คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 446 ข้าเรียกเจ้าว่าบรรพบุรุษน้อยก็ใช้ได้แล้วใช่หรือไม่
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 446 ข้าเรียกเจ้าว่าบรรพบุรุษน้อยก็ใช้ได้แล้วใช่หรือไม่
ตอนที่ 446 ข้าเรียกเจ้าว่าบรรพบุรุษน้อยก็ใช้ได้แล้วใช่หรือไม่
ฉินหลิวซีให้เถิงเจากับวั่งชวนไปพูดคุยกับฉินหมิงฉุน และเที่ยวชมสำนักศึกษาจือเหออันมีชื่อเสียง แต่ตัวเองกลับนั่งลง มองไปยังเจ้าสำนักศึกษาถัง
“อาการปวดหัวกำเริบหรือ”
เจ้าสำนักศึกษาถังใช้สองนิ้วมือดันศีรษะเอาไว้ พลางเอ่ยส่งๆ ด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “อาจเป็นเพราะเมื่อคืนออกมาตากลมกลางดึก รู้สึกไม่ค่อยสบายที่ศีรษะ”
ฉินหลิวซีก็ไม่ได้เปิดโปงเขา เพียงยื่นมือออกมา ฝ่ายหลังก็ยื่นข้อมือออกมาให้แต่โดยดี
เหยียนฉีซานเห็นฉินหลิวซีใช้สองนิ้วทาบลงไป เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูท่าทางเหมือนเป็นหมอจริงๆ?
เจียงเหวินหลิวกลับนึกถึงที่นางเอ่ยอยู่หน้าประตูจวนตระกูลติง ‘หากท่านย่าของข้าเป็นอะไรขึ้นมาจนร่างกายรับไม่ไหว ตระกูลติงก็คือคนที่ฆ่าท่านย่าของข้า’ มีความรู้ทางการแพทย์อยู่จริง?
เขาจ้องมองฉินหลิวซี ทำให้นางต้องเล่นไปตามบท
ฉินหลิวซีจับชีพจรให้เจ้าสำนักศึกษาถัง และตรวจดูลิ้นของเขา “มีเสมหะ นอนหลับไม่ลึก ฝันมาก สองสามวันนี้อากาศเย็น หรือว่ากินหม้อไฟมากเกินไป”
“มีลูกศิษย์ส่งกวางทั้งตัวมาให้ จุ่มลวกในหม้อไฟ กินแล้วสดชื่นมาก ยังมีเหล้าอุ่นอีกหนึ่งกา ข้าก็เลยกินมากสักหน่อย” เจ้าสำนักศึกษาถังตอบ
ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน นางเดินไปที่โต๊ะยาวหน้าแคบ เอ่ยพลางจัดของไปด้วย “หน้าหนาวหลีกเลี่ยงดื่มเหล้าไม่ได้ แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไป เหล้าทำให้เสมหะชื้น เมื่อกินหม้อไฟเข้าไปอีก เสมหะอุดตัน ท่านจึงรู้สึกปากคอแห้งผาก ตื่นกลางดึกบ่อยๆ ทำให้นอนหลับได้ไม่ดี”
นางเขียนใบสั่งยา เดินมามองที่เขาพลางเอ่ย “ท่านยังมีโรคหัวใจ แก่จนอายุเกินครึ่งร้อยมาแล้ว บำรุงรักษาสุขภาพสักหน่อยเถิด”
น้ำเสียงนางอาจดูไม่ค่อยให้ความเคารพนัก
แต่เหยียนฉีซานกลับมองคนทั้งสองด้วยความสนใจ ใช้น้ำเสียงแบบนี้สนทนากัน นั่นหมายความว่าทั้งสองคนโดยปกติไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยๆ
เจ้าสำนักศึกษาถังกระแอมขึ้นเบาๆ “รู้แล้ว ปีนี้เจ้าก็อย่าส่งของขวัญอะไรมาให้ข้าอีก แค่เหล้าสักไห ธูปหอมสักกล่องกับยันต์แคล้วคลาดสักสองสามแผ่นก็พอ”
ปลายนิ้วฉินหลิวซีสะบัด “เพิ่งจะบอกว่าเหล้าทำให้เสมหะชื้น ท่านยังจะเอาเหล้าอีก ไม่มีให้หรอก”
“เหล้าที่เจ้ากลั่นเองกับมือย่อมไม่เหมือนของที่อื่น ข้าไม่ได้ดื่มบ่อยๆ แค่จิบสองจิบ” เจ้าสำนักศึกษาถังร้อนรน ปัญหาคือไม่ใช่เขาไม่อยากดื่มบ่อยๆ แต่เหล้ามีน้อย ตัดใจดื่มไม่ลง มาตอนนี้นางบอกว่าไม่มีให้ แล้วเสบียงของเขาเล่า จะทำอย่างไร
เหยียนฉีซานก็เป็นนักดื่ม เห็นเพื่อนรักเป็นอย่างนี้ เขาก็เอ่ยขัดขึ้น “เหล้าอะไร สองวันนี้ไม่เห็นเจ้าเอาเหล้าดีออกมาเลี้ยงข้า เหล่าถัง เจ้าเก็บไว้กินคนเดียว”
เจ้าสำนักศึกษาถังหัวเราะ “ไม่มีอะไร เหลือไม่กี่แก้ว กลัวเจ้าดื่มไม่สาแก่ใจ ยิ่งไม่ดี”
“ข้าไม่ถือ”
เจ้าสำนักศึกษาถัง “…”
เหยียนฉีซานมองไปยังฉินหลิวซี เอ่ยยิ้มๆ “เหล่าถังบอกว่าเจ้าเป็นนักพรตเต๋า ยังมีความรู้ด้านการแพทย์ด้วยหรือ”
“‘สิบเต๋าเก้าวิชาแพทย์’ เสวียนเหมินนอกจากศาสตร์ทั้งห้าแล้วยังมีการแพทย์อีกศาสตร์หนึ่ง ข้าพอมีความรู้นิดหน่อยเจ้าค่ะ”
เหยียนฉีซานจึงยื่นมือออกมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจับชีพจรให้ข้าสักหน่อย ดูทีว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่”
“ใช่ เขาพาลูกศิษย์เที่ยวเสาะแสวงหาความรู้ไปทั่ว ปีนี้ไม่รู้ได้ดูแลรักษาสุขภาพหรือไม่ เจ้าก็จับชีพจรให้เขาดูสักหน่อย” เจ้าสำนักศึกษาถังเอ่ย
ฉินหลิวซีถึงได้จับมือของเขามากดดูชีพจร ตรวจดูลิ้นและดวงตา “ท่านเหยียนร่างกายแข็งแรงพอใช้ได้ เพียงแต่อายุมากแล้ว แต่ยังท่องเที่ยวไปทั่ว ร่างกายย่อมมีเสื่อมลงเป็นธรรมดา”
เหยียนฉีซานไม่ได้เอ่ยตอบอะไร แต่เจียงเหวินหลิวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารินน้ำชาที่วางอยู่ใกล้มือให้คนทั้งสี่ พลางถามอย่างร้อนใจ “เสื่อมไปอย่างไร”
“คุณชายไม่ต้องร้อนใจไป ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง เพียงแต่เลือดลมในร่างกายอ่อนแอไปเล็กน้อย ธาตุน้ำและทองอ่อนกำลัง คอแห้ง ตาพร่าลาย ตกกลางคืนเมื่อจะเข้านอนมักมีไข้ และไอนิดหน่อยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นี่ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกหรือ เจียงเหวินหลิวฟังแล้วรู้สึกตัวชา เขามองไปยังอาจารย์ของตน
เหยียนฉีซานฟังแล้วรู้สึกทึ่ง ตอนนอนมีอาการไอเล็กน้อยก็สามารถตรวจรู้ได้งั้นหรือ
“สภาพชีพจรเต้นห่าง ล้วนเป็นลักษณะอาการทางร่างกายของท่านบอกข้า” ฉินหลิวซีมองไปยังใบหน้าของเจียงเหวินหลิวที่เกิดความรู้สึกผิด พลางเอ่ย “ข้าบอกแล้วว่านี่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงสามารกรักษาได้ กินยาสักขนานก็หาย ที่สำคัญแต่ละวันต้องถนอมรักษาสุขภาพบำรุงร่างกาย ถึงอย่างไรคนอายุมากย่อมรู้ชะตาชีวิตตัวเองดีอยู่แล้ว คำสอนเต๋ากล่าวไว้ การถนอมรักษาสุขภาพร่างกาย ต้องเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยถึงจะอายุยืน”
เจียงเหวินหลิวประสานมือคารวะฉันหลิวซี “ถ้าอย่างนั้นเชิญ…” คำพูดของเขาชะงักไป อยู่ๆ ก็ไม่รู้จะเรียกนางว่าอย่างไรดี
“ท่านถังบอกแล้วว่าข้าเป็นนักพรตหญิง นามเต๋าปู้ฉิว บ้านข้าแซ่ฉิน”
“นางยังเป็นเจ้าอาวาสน้อยของเหล่านักพรตเต๋าในอารามชิงผิง” เจ้าสำนักศึกษาถังเสริม
เจียงเหวินหลิวรีบเอ่ย “อย่างนั้นรบกวนเจ้าอาวาสน้อยเขียนใบสั่งยาให้ท่านอาจารย์ข้า”
“ไม่ต้องรีบ” ฉินหลิวซีมองไปยังเหยียนฉีซาน ถามว่า “โรคข้ออักเสบที่ขาท่านจะรักษาหรือไม่ ถ้าหากอยากรักษาข้าจะฝังเข็มให้ท่าน และจะเขียนใบสั่งยาให้”
“ตั้งแต่ข้าเข้ามาจนถึงตอนนี้ ท่านคลึงหัวเข่าหลายครั้ง อย่างน้อยมีห้าครั้ง ร่างกายท่านหนาวสั่น ท่านสวมเสื้อหนาเพียงนี้ เตาไฟอยู่ใกล้ท่านมาก แต่หน้าผากท่านไม่มีเหงื่อสักหยด เห็นได้ว่าความเย็นทำลายพลังหยางของท่าน”
เหยียนฉีซาน “…”
เจ้าสำนักศึกษาถังขมวดคิ้ว “จ้งชิง ไยเสี่ยวซีจึงเช่นนั้น”
สีหน้าเจียงเหวินหลิวซีดลงเล็กน้อย เขากับเหยียนฉีซานท่องเที่ยวไปทั่วมาได้ครึ่งปี ตนเป็นผู้คอยดูแลปรนนิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิด แต่กลับไม่ละเอียดรอบคอบเหมือนนักพรตน้อยที่เพิ่งรู้จัก อาจารย์เป็นโรคข้ออักเสบแต่เขากลับไม่รู้เลย
เหยียนฉีซานเห็นสหายไม่พอใจ แถมลูกศิษย์ยังมีท่าทางซึมเซา เขาจึงเอ่ยขึ้น “ก็คือ พอเข้าฤดูหนาวก็รู้สึกว่าปีนี้ข้าขี้หนาวกว่าปีที่แล้ว แต่ยังรับมือไหวจึงไม่ได้ใส่ใจ พวกเจ้าอย่าเป็นแบบนี้ แม่นางน้อยผู้นี้ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ร้ายแรงอะไร”
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างใจเย็น “ถ้ารักษา ปัญหาก็ไม่ใหญ่โต แต่ถ้าไม่ถนอมร่างกาย ปัญหาจะลุกลามไปใหญ่”
เหยียนฉีซานคิดในใจ วิญญาณบรรพบุรุษ ข้าเรียกเจ้าบรรพบุรุษน้อยก็ใช้ได้แล้วใช่หรือไม่ เจ้ารีบหยุดปากเถิด อย่าสุมไฟเติมน้ำมันให้ลุกลามไปมากกว่านี้เลย
“แบบนี้แน่นอนว่าต้องรักษาแล้ว เสี่ยวซี รีบฝังเข็มให้เขาเร็ว ไม่ต้องมองหน้าข้า ไม่ถึงตายไม่รู้สึก” เจ้าสำนักศึกษาถังรีบเอ่ย
เหยียนฉีซานและเจียงเหวินหลิว “!”
ฉินหลิวซีจึงปลดถุงผ้าใบใหญ่ที่คาดเอว นำกล่องเข็มออกจากถุงมาเปิด มองไปที่ประกายวาววับดังแสงจันทร์ของเข็มเงิน
ที่แท้ถุงผ้านั่นใส่ของแบบนี้เอาไว้ เป็นแม่นางที่ไม่เหมือนสตรีทั่วไปจริงๆ
เมื่อเจียงเหวินหลิวเดินมาข้างๆ ช่วยอาจารย์กับฉินหลิวซีม้วนขากางเกงขึ้น และคลายเสื้อออกเล็กน้อย
ฉินหลิวซีทำความสะอาดจุดที่ต้องฝังเข็ม นางฝังเข็มไปพลางเอ่ยไปพลาง “ตอนนี้ท่านยังรู้สึกว่ารับไหว ที่จริงแล้วเป็นเพราะปีนี้อาการเพิ่งจะกำเริบ โรคข้ออักเสบทำให้อยู่ๆ เกิดอาการกลัวความหนาวขึ้นโดยฉับพลันได้ ในฤดูร้อนแม้ความเย็นเข้าแทรกในร่างกายก็ถูกขจัดออกไปได้จนหมด แต่เมื่อเข้าฤดูหนาว แน่นอนว่าจะรู้สึกถึงความเย็นที่กัดกินขา”
“หรือว่าเจ้าไปแช่ในน้ำตก?” เจ้าสำนักศึกษาถังรู้สึกแปลกๆ
“ไม่มีเรื่องอย่างนั้นหรอก”
“ท่านอาจารย์ ท่านลืมไปแล้ว ท่านกับเจ้าสำนักศึกษาเลี่ยวจากสำนักศึกษาถงเซิ่งต้มชากันในบ่อน้ำเย็นที่มีอยู่แห่งเดียวในสำนักศึกษา พอดีว่าในตอนนั้นเป็นฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าว ท่านอยากจะคลายร้อนจึงลงแช่ในบ่อน้ำเย็น” เจียงเหวินหลิวเอ่ยถึงเรื่องเก่าในฤดูร้อน เขารู้สึกขัดเคืองใจ และทอดถอนใจในเวลาเดียวกัน ไม่รู้สึกตัวเลยว่าท่านอาจารย์ถึงวัยที่ต้องบำรุงสุขภาพร่างกายอย่างจริงจังแล้ว
เหยียนฉีซานยิ้มอย่างเก้อเข้น “แช่แค่พักเดียวก็เท่านั้น”
ฉินหลิวซีดึงเข็มออกมาอีก แล้วถือโอกาสฝังเข็มให้เจ้าสำนักศึกษาถังอีกคน
ในขณะที่คาเข็มเอาไว้ นางเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ท่านเหยียนอาการภายนอกไม่ร้ายแรง แต่ท่านลองนึกดูให้ละเอียดสักหน่อยว่าเคยไปสถานที่ที่มีพลังปีศาจหยินมาบ้างหรือไม่”
ทุกคนหัวใจเต้นรัวเร็ว นี่หมายความว่าอะไร