คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 453 พวกเขาสามารถโม้ได้ไปจนตาย
ตอนที่ 453 พวกเขาสามารถโม้ได้ไปจนตาย
ในตอนพลบค่ำ ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ กลับมาที่ร้านเฟยฉางเต๋า
ในเมื่อต้องการเชิญยมทูค ก็ย่อมไม่ควรอัญเชิญมาที่สำนักศึกษา ประการแรกเพราะสำนักศึกษามีพลังคุณธรรม ประการที่สองมีศิษย์อายุน้อยจำนวนมาก ลูกศิษย์บางคนแปดอักษรเวลาตกฟากอ่อนแอ สามารถมองเห็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้ หากเจอเข้าจะไม่เป็นผลดีต่อพวกเขา
ดังนั้นฉินหลิวซีจึงเปลี่ยนสถานที่มาที่ร้านเฟยฉางเต๋า
เหยียนฉีซานกับเจียงเหวินหลิวรู้สึกว่าปรัชญาสามทัศน์[1]ของพวกเขาได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่อีกครั้ง นักพรตเต๋าแห่งอารามเต๋าสามารถเปิดร้านหารายได้อย่างคนธรรมดาทั่วไปได้
เอาเถิด หากกล่าวให้น่าฟังหน่อยก็คือขยายช่องทางในการสร้างบุญกุศล
อย่างไรเสียก็ย่อมดีกว่านักต้มตุ๋นเร่ร่อนที่เอาแต่ถือธงโบกไปมา
เจ้าสำนักศึกษาถังต้องอธิบายแทนฉินหลิวซีอีกสักหน่อย “อย่ามองว่านางเก็บเงินเก่ง เงินเหล่านี้ไม่ได้เข้ากระเป๋านางทั้งหมด ส่วนใหญ่ใช้เพื่อซ่อมแซมอารามเต๋าและทำการกุศล ทุกปีอารามชิงผิงจะทำความดีสร้างบุญกุศล แม้แต่สำนักศึกษาของพวกเราก็ยังได้รับบริจาคบางส่วนจากนาง”
ฉินหลิวซี “?”
เจ้าสำนักศึกษาถังมองนางด้วยสายตาเมตตาอ่อนโยน ปลื้มปิติอย่างยิ่ง “สำนักศึกษาจือเหอจะแขวนชื่อผู้ที่ทำความดีผู้นี้ไว้บนป้ายจารึกความดี เพื่อให้ลูกศิษย์ได้เงยหน้าขึ้นมองแสดงความขอบคุณ”
แน่นอนว่าสำนักศึกษาจือเหอได้รับเงินบริจาคจากผู้มีน้ำใจ มิเช่นนั้นจะมีเงินมาซ่อมแซมสำนักศึกษาและเพิ่มตำราเรียนได้อย่างไร
สายตาเช่นนี้ ฉินหลิวซีเข้าใจทันที
ความศรัทธาก็เป็นพลังเช่นกัน
นางหยิบตั๋วเงินที่ยังถือได้ไม่ทันอุ่นออกมาด้วยความปวดใจแล้วยื่นไปให้ เอ่ย “การทำความดีไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้อย่างกว้างขวาง”
“จำเป็น จะปล่อยให้คนเข้าใจว่าเจ้าสนใจแต่ผลกำไรไม่ได้” เจ้าสำนักศึกษาถังแทบจะแย่งตั๋วเงินมาจากมือของนาง
ดูเหมือนว่าเขาจะค้นพบความสุขในการเก็บเงินแล้ว
เพื่อเป็นการตอบแทน เมื่อกลับไปเขาจะฝืนรับฉินหมิงฉุนเจ้าเด็กโง่ผู้นั้นเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายก็แล้วกัน
เจียงเหวินหลิวมองไปทางอื่น เอามือปิดปากพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้
รู้สึกขบขันอย่างอธิบายไม่ถูก
อาศัยโอกาสที่โต๊ะจัดเลี้ยงของหอจุ้ยเซียนยังไม่มาส่ง ฉินหลิวซีให้เฉินผีและคนอื่นๆ เตรียมธูปเทียน ใช้กระดาษเหลืองพับเป็นหยวนเป่าทองหนึ่งกองด้วยตัวเอง อีกทั้งยังปักใยขนเป็นม้ามังกรศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตชีวาหนึ่งตัว แต้มดวงตาด้วยชาดแดง
เหยียนฉีซานมองดูอยู่ด้านข้างอย่างสงสัย ไม่ลืมที่จะถามถึงความหมายของหยวนเป่าทองนี้
เฉินผีเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ในโลกมนุษย์ก็มีหยวนเป่าทองของโลกมนุษย์ ในยมโลกก็มีของยมโลกเช่นกัน ล้วนพิถีพิถันในความงดงามของมัน หยวนเป่าที่เจ้านายของพวกเราพับนั้น ย่อมมีความวิจิตรงดงามเป็นอย่างมาก หลังจากที่ถูกเผาแล้วก็จะตกไปอยู่ในมือของพวกเขา เหมือนกับของจริงที่พวกเราใช้”
“แล้วยังมีธูปนี้อีก ซึ่งแตกต่างจากธูปที่ขายที่อื่น เจ้าดูพี่สาวผู้นี้สิ สายตาดูพึงพอใจใช่หรือไม่ นั่นเป็นเพราะธูปนี้เจ้านายของข้าทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เพียงก้านเล็กๆ ก็ทำให้รู้สึกอิ่มเป็นอย่างมาก ร้านอื่นทำไม่ได้เช่นนี้” เฉินผีชี้ไปยังไถชิงที่ท่าทางพอใจ เอ่ยต่อไปว่า “แน่นอนว่าวัสดุที่พวกเราใช้ทำธูปมีราคาแพงกว่าวัสดุทั่วไป ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงผีธรรมดาทั่วไป แม้แต่ยมฑูตที่ไปๆ มาๆ ก็ยังชอบธูปที่เจ้านายจุดบูชาเป็นอย่างมาก”
ไถชิงอยากจะกล่าวแก้ตัวสักสองสามประโยค นางพึ่งเป็นผีครั้งแรก พึ่งตื่นขึ้นมาหลังจากหลับใหลเป็นร้อยปี ยังไม่เคยได้ลิ้มรสธูปอื่น ไหนเลยจะรู้ว่าดีหรือไม่ดี เพียงแต่รู้สึกว่าธูปของฉินหลิวซีนั้นอิ่มและหอมหวานเป็นพิเศษ รู้สึกพลังผีเพียงพอหลังจากได้กิน
“ธูปนี้ขายหรือไม่” เหยียนฉีซานถาม
เฉินผีส่ายหน้า “ไม่ขาย”
“ทำไมหรือ เพราะให้เงินไม่พอหรือ พวกเราสามารถให้มากกว่านี้ได้” เหยียนฉีซานรีบถามทันที
เฉินผีเหลือบมองฉินหลิวซี เอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่านค่อนข้างขี้เกียจ หากขายธูปนี้ ก็ต้องทำปริมาณมาก นางไม่ยอมทำหรอก”
อย่างไรเสียก็มีสิ่งต่างๆ มากมายที่ต้องทำในแต่ละวัน
เหยียนฉีซานและคนอื่นๆ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเหตุผลนี้
ในขณะนี้วั่นเช่อได้เดินเข้ามา บอกว่าหอจุ้ยเซียนได้ส่งโต๊ะจัดเลี้ยงมาแล้ว
หลังจากที่ยุ่งกับการทำงาน ลานด้านในของร้านเฟยฉางเต๋าก็ได้จัดของเซ่นไหว้กับโต๊ะจัดเลี้ยง ฉินหลิวซีจุดธูปศักดิ์สิทธิ์อัญเชิญวิญญาณ เดินก้าวเท้าตามตำแหน่งดาวทั้งเจ็ด และท่องคาถาโบราณ “ขออัญเชิญด้วยกลิ่นหอมอบอวล จงเปิดประตูสู่สวรรค์ ขออัญเชิญลงมาจากสวรรค์ วันนี้ฉินหลิวซีศิษย์อารามชิงผิงขออัญเชิญเทพผู้พิพากษาใต้เท้าชุย ผู้เป็นเจ้าโปรดมาโดยพลัน เพี้ยง!”
นางเคลื่อนไหวเท้าอย่างคล่องแคล่ว โยนยันต์เชิญเทพเจ้าออกไปหนึ่งแผ่น ยันต์แผ่นนั้นเผาไหม้ไปเอง ควันลอยขึ้นสู่ด้านบน
เจียงเหวินหลิวมองจนใจลอย ฉากอัญเชิญเทพเจ้านั้นดูประทับใจยิ่งกว่าการร่ายรำอันนุ่มนวลเหล่านั้นเสียอีก
สวรรค์และพื้นดินเคลื่อนไปทางซ้าย ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ส่องแสงไปทางขวา
หนึ่งเส้นแบ่งแยกภูเขาและแม่น้ำ หนึ่งดาบสยบปฐพี
เพียงเล็กน้อยก็ทำให้ผีหวาดกลัว แค่เศษเสี้ยวก็กำจัดปีศาจได้
คำพูดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัวของเขาโดยธรรมชาติ
เมื่อยันต์เผาไหม้เอง หัวใจของทุกคนก็เริ่มเต้นถี่อย่างอธิบายไม่ถูก จะเชิญมาได้จริงๆ หรือ
มีเพียงเฉินผีที่ยืนกอดอกอย่างมั่นใจ ไม่มียมฑูตตนใดที่นายท่านไม่สามารถเชิญมาได้ หากเชิญมาไม่ได้ นางจะไปตามจับที่ยมโลกด้วยตัวเอง
เพียงไม่กี่อึดใจ ทันใดนั้นลมพลันกระโชกแรง ทุกคนต่างตกใจ เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นเพียงความเคลื่อนไหวในความว่างเปล่า มือผีคู่หนึ่งฉีกชั้นบรรยากาศออกจากกัน เผยให้เห็นช่องว่าง
มีผีตัวใหญ่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าต่อตา
แต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำ สวมหมวกขุนนางทรงกลมบนศีรษะ ในมือถือใบเป็นตาย มีพู่กันยมทูตเหน็บอยู่ที่เอว หน้าตาโหดเหี้ยม ท่าทางดุร้ายเป็นอย่างมาก ทันทีที่ปรากฏตัว ก็ทำเอาบรรดาวิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นวิ่งหนีอุตลุด
เหตุใดยมฑูตจึงมาที่นี่ มาจับผีร้ายตนใดกลับไปลงโทษหรือ
เหยียนฉีซานและคนอื่นๆ ยืนเบียดกันตัวสั่นเทา เชิญมาได้จริงๆ ด้วย ท่าทางดุร้ายและน่ากลัวเป็นอย่างมาก!
แต่นอกเหนือจากความกลัวแล้ว ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากด้วย
สวรรค์ ยมทูตผู้ยิ่งใหญ่มีอยู่จริง ซ้ำยังปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา แม่เจ้า พวกเขาสามารถโม้ได้ไปจนวันตาย!
เฉินผีเปิดเปลือกตาขึ้นเหลือบมองคนเหล่านั้น ส่ายหน้าอย่างเวทนา ท่าทางเช่นนี้ เป็นอย่างที่เจ้านายกล่าวไว้จริงๆ ทั้งขี้ขลาดทั้งอยากเห็น!
“ยมทูตชุย ทางนี้” ฉินหลิวซีโบกมือทักทายยมทูตราวกับทักทายสหายเก่า
ยมทูตชุยลงมาที่ลาน เหลือบมองแท่นบูชา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านเจ้าอาวาสน้อยยังจำข้าเหล่าชุยผู้นี้ได้อยู่หรือ เชิญข้ามามีเรื่องใด ซ้ำจัดพิธีอัญเชิญเช่นนี้ หากมีเรื่องอะไรเพียงแค่เรียกก็พอแล้ว”
ดูน้ำเสียงอันคุ้นเคยนี่สิ ไหนเลยจะเป็นเพียงแค่มิตรภาพเล็กๆ น้อยๆ
เจ้าอาวาสน้อยถ่อมตัวเกินไปแล้ว!
บางทีอาจเป็นเพราะสายตาที่จ้องมองของพวกเขาดูเกรี้ยวกราดเกินไป สายตาของยมทูตชุยจึงกวาดมองมา แฝงไว้ด้วยท่าทางคาดคั้นและดุร้าย ทำให้หลายคนตัวแข็งทื่อ ความหนาวเย็นพุ่งจากฝ่าเท้าขึ้นไปยันศีรษะ
ภายใต้สายตาของท่านนี้ พวกเขาราวกับว่าไม่สามารถซ่อนอะไรไว้ได้ ชาติก่อนและปัจจุบันล้วนถูกมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำเอาตกใจกลัวจนขาสั่น
ไถชิงตกใจกลัวจนวิญญาณอ่อนแรง กลั้นใจไม่หนีไปไหน
“มีทั้งคนและผี เจ้าอาวาสน้อยคิดจะทำอะไรหรือ” ยมทูตชุยมองไปยังไถชิง เปิดตาทิพย์ กล่าวว่า “ผีสาวตนนี้ตายมาแล้วร้อยปี เหตุใดยังไม่ไปรายงานตัวที่ยมโลกแล้วต่อแถวไปเกิดใหม่ คนกับผีมีเส้นทางที่แตกต่างกัน การอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไปไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อเจ้า เมื่อเวลาผ่านไปนาน ไม่เพียงแต่จะพลาดโอกาสไปเกิดใหม่จนกลายเป็นผีเร่ร่อน ซ้ำยังจะทำให้หยินหยางยุ่งเหยิง”
ไถชิงคุกเข่าลงบนพื้น โขกศีรษะคำนับสามครั้ง กล่าวด้วยความสั่นเทาว่า “ข้าน้อยคำนับท่านยมทูต ข้าน้อยเสียชีวิตนานแล้ว แต่วิญญาณกลับหลับไหลมาโดยตลอด พึ่งตื่นขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เพียงแค่อยากขอให้ท่านยมทูตสงสารข้าน้อย ช่วยบอกที่อยู่ของคนผู้หนึ่งแก่ข้าด้วยเถิด”
“เหลวไหล” ยมทูตชุยสะบัดแขนเสื้อ น้ำเสียงดุ “เจ้าคิดจะทำอะไร หากผีทุกตนต้องการให้ข้าบอกที่อยู่ของผู้อื่นเหมือนกันกับเจ้า จะไม่เป็นการรบกวนการเวียนว่ายตายเกิดหรือ”
การตำหนินี้ทำให้วิญญาณของไถชิงอ่อนแรงลงอีกเล็กน้อย
ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้า เอ่ยว่า “ยมทูตชุย อย่าโทษนางเลย ข้าเองก็อยากรู้”
“หืม? เป็นเจ้าอาวาสน้อยที่อยากรู้ คนผู้นั้นมีนามว่าอย่างไรหรือ” ยมทูตชุยรีบหยิบพู่กันออกมาทันที
บรรดาผี “!”
เป็นถึงยมทูต แต่กลับไร้ความเท่าเทียมเกินไปแล้ว!
[1] ปรัญญาสามทัศน์ มุมมองต่อชีวิต โลก และคุณค่า