คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 447 ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ตอนที่ 447 ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
เคยไปสถานที่ที่มีพลังปีศาจหยินมาบ้างหรือไม่ ฉินหลิวซีถามอย่างนี้ ทำให้เหยียนฉีซานจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เจียงเหวินหลิวรู้สึกสว่างวาบในหัว “เจ้าอาวาสน้อยถามเช่นนี้ หรือว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับร่างกายของท่านอาจารย์?”
เจ้าสำนักศึกษาถังรู้ดีถึงความสามารถของเด็กสาวคนนี้ว่าทำอะไรได้บ้าง บวกกับนางไม่เคยยิงธนูพลาดสักดอกเดียว[1] โดยเฉพาะเมื่อนางมีคำถามเช่นนี้กับคนแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้า นางคงจะเห็นว่ามีตรงไหนสักแห่งที่ไม่ปกติ
“เสี่ยวซี นี่เจ้ากำลังบอกว่าจ้งชิงไปเจออะไรไม่ดีเข้าแล้วงั้นหรือ”
เจออะไรไม่ดี?
เหยียนฉีซานกับเจียงเหวินหลิวรู้สึกตกใจ พูดไม่ออก หันไปเอ่ยกับเจ้าสำนักศึกษาถัง “ความจริง คำสอนของขงจื่อไม่เชื่อเรื่องอำนาจลี้ลับ หรือภูติผีวิญญาณ”
เจ้าสำนักศึกษาถังหัวเราะอย่างใจเย็น “เจ้าไม่รู้อะไร เด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่ไม่มีอะไรกลับบอกว่ามี นางเป็นคนในเสวียนเหมิน มีความสามารถหยั่งรู้ทำนองนั้น เด็กน้อยเจ้ารู้อะไรก็เอ่ยออกมาเถิด เขากำลังมีปัญหาอะไร”
ฉินหลิวซีจิบชาคำหนึ่ง “ปัญหาไม่ใหญ่…”
ทั้งสามคนฟังสองสามคำนี้รู้สึกตัวชา
เมื่อสักครู่นางบอกว่าปัญหาสุขภาพของเหยียนฉีซานไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่กลับเป็นเรื่องขาดเลือดลมอะไรนั่น ธาตุน้ำและทองอ่อนกำลัง มีอาการข้ออักเสบ นั่นเป็นปัญหามากมายจริงๆ
ตอนนี้นางก็เอ่ยอีกว่าปัญหาไม่ใหญ่ คงจะไม่ใช่พูดตรงกันข้ามหรอกนะ เหยียนฉีซานเห็นเข็มยังไม่ถูกดึงออกจากตัว อยู่ๆ เขารู้สึกถึงความเย็นแทรกซึมเข้าร่างกาย ไม่ต้องเอ่ยว่าเดิมทีไม่นึกกลัว ทว่าตอนนี้กลับเริ่มกลัวแล้ว
“เจ้าไม่ต้องพูด แค่เริ่มหัวใจข้าก็เต้นเร็วแล้ว” เจ้าสำนักศึกษาถังกุมหน้าอก อยากจะควานเข้าไปในแขนเสื้อหายาบำรุงหัวใจที่พกติดตัวมาหลายปี” ซึ่งเป็นยาที่ฉินหลิวซีปรุงให้
ฉินหลิวซียิ้มอย่างปลอบโยน “ไม่ต้องกลัว ไม่ใช่ปัญหาใหญ่จริงๆ เพียงข้าเห็นว่าท่านเหยียนมีพลังหยินอยู่บ้าง”
ทุกคนต่างถอนหายใจ
พลังหยิน พูดเรื่องเลือดลมอ่อนกำลังไปหมดแล้ว เขายังมีโรคข้ออักเสบอีก มีพลังหยินอยู่กับตัวก็เป็นเรื่องปกติ
ฉินหลิวซีเอ่ยมาอีกประโยคอย่างไม่มีใครคาดคิด “เป็นการสัมผัสพลังหยินของพวกพลังปีศาจหยิน ไม่ก็สิ่งชั่วร้ายที่คอยก่อกรรมชั่ว”
ทุกคน “?”
“เจ้าหมายความว่าเขาไปเจออะไรไม่ดีเข้าจริงๆ หรือ” เจ้าสำนักศึกษาถังเบิกตาโพลง
ฉินหลิวซีพยักหน้า “จะเอ่ยเช่นนี้ก็ได้เจ้าค่ะ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่…”
“เช่นนั้นปัญหามันคืออะไรกันแน่” เจ้าสำนักศึกษาถังมองนางอย่างอดรนทนไม่ไหว “เจ้ารีบๆ พูดมา อย่าเลี้ยวไปเลี้ยวมา โรคหัวใจของข้าจะกำเริบแล้ว”
ฉินหลิวซีประกบนิ้วมือ หันไปทางด้านหน้าของเหยียนฉีซาน กดนิ้วมือพลางดึงบางสิ่ง เส้นสีเงินเส้นหนึ่งถูกนางดึงออกมา พลังหยินพันรอบปลายนิ้วมือ มืออีกข้างหนึ่งก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วกำจัดมันต่อหน้าคนหลายคนตรงนั้น ปากท่องคาถาคำหนึ่ง “หมิง”
คนในที่นั่นรู้สึกสว่างวาบที่ตา จำต้องหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงลืมตาขึ้น นี่มันเรื่องอะไรกัน
“นี่คือพลังหยิน” ฉินหลิวซียกปลายนิ้วมือที่มีพลังหยินพันรอบอยู่
เจ้าพลังหยินก้อนสีเทาเตรียมจะหนี
ทุกคนเงียบสนิท ไม่มีเสียงสักแอะเดียว
เมื่อฉินหลิวซีดีดนิ้ว กลุ่มก้อนพลังหยินนั่นก็หายวับไป
เจียงเหวินหลิวนิ่งไป เรื่องอำนาจลี้ลับ ภูติผีวิญญาณนั่น
“นั่นคือ?” เหยียนฉีซานงงงันไป พลังมีรูปร่างหรือ
“พลังหยิน ปกติแล้วเป็นพวกภูติผี วิญญาณ หรือพวกปีศาจ หรืออีกอย่างคือพวกที่เกิดสถานที่เช่นสุสาน” ฉินหลิวซีอธิบาย “ข้ามองท่าน ก็เห็นว่าบนตัวท่านมีสายใยนี้อยู่ ดังนั้นร่างกายท่านจะรู้สึกหนาวเย็นขึ้นไปอีก หากพลังหยินรุนแรง ลมปราณท่านก็จะยิ่งถดถอย จนถึงขั้นมีผลต่อโชคชะตาของคนคนนั้น”
“มีผีสิงหรือ” เจ้าสำนักศึกษาถังมองไปรอบๆ
ฉินหลิวซีหัวเราะพลางส่ายหน้า “สถานที่ศึกษาหาความรู้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของปัญญาชนแบบนี้ มีแต่บรรยากาศแห่งเทพเหวินชาง เทพแห่งการศึกษา โดยทั่วไปภูติผีไม่กล้าเข้ามาก่อความวุ่นวาย”
“ข้าหมายถึงพวกภูติผีวิญญาณทั่วๆ ไป”
“นั่นต้องเป็นวิญญาณที่มีพลังรุนแรงอย่างแน่นอน แต่วิญญาณร้ายที่เฉลียวฉลาดจะหวงแหนพลังวิญญาณของมัน ถึงจะอยากหลอกคนก็จะไม่เข้ามาในสำนักศึกษา เพราะพลังของที่นี่เทียบเท่ากับพลังความสามารถของท่านปรมาจารย์ ซึ่งจะกดพลังของพวกมันเอาไว้” ฉินหลิวซีอธิบายต่อ “เส้นด้ายบนตัวท่านเบาบาง ข้าเห็นรอบๆ ตัวท่านค่อนข้างโปร่ง สะอาด ดังนั้นจึงได้บอกว่าปัญหาไม่ร้ายแรง”
เจียงเหวินหลิวยกน้ำชาดื่มอึกใหญ่ เขาถามนาง “ถ้าอย่างนั้นที่ท่านดึงพลังหยินออกไป แปลว่าอาจารย์ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ข้าไม่รู้ว่าท่านเหยียนไปสัมผัสจากที่ไหนมา แต่เห็นได้ว่าหน้าตาท่านไม่ได้ถูกปีศาจรังควาน เมื่อขจัดพลังนั่นออกไปก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”
“เจ้าสามารถดูราศีของใบหน้าได้หรือ” เหยียนฉีซานเกิดความตื่นเต้น ชี้มือไปยังเจียงเหวินหลิวแล้วถามนางว่า “เจ้าดูลูกศิษย์ข้าคนนี้ ราศีเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าดูเป็นนิดหน่อย “ฉินหลิวซีมองไปก่อนจะเอ่ยว่า “บนตัวคุณชายเจียงมีพลังมงคลหนาแน่น มีดาวเหวินชาง[2]อยู่ในตัว คิดดูแล้วไม่นานคุณชายต้องสอบได้ ถ้าหากคุณชายเป็นขุนนาง เหล่าประชาจะอยู่เป็นสุข หากเป็นอาจารย์ ก็จะเป็นผู้มีชื่อเสียงด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะไปทางไหน พลังมงคลนี้ไม่มีแตกซ่าน มีคนดีมีความสามารถเช่นท่าน เป็นโชคดีของราชวงศ์ต้าเฟิงแล้ว”
เหยียนฉีซานได้ฟังก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง เขามองไปยังเจ้าสำนักศึกษาถัง “ท่านดู ข้าได้ศิษย์ดีเป็นลูกศิษย์”
เจ้าสำนักศึกษาถังรู้สึกปวดใจอย่างยิ่ง แต่เมื่อคิดถึงชะตาของเจียงเหวินหลิวที่ฉินหลิวซีอ่านออกมาแล้วก็เอ่ยว่า “ใช่แล้ว เสี่ยวซีอ่านชะตาออกมาเป็นชะตาชีวิตที่ดี ความสามารถของนางไม่ธรรมดาเลยนะ”
เจียงเหวินหลิวกับฉินหลิวซีมองหน้ากัน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เมื่อครบเวลา ฉินหลิวซีช่วยดึงเข็มออกจากตัวเหยียนฉีซาน คลึงปิดรอยเข็มบนตัว “พรุ่งนี้ฝังเข็มอีกครั้งก็หายแล้ว
ในตอนนี้เหยียนฉีซานจึงได้รู้ว่าความรู้สึกที่ขากลับมา เขาขยับขาไปมา อุทานออกมาคำหนึ่ง “หัวเข่าไม่รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกแล้ว”
“วิชาการแพทย์ของนางดีมาก” เจ้าสำนักศึกษาถังเอ่ยอย่างภูมิใจ “ไม่ใช่เรื่องที่ปัญญาชนทั่วไปสามารถทำได้”
ฟังดูก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าสำนักศึกษาถังหมายความว่าอย่างไร
เหยียนฉีซานจึงเอ่ย “นั่นก็เป็นเพราะว่านางมีอาจารย์ที่ดี แต่ไม่ใช่เจ้าที่สอนนางอยู่ตลอดใช่หรือไม่ นอกจากสี่หนังสือห้าคัมภีร์ ดนตรี หมากล้อม อักษร และศิลปะภาพวาดแล้ว เจ้ามีหรือจะมีความรู้เสวียนเหมินจากศาสตร์ทั้งห้า”
“เป็นข้าสอนทั้งหมด หมากล้อมก็ข้าสอน นางเล่นเป็น”
“โอ้?” เหยียนฉีซานยั่วให้เพื่อนอยากเอาชนะ เขากล่าว “ฉยงจังก็เล่นหมากได้ไม่เลว ไม่สู้ให้พวกเขาประลองกันสักตาหรือไม่”
เจ้าสำนักศึกษาถังมองไปยังฉินหลิวซีที่กำลังดึงเข็มออกจากตัวเขา แอบกะพริบตาให้
เจียงเหวินหลิวเองก็คันไม้คันมืออยากแสดงฝีมือ
เขาเกิดมาในตระกูลสูงส่ง เคยพบเห็นหญิงสาวมากความสามารถมาไม่รู้เท่าใด แต่พวกนางล้วนถูกเลี้ยงดูจากครอบครัวตระกูลขุนนางเก่าแก่ให้อยู่ในกรอบ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบางคนนั้นมีความสามารถจริงๆ ไม่ได้มีแต่เปลือก แต่เล่นหมากกับสตรีนั้นเขายังไม่เคยลองเลยจริงๆ
ฉินหลิวซีผู้นี้เป็นคนน่าสนใจจริงๆ เห็นครั้งก่อนนางแกล้งทำตัวเป็นหญิงตกอับไร้มารยาท พบกันอีกครั้งนางเป็นเจ้าอาวาสน้อยแห่งสำนักเต๋า คุ้นเคยกันอีกหน่อยนางกลับเป็นหมอฝีมือดี ทั้งยังมีวิชาอาคมลึกลับ แล้วยังเดินหมากเป็นอีกงั้นหรือ
“หมากล้อม ข้าเล่นเป็นนิดหน่อยเท่านั้น” ฉินหลิวซีหัวเราะ “คุณชายไม่รังเกียจก็มาเล่นกันสักตาเถิด”
เจียงเหวินหลิวเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “สามารถแลกเปลี่ยนความรู้กับเจ้าอาวาสน้อย เป็นเกียรติของฉยงจังแล้ว”
เจ้าสำนักศึกษาถังเอ่ย “ข้ามีกระดานหมาก” เขาลุกขึ้นไปหยิบกระดานหมากอันวิจิตรที่เก็บรักษาไว้อย่างทะนุถนอมออกมา เหยียนฉีซานจ้องมองตาเป็นมัน
“ใครชนะ ได้กระดานหมากนี้เป็นรางวัล” เจ้าสำนักศึกษาถังมองไปยังสหายสนิท
เหยียนฉีซานจึงเอ่ย “อย่างนั้นข้าก็เป็นฝ่ายชนะ อีกเดี๋ยวก็จะได้มันมา”
ฝีมือการเดินหมากของศิษย์ตัวเองเขาย่อมรู้ดี อาจารย์ของเขาเรียกได้ว่าเป็นผู้คลั่งไคล้หมากล้อม ไต้ซือเสี่ยนฉงเจิน ในเมืองหลวงนั้นหาคู่ประมือได้น้อยนัก
ให้ฉินหลิวซีฉลาดแค่ไหน ส่วนใหญ่ก็ฝึกฝนแต่เสวียนเหมินห้าศาสตร์ การเดินหมากสำหรับนางก็คงจะเล่นเป็นนิดหน่อย
รอให้ลูกศิษย์ของเขาชนะได้กระดานหมากอันวิจิตรของถังจื่อมา เขาจะยืมมาเล่น เฮ้อ เป็นเรื่องดีจริงๆ!
[1] เปรียบเปรยหมายถึงฉินหลิวซีไม่เคยทำนายผิดพลาด
[2] ดาวเหวินชาง กลุ่มดาวเหวินชางนั้นมีทั้งหมด 6 ดวง ถ้าดาวเหวินชางนั้นปรากฏ หรือส่งผลต่อดวงชะตา แสดงว่ามีเป็นผู้สติปัญญาดี และมีฐานะที่ดีด้วย