คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 452 ใครกอบโกยเงินเก่งที่สุด
ตอนที่ 452 ใครกอบโกยเงินเก่งที่สุด
แม้ว่าไถชิงจะตายไปแล้ว แต่ดวงวิญญาณของนางยังอยู่ ความรู้สึกอัปยศอดสูยังไม่หายไปไหน
แม้เหยียนฉงเฮ่อรับปากจะแต่งงานกับนาง แต่เขาก็ตายไปแล้ว เกรงว่าคำสัญญาที่ออกจากปากไม่มีทางหาข้อพิสูจน์ได้ ไม่มีฐานะอะไรในบ้านเขา นางไม่มีหน้ารับหลานชายอายุมากขนาดนี้
ตอนนี้นางยังคงอยากหาเหยียนฉงเฮ่อให้พบ
“…สงสัยเขาจะกลับชาติมาเกิดเป็นคน ข้าอยากตามหาเขา หากเขากลับมาเกิดแล้วตามที่ท่านว่า ตอนนี้ก็อายุมากแล้ว หากเขายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็อยากรอจนกว่าเขาจะหมดอายุขัยและไปเกิดใหม่พร้อมกัน!” ดวงตาของไถชิงเป็นประกาย
ทุกคน “…”
ช่างเป็นผู้หญิงที่ยึดมั่นในความรักจริงๆ!
“หากยังไม่ไปเกิด อย่างนั้นก็ไม่แน่ว่าเขายังรอข้าอยู่?”
เหยียนฉีซานเอ่ย “นั่นมันเกือบร้อยปีมาแล้ว หากท่านปู่น้อยไม่ไปเกิดใหม่วิญญาณคงจะหายไปแล้วกระมัง?”
ไถชิงส่งสายตาเขม็งกลับไป
เหยียนฉีซานตัวสั่น แล้วรีบยอมรับผิด “หลานผิดไปแล้ว!”
ไถชิงเงียบไปครู่หนึ่ง นางหันไปมองฉินหลิวซี “ท่านปรมาจารย์…”
“ท่านทำให้ข้าลำบากใจ” ฉินหลิวซีถอนหายใจ
“ข้าไม่ให้ท่านลำบากเปล่าๆ ท่านต้องการทองสักเท่าไหร่ เชิญเรียกมาได้” ไถชิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย
ฉินหลิวซีพยักหน้าทีหนึ่ง “นี่…ที่จริงแล้วก็ไม่นับว่าลำบากเท่าไหร่”
เหยียนฉีซานและและคนอื่นอีกสองสามคนในที่นั้นมองไปยังฉินหลิวซี เมื่อสักครู่เจ้าเอ่ยอย่างนี้ออกไปจริงหรือ
เจ้าสำนักศึกษาถังแอบขยิบตาให้ ลูบใบหูที่แดงก่ำ ฉินหลิวซีจึงอธิบายให้เข้าใจว่า “คนในเสวียนเหมินก็สอนเรื่องบุญกรรม ใช้ยันต์แปดเหลี่ยมทำนายดวงชะตาราศี ที่จริงแล้วไม่ได้ทำเพื่อผลตอบแทน อารามชิงผิงก็เพิ่งเริ่มกลับมาเปิดได้สิบปีเท่านั้น ยังมีส่วนที่ต้องซ่อมแซมอีกมาก ทำอะไรก็ต้องใช้เงิน”
ฉินหลิวซีคิดในใจว่า ผู้คนรู้จักข้าในนามเจ้าอาวาส! ดังนั้นหากจ่ายทองมากพอ ที่ว่าเป็นเรื่องลำบากใจ ก็ไม่ลำบากอีกต่อไป
ไถชิงดีใจ “อย่างนั้นรีบใช้ยันต์แปดเหลี่ยมเถอะ”
ฉินหลิวซีไม่ขยับ นางถูมือไปมา
ไถชิงแสดงสีหน้าสื่อความหมายชัดเจน นางมองไปยังเหยียนฉีซาน “หลานชาย เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไร?”
“ท่านย่า?”
“อืม เซ่นไหว้ย่าเจ้าสักหน่อย เอาเงินทองจริงๆ ไม่เอากระดาษเงินกระดาษทองพวกที่เผามานั่น” ไถชิงแกล้งทำใจเย็นสงบนิ่ง แต่ในใจกลับรู้สึกผิด ที่หน้าด้านทำไปทั้งหมดก็เพื่อตามหาฉงเฮ่อ ของนอกกายพวกนี้นางไม่ได้สนใจ แต่ถึงเวลาจำเป็นต้องใช้หลานชายขึ้นมา นางก็ไม่เกรงใจ
เหยียนฉีซาน “!”
ใบหน้าเจียงเหวินหลิวหลุดหัวเราะ เพื่อที่จะขอยืมเงิน ภาพวิญญาณหญิงสาวที่ลุ่มหลงในความรัก ซึ่งไม่มีทางเปลี่ยนเป็นวิญญาณแค้นได้สลายหายไปแล้ว
เหยียนฉีซานหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกจากหีบสัมภาระยื่นให้ฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีรับมาพลางเอ่ย “ข้านั้นทนเห็นวิญญาณอาฆาตที่ติดอยู่กับความคิดถึงไม่ได้ ดังนั้นจะช่วยดูดวงชะตาให้” นางหัวเราะหึๆ
“ท่านรู้เวลาตกฟากของท่านปู่น้อยหรือไม่” ฉินหลิวซีหันไปถามเหยียนฉีซาน
เหยียนฉีซานหน้าแดง ตอบว่า “ข้าเคยเห็นสาแหรกวงศ์ตระกูล แต่ไม่ได้สนใจรายละเอียด ข้าอายุมากแล้ว ความจำไม่ค่อยดี”
“ข้าเข้าใจ” ไถชิงถลึงตามองเหยียนฉีซานทีหนึ่ง สายตาของนางบอกว่ามีเจ้าเป็นหลานชายมีประโยชน์อะไรกัน
เหยียนฉีซานเอามือถูจมูก อายุมากไม่ใช่ความผิดเขาสักหน่อย
ฉินหลิวซีใช้เวลาตกฟากที่ไถชิงส่งให้มาทำนายดวงชะตา นางนับนิ้วคำนวณพลางบอกผลทำนาย “ดวงจันทร์ในฤดูใบไม้ผลิ ห้าธาตุให้ระวังเรื่องน้ำ เสียชีวิตในยามเหม่า[1] ฝังศพลงดินยามเฉิน[2] เวลาตกฟากท่านปู่น้อยของท่านบ่งบอกดวงชะตาอ่อน”
เจียงเหวินหลิวมองหน้าอาจารย์ที่ทั้งโศกเศร้าและตื่นตกใจ อดไม่ได้หันไปมองฉินหลิวซีเต็มสองตา ทำนายได้แม่นยำแล้ว
ไถชิงคิดเรื่องในอดีตออกเรื่องหนึ่ง นางอุทานออกมา “ฉงเฮ่อเคยเล่าว่าเขาเคยพบนักพรตเต๋าผู้บำเพ็ญตบะ ท่านทักเขาว่าจะประสบอุบัติเหตุทางน้ำ ให้หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ ไม่อย่างนั้นอย่างเบาจะเจ็บป่วย อย่างหนักถึงแก่ชีวิต นี่เป็นเรื่องจริง”
ฉินหลิวซีมองไปยังเหล่าบัณฑิตที่อยู่ ณ ที่นั้น นางเอ่ยอย่างลึกซึ้ง “ขงจื่อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับ หรือภูติผีวิญญาณ ข้าเอ่ยอะไรไปแล้วก็แล้วกัน แต่บางครั้งเชื่อบ้างสักหน่อยไม่เสียหาย”
คนเหล่านั้นคิดในใจ อดทนให้ผ่านเรื่องราวประวัติศาสตร์สยองขวัญที่ยิ่งกว่าหนังสือในห้องเสียก่อน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว
ฉินหลิวซีดูคำทำนายต่อ ที่สำคัญคือหาดูว่าหลังจากตายแล้วไปเกิดในภพชาติใหม่ คิดคำนวณอยู่ครู่ใหญ่ นางอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เป็นอย่างไร หาเจอแล้วหรือ” ไถชิงรีบถาม
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “คำทำนายนี้แปลก ดูเหมือนว่ายังไม่ได้ไปเกิดใหม่”
“ร้อยปีแล้วยังไม่ไปเกิดใหม่ หรือว่าคำนวณผิดพลาดไป?” เจียงเหวินหลิวรู้สึกแปลกๆ
ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “คนบางคนตายแล้ว หากยังมีห่วงก็ยังไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้เอง ยังมีอีกเรื่อง เขาจมไปในน้ำ พวกเรากล่าวกันบ่อยๆ ว่าผีจมน้ำต้องหาคนมาแทนที่ เรื่องนี้มีมูล ไม่แน่ว่าเขาอาจยังหาคนมาแทนที่ตัวเองไม่ได้ จึงไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้”
ไถชิงเจ็บปวดใจ
เหยียนฉีซานรู้สึกร้อนรน “หากหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ หรือว่าปีแล้วปีเล่าเขายังอยู่ที่ก้นทะเลสาปนั่น?”
ช่างเป็นการตายที่หนาวเย็นนัก
ฉินหลิวซีเห็นเหยียนฉีซานกับไถชิงร้อนรนจนน้ำตาแทบร่วง นางปลอบโยนทั้งสอง “วางใจเถิด ตระกูลเหยียนแตกกิ่งก้านมีลูกหลานออกไปมาก ในทุกคืนข้ามปีเขาต้องได้รับการเซ่นไหว้จากชนรุ่นหลัง แม้ว่ายังไม่ได้ไปเกิดใหม่ แต่จะไม่หิวโหยเหมือนพวกวิญญาณเร่ร่อนภูติผีปีศาจ ไม่แน่ว่าอาศัยบุญกุศลและของเซ่นไหว้ที่ลูกหลานทำไปให้ ตอนนี้กลายเป็นผีใหญ่แห่งทะเลสาบลวี่หู ประสบความสำเร็จขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งบรรดาผีทั้งหลาย”
เหยียนฉีซานและไถชิงคิดในใจ ขอบคุณ แต่ข้าไม่รู้สึกได้รับการปลอบโยนแม้แต่น้อย!
เจ้าสำนักศึกษาถังถาม “อย่างนั้นเจ้ามีวิธีที่สามารถรู้ให้แน่ว่าที่แท้เขาไปเกิดใหม่แล้วหรือไม่”
“ก็ไม่เชิงว่าไม่มี แต่…”
เหยียนฉีซานหยิบตั๋วเงินออกมาอีกปึกส่งให้
“ดูท่านสิ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ฉินหลิวซีรับมาพลิกดู “เพียงแต่โบราณว่ามีเงินก็ทำให้ผีโม่แป้งได้ หากต้องการรู้ให้แน่ อย่างนั้นก็ไปถามคนที่ดูแลเรื่องนี้ ไม่สิ… ผีที่ดูแลเรื่องนี้น่าจะเหมาะกว่า”
ในหัวของทุกคนคิดถึงชื่อเดียวกัน ยมทูต
“ยมทูตชุยเป็นผู้ดูแลบัญชีอายุขัยการเวียนว่ายตายเกิด หากอยากจะรู้ว่าคุณชายเหยียนที่แท้ไปเกิดใหม่แล้วหรือยัง เชิญท่านมาถามก็รู้แล้ว” ในที่สุดฉินหลิวซีก็เอ่ยชื่อยมทูตออกมา
ดังนั้นตอนนี้พวกเขาไม่เพียงได้เห็นวิญญาณอายุร้อยปี ยังมีโอกาสได้พบยมทูตที่เล่าลือต่อกันมาอีกด้วย? บัณฑิตทั้งสามคนอยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ ไม่เพียงไม่กลัว แต่ยังรู้สึกตั้งตาคอยอย่างใจจดใจจ่อ
หากได้พบใต้เท้ายมทูตท่านนั้นจริง เรื่องนี้พวกเขาโอ้อวดได้ไปจนตายเลยไม่ใช่หรือ
แต่ไถชิงรู้สึกไม่ค่อยเชื่อ นางมองไปที่ฉินหลิวซีพลางถาม “ท่านยังสามารถอัญเชิญผีสางเทวดามาได้ด้วยหรือ” ปรมาจารย์ที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ อายุยังน้อยแต่มีความสามารถร้ายกาจอย่างนี้เลยหรือ
คนของอารามชิงผิดรวมกัน ไม่สิ มีเพียงข้าเจ้าอาวาสน้อยที่ทำได้ต่างหาก!
“พวกเรายังค่อนข้างสนิทสนมกัน ที่ว่าเชิญมานั้น สามารถทำได้ เพียงแต่…”
“รีบ ท่านรีบเชิญ ท่านต้องการเงินเท่าใด” เหยียนฉีซานยัดตั๋วเงินทั้งหมดใส่มือนาง “หากยังไม่พอ ข้ายังไปถอนออกจากร้านรับฝากเงินมาให้ได้อีก”
ในขณะที่เอ่ย เขายังนำเอาตราประทับส่วนตัวออกมา
เจ้าสำนักศึกษาถังมองไปยังจำนวนเงินที่เขียนอยู่บนตั๋วเงิน สองร้อยตำลึง แล้วหันไปมองฉินหลิวซี จะหาใครกอบโกยเงินเก่งที่สุด ต้องเป็นนางเท่านั้น!
“พอแล้ว” ฉินหลิวซีดึงตั๋วเงินออกมาหนึ่งใบอย่างขี้เหนียวส่งให้เจียงเหวินหลิว “ให้เด็กๆ ไปหอจุ้ยเซียนสั่งโต๊ะอาหารชุดเล็ก อาหารต้องมีเต้าหู้ขน เนื้อตุ๋น ตอนเย็นแบ่งอาหารส่งไปร้านเฟยฉางเต๋าในตรอกโซ่วสี่”
เจียงเหวินหลิวใช้มือหนีบตั๋วเงินบางๆ ใบนั้นมา และยังมองปึกตั๋วเงินเล็กๆในมือฝ่ายตรงข้าม สายตานางไม่มีความปวดใจโผล่มาให้เห็น เขาอดหลุบตาลงต่ำไม่ได้
นางเป็นนักพรตเต๋าที่มีความสามารถมากทีเดียว ทว่าช่างรักเงินและตระหนี่เสียจริง
[1] ยามเหม่า 05.00-07.00 น.
[2] ยามเฉิน 07.00-09.00 น.