ำตารินไหลลงมาสองหยด จากนั้นก็พรั่งพรูออกมาอย่างอดกลั้นไม่อยู่
นอกจากใต้เท้าเถิงแล้ว แม้แต่ฉีเชียนก็ส่งของกำนัลปีใหม่มาด้วย ของดูล้ำค่าไม่เบา สื่อถึงคำขอบคุณที่มีต่อนาง พร้อมจดหมายที่เขียนเองฉบับหนึ่ง เพื่อบอกว่าตอนนี้ตนกำลังทำงานกรมใดอยู่
นอกจากนี้มู่ซีผู้สืบทอดตัวน้อยเองก็ส่งของชั้นดีราคาสูงลิ่วมาให้หนึ่งคันรถ
ถึงแม้ฉินหลิวซีจะประหลาดใจ ทว่าก็ไม่ได้ส่งของกลับคืนไปทันที นางเพียงเก็บวัตถุดิบยาไม่กี่ชนิดขึ้นมา จากนั้นก็ให้คนที่มาส่งของมาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น
ในแง่มุมของนาง พวกเขาต่างเป็นลูกหลานผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ แต่นางเป็นเพียงนักพรตเต๋าตัวเล็กๆ ซึ่งไม่ใช่คนเส้นทางเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องไปมาหาสู่อย่างสนิทสนม
ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นความสัมพันธ์ระหว่างหมอและผู้ป่วยเท่านั้น
ในทางกลับกันอวี้ฉังคงส่งวัตถุดิบยาและตำราดีๆ สองสามเล่มมาให้ ซึ่งเกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับ ล้วนเป็นฉบับที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน บวกกับชิ้นส่วนตำราแผ่นหนึ่ง แนบมาพร้อมกับจดหมายที่เขียนด้วยตนเอง
ฉินหลิวซีอ่านชิ้นส่วนตำราครู่หนึ่งก่อนจะนำไปให้นักพรตเฒ่าชื่อหยวนอ่าน นางมองไม่ออกว่าคืออะไร แต่พอรู้ว่าเป็นค่ายกลบางอย่าง
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนรับมาพลิกดู พลันก็กระตุกหนวดด้วยความตื่นเต้นแล้วกลับไปพลิกเปิดอ่านใหม่อย่างระมัดระวัง
“นี่…นี่มัน…”
ฉินหลิวซีเห็นเขาตื่นเต้นเพียงนั้น พลันเลิกคิ้วขึ้น “ท่านรู้หรือ”
“นี่เหมือนเป็นหนึ่งในค่ายอาคมที่สำนักชิงผิงของพวกเราก่อตั้งขึ้นมาแต่ไม่เผยแพร่ออกไป นามว่าค่ายอาคมคุ่นเซียน” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนมือสั่นเทาเล็กน้อย
“ค่ายอาคมคุ่นเซียนหรือ” นางรุดเข้าไปหาพลางมองชิ้นส่วนตำรานั้น ซึ่งมีเพียงรูปภาพครึ่งหนึ่งเท่านั้น เพราะกาลเวลาที่ผ่านมานานจึงแปรเปลี่ยนดูเลือนลางเป็นเศษผุยผง ด้านบนวาดเป็นภาพเก้าวังแปดทิศ แต่ขาดรุ่งริ่งภาพไม่ครบทั้งหมด ครึ่งหนึ่งที่เหลือยิ่งเหมือนถูกยื้อแย่งจนฉีกขาดออกเป็นสองท่อน เป็นผลให้ภาพค่ายกลนี้แทบมองไม่ออกว่าเป็นค่ายกลอะไร
ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่สิ ภาพนี้ขาดเป็นเศษชิ้นส่วน ท่านมองออกได้อย่างไรว่าเป็นค่ายอาคมคุ่นเซียนอะไรนั่น”
“ก็เป็นเพราะเคยอ่านบันทึกอารามชิงผิงของเรามาก่อน” ขณะที่กล่าว นักพรตเฒ่าชื่อหยวนก็ยกมือขึ้นเขกเข้ากลางหน้าผากนางทีหนึ่ง “ข้าให้เจ้าจำประวัติศาสตร์ของอารามชิงผิงให้ขึ้นใจ เจ้าเห็นคำพูดของข้าเป็นดั่งลมพัดข้างหูอย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซีร้องอ้อทีหนึ่ง กุมหน้าผากพลางเอ่ย “ประวัติศาสตร์ที่ท่านว่าหนาไม่เท่าเล็บมือด้วยซ้ำ ข้าจำได้ขึ้นใจนานแล้ว แต่เคยเห็นภาพคล้ายเช่นนี้เสียเมื่อไร”
“ไม่ได้วาดออกมา แต่มีกล่าวถึง ค่ายอาคมคุ่นเซียน ยึดค่ายกลสี่มุมแปดทิศเป็นหลัก จากนั้นเติมแกนกลางเข้าไปเป็นเก้าวัง ผนวกรวมเป็นค่ายกลเก้าวังแปดทิศ ซ่อนดาราทั้งเจ็ดเป็นรากฐาน รวมพลังแห่งฟ้าดิน กักขังสรรพสิ่งเป็นค่าย ได้ยินมาว่าตอนนั้นค่ายกลนี้สร้างขึ้นโดยเจ้าสำนักแห่งหุบเขาเทียนซูเจินเหริน[1]จิ่วหยางขอบเขตขั้นปราณทอง[2] ซึ่งสามารถกักขังจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งได้…เจ้าพึมพำอะไนกัย”
ฉินหลิวซี “ข้าไม่ได้พึมพำอะไร”
“เจ้าพึมพำ”
“อ้อ ข้าว่าท่านพูดจาลี้ลับขนาดนั้น กักขังจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งได้ ตอนนั้นสามารถบำเพ็ญเป็นเซียนได้จริงหรือ เช่นนั้นเจินเหรินจิ่วหยางอยู่ในขั้นปราณทอง ทั้งสำนักคงไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวกระมัง ในเมื่อสามารถสร้างค่ายกลคุ่นเซียนที่ไม่ถ่ายทอดให้ใคร สำนักชิงผิงเก่งกาจขนาดนี้ เหตุใดถึงยังตกอยู่ในสถานการณ์แร้นแค้นน่าอนาถถึงเพียงนี้เล่า”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนถลึงตาด้วยความโมโห บรรพบุรุษสำนักทั้งหลาย โปรดอย่าถือสาที่นางปากไม่มีหูรูด นางปากไม่ดีแต่ความสามารถเป็นเลิศนัก!
“เจ้าจะเข้าใจอะไร เวลานั้นปีศาจกำเริบเสิบสานจนปะทุเป็นสงครามใหญ่ เพื่อชีวิตคนใต้หล้า ไม่รู้ว่าคนหลายสำนักยอมสละชีพไปตั้งเท่าใด สำนักชิงผิงสืบทอดต่อกันมาโดยศิษย์นอกสำนัก แต่เพราะศิษย์นอกไม่ได้รับการถ่ายทอดอย่างแท้จริง การเรียนรู้มีจำกัด ซ้ำยังค่อยๆ ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ นักพรตที่สามารถบรรลุเป็นเทพเซียนได้มีไม่กี่คน ถ่ายทอดขาดตอนจากสำนักกลายเป็นอาราม ถดถอยลงถึงขีดสุด ศิษย์ที่ฝึกบำเพ็ญจนอายุยืนยาวมากสุดก็คือเจ้าอาวาสรุ่นแรก แต่มีอายุเพียงสองร้อยปีเท่านั้น”
น้ำเสียงของเขาแฝงความเศร้าใจเล็กน้อย
“อย่ามาทอดถอนหายใจตรงนี้เลย บัดนี้เราเป็นนักพรตที่อยู่ในโลกคนธรรมดา มีฝีมือขั้นสูง หากสามารถบำเพ็ญบรรลุเทพเซียนได้ก็ต้องทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งอยู่ดี มีวิบากวนเวียนอยู่ในขั้นต่ำถึงจะได้ มิเช่นนั้นหากฟ้าฟาดผ่านลงมา อย่าว่าแต่ฟ้าผ่าใส่สี่สิบเก้าครั้งเลย แค่เจ็ดครั้งก็ทนรับไม่ไหวแล้ว” ฉินหลิวซีชี้นิ้วขึ้นฟ้า
“ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนั้นแล้ว กลับมาเข้าประเด็นกันดีกว่า เจ้าตั้งใจศึกษาดูว่าสามารถหาชิ้นส่วนตำราค่ายอาคมคุ่นเซียนนี่เพิ่มเติมได้ครบหรือเปล่า ไม่สิ เจ้าต้องทำให้ครบให้ได้” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนชี้ไปที่ชิ้นส่วนตำรานั้นพร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ฉินหลิวซีสะดุ้งโหย่ง “ทำไมต้องทำด้วย”
นางมีธุระตั้งมากมายจะเอาเวลาที่ไหนมาศึกษาชิ้นส่วนตำราอะไรนี่
“ก็อาศัยที่ว่ามารเอ้อฝูซื่อหลัวแอบเก็บงำไม้เด็ดไว้ แถมเจ้าเอาของเขามาแล้วด้วย” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเหลือบมองนาง “ถ้าเขาโผล่มา เจ้ากลับไร้ไม้เด็ดมาใช้ปกป้องชีวิต เจ้าสู้เขาได้อย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซี “…”
ทิ่มแทงใจข้านัก!
ฉังคงนะฉังคง ของกำนัลปีใหม่ของเจ้าทำเอาข้าเหนื่อยตายแน่!
[1] เจินเหริน เป็นนักพรตผู้บำเพ็ญขั้นสูง บรรลุในมรรค
[2] ขอบเขตขั้นปราณทอง เป็นขอบเขตจากมนุษย์ก้าวสู่ขั้นเทพเซียน