คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 457 ข้าคิดว่านางเป็นคนดีเสียอีก
ตอนที่ 457 ข้าคิดว่านางเป็นคนดีเสียอีก
เหยียนฉีซานและคนอื่นๆ คิดไม่ถึงว่าเมื่อฉินหลิวซีเดินทางหยินในตำนาน ไม่เพียงแต่ไม่ใช้เครื่องราง ซ้ำยังเอาเด็กน้อยไปด้วย
เจียงเหวินหลิวมองเถิงเจา สายตาตกไปอยู่ที่วัตถุยาวที่ห่อด้วยผ้าไหมที่เขาแบกไว้ข้างหลัง ไม่รู้ว่าคืออะไร
ที่เท้าของเถิงเจายังมีถุงผ้าอีกหนึ่งถุง ใส่ของไว้มากมาย ดูท่าทางหนักมาก
ทางด้านฉินหลิวซีได้เริ่มร่ายคาถาแล้ว เหมือนตอนที่ท่านยมทูตมา ประตูอันมืดมิดถูกเปิดออกในความว่างเปล่า ด้านหลังประตูดูราวกับมีสัตว์ร้ายอ้าปากอันใหญ่โตของมันรอให้เหยื่อตกลงไปในกับดัก
“ตามข้าอย่างใกล้ชิด ไปกันเถิด” ฉินหลิวซีหยิบถุงผ้าใบใหญ่ที่อยู่ข้างเถิงเจาแล้วเดินเข้าไปก่อน เถิงเจาที่อยู่ข้างนางเดินตามเข้าไปด้วยเช่นกัน
เจ้าสำนักถังและคนอื่นๆ มองหน้ากัน จากนั้นก็รีบตามไป ทันทีที่เข้าไปพวกเขาก็หันกลับมาข้างหลังโดยไม่รู้ตัว ประตูหายไปในพริบตาราวกับว่าไม่เคยมีประตูอยู่
มีลมกระโชกพัดหมอกมืดมนรอบตัวกระจายออกไป ทำให้วิสัยทัศน์ชัดเจนขึ้น
ตรงหน้าเป็นถนนสายยาวที่ไม่มีสิ้นสุด สองข้างทางมืดสนิทไร้แสงสว่าง เงียบสงบเป็นอย่างมาก
แต่ความเงียบเช่นนี้กลับทำให้เจ้าสำนักศึกษาถังและคนอื่นๆ ใจเต้นรัวเหมือนกลอง กังวลจนเหงื่อชุ่มหลัง
เถิงเจาอยู่ข้างฉินหลิวซี มองไปรอบๆ อย่างสงสัย นี่ก็คือทางหยินหรือ
ฉินหลิวซีได้นำกระดาษที่วาดสัตว์ขนาดเล็กตัวหนึ่งออกมา ดูคล้ายกับแมวแต่ก็คล้ายกิเลนด้วย ก่อนจะร่ายคาถาไปยังสัตว์ตัวนั้น แล้วกล่าวว่า ‘ทะเลสาปลวี่หู อวี๋หัง’
สัตว์ตัวน้อยมีชีวิตขึ้นมาต่อหน้าต่อตาทุกคน
เท้าทั้งสี่ข้างยืนบนฝ่ามือ บนตัวของมันเปล่งประกายราวกับไข่มุก คลอเคลียอยู่บนฝ่ามือของฉินหลิวซีอย่างโหยหา ดวงตาเป็นประกายสดใสน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก
ทุกคนรู้สึกตื่นตะลึงอีกครั้ง
นี่คือวิชาอะไรอีก
“นี่คือสัตว์นำทาง เมื่อเราตามมันไป มันจะพาพวกเราไปยังจุดหมายปลายทางโดยที่ไม่ถูกผีอันธพาลเหล่านั้นบังตาทำให้เราเดินไปผิดทางจนเสียเวลา” ฉินหลิวซีกล่าวแนะนำสัตว์ตัวน้อย
“ก็เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นเพียงภาพวาดบนกระดาษ” เจียงเหวินหลิวจ้องไปยังสัตว์ตัวน้อยที่เปล่งประกาย แววตาเฉื่อยชา
“ก็เพียงแค่ร่ายคาถาเท่านั้น” ฉินหลิวซีแตะศีรษะสัตว์ตัวน้อย มันเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า ทุกคนจึงเดินตามไป
เจียงเหวินหลิวเห็นฉินหลิวซีถือถุงผ้าใบใหญ่ คิดว่าตัวเองเป็นถึงบุรุษรูปร่างสูงใหญ่แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย จึงเข้าไปดึงถุงผ้ามาจากฉินหลิวซี “ข้าถือเอง”
ทันทีที่แบกถุงผ้าใบนั้นก็รู้สึกว่าหนักมาก เอวเกือบหัก
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “มันไม่เบาเลย ท่านเป็นพวกศึกษาตำรา ถือไม่ไหวหรอก”
เจียงเหวินหลิวหน้าแดง “ข้าเห็นท่านถือมันอย่างสบายๆ ก็คิดว่าจะเบา”
“ข้าฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรเสียการจับผีหรือต่อสู้ก็ต้องใช้กำลัง จะปล่อยให้อ่อนแอเหมือนคนป่วยไม่ได้ ต่อสู้ยังไม่ทันเท่าไหร่ก็ปล่อยให้ผีชนะไปแล้ว” ฉินหลิวซีถือถุงผ้าขึ้นมาอีกครั้งพลางอธิบาย
“แล้วทำไมถึงพาเขามาด้วย” เจียงเหวินหลิวมองไปยังเถิงเจา
ฉินหลิวซีลูบศีรษะเถิงเจา เอ่ย “นี่คือลูกศิษย์ที่ต้องสืบทอดเสื้อคลุมของข้า อย่างไรก็ต้องเรียนรู้ไว้ด้วย”
เจียงเหวินหลิวอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังราวกับผีกำลังครวญคราง และตามด้วยเสียงหมาป่าหอน มีอะไรบางอย่างลอยหวือผ่านหน้าไป
“นั้นมัน ผะผะผะ ผี” เหยียนฉีซานและเจ้าสำนักศึกษาถังที่รวมอายุกันได้ร้อยกว่าปีกอดกันพลางมองไปข้างหน้าทางด้านขวาด้วยความหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทา
ฉินหลิวซีหันไปมอง เห็นผีที่ถูกบดขยี้จนเนื้อแหลกละเอียด ดูไม่ออกว่าเป็นร่างคนกำลังยืนอยู่ที่นั่น กำลังมองดูพวกเขาจากระยะไกล ลำไส้ห้อยออกมาข้างนอก ส่วนหนึ่งถูกเขาดึงออกมาพันเล่นในมือ
แหวะ
เจียงเหวินหลิวอาเจียนออกมา
แหวะ แหวะ
เจ้าสำนักศึกษาถังกับคนอื่นๆ ก็ไม่มีข้อยกเว้น อาเจียนออกมาจนหน้ามืด
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมฉินหลิวซีจึงแนะนำให้พวกเขากินมื้อเย็นน้อยๆ ที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุนี้เองหรือ
การได้สัมผัสประสบการณ์เดินทางหยินถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่
เวรกรรมจริงๆ!
ในขณะที่พวกเขากำลังอาเจียน ฉินหลิวซีได้หยิบเทียนขาวออกมาจากถุงผ้าแล้วโยนไปทางผีตนนั้น
ผีตนนั้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถือเทียนด้วยความดีใจ คุกเข่าให้ฉินหลิวซี “ขอบคุณท่านอาจารย์”
“เจาเจา เอายาบำรุงม้ามให้พวกเขาคนละเม็ด”
เถิงเจาหยิบขวดยาออกมาจากถุงที่เอวของเขา แจกให้คนละหนึ่งเม็ดไม่เกินไปแม้แต่เม็ดเดียว
เจียงเหวินหลิวรับมาแล้วเอาใส่ปาก เอ่ยขอบคุณแล้วถามอย่างสงสัย “เจ้าไม่กลัวหรือ”
เถิงเจาเหลือบมองเขา “ผียังไม่ได้ทำอะไรข้าเลย แล้วจะกลัวทำไม”
เจียงเหวินหลิวตกตะลึง แม้แต่เหยียนฉีซานกับเจ้าสำนักศึกษาถังต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น พวกเขาสู้ไม่ได้แม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ความกล้าหาญนี้สมแล้วที่เป็นผู้ที่เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ลัทธิเต๋าตั้งแต่อายุยังน้อย
ฉินหลิวซีภูมิใจเป็นอย่างมาก “สมแล้วที่เป็นศิษย์ข้า”
กลุ่มคนเดินต่อไปข้างหน้า ยิ่งไปข้างหน้าก็ยิ่งเจอผีที่ตายแปลกๆ มากขึ้นอีก เจียงเหวินหลิวและคนอื่นๆ ถึงกับเห็นผีหัวขาดถอดหัวของตัวเองแล้วเตะเล่นราวกับเป็นลูกตะกร้อ ซ้ำลูกตะกร้อนั้นยังกลิ้งมาอยู่ข้างเท้าของพวกเขา เบิกตาโตพลางเอ่ย ‘คุณชายช่วยเก็บหัวให้ข้าด้วยเถิด’
ทุกคนหยิกเนื้อนิ่มๆ ของกันและกันไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตกใจจนเป็นลมไป
ได้เห็นอะไรมากมายจริงๆ
ว่ากันว่าเมื่อพบเห็นมากๆ ก็จะไม่กลัว เมื่อเดินไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีผีน้อยจอมซนหัวเราะพลางเข้ามาปิดตาพวกเขา พวกเขาก็เริ่มสงบลงแล้ว
เมื่อเห็นว่าทุกครั้งที่ฉินหลิวซีเจอผี ก็จะหยิบเทียนออกมาจากถุงใบใหญ่แล้วโยนไปทางพวกเขา ผีตนใดที่ได้รับเทียนก็จะดีใจจนตัวสั่น จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณฉินหลิวซี
ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ แต่พวกเขามักรู้สึกว่าร่างกายของฉินหลิวซีปกคลุมไปด้วยชั้นแสงสีทอง แต่แสงสีทองนั้นเหมือนถูกบางอย่างดูดไป เพียงครู่เดียวก็ไม่เห็นแล้ว
“ในถุงของเจ้าล้วนเป็นเทียนหมดเลยหรือ” เจียงเหวินหลิวถาม
ฉินหลิวซีหยิบเงินกระดาษออกมาจำนวนหนึ่งแล้วโยนออกไป “ยังมีเงินกระดาษด้วย”
“นี่คือเงินซื้อทางหรือ” เหยียนฉีซานถามอย่างสงสัย
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ไม่ใช่ สัมภเวสีที่เร่ร่อนไปตามทางหยินล้วนไม่มีใครเซ่นไหว้ มักจะหิวโหย ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถรักษาร่างเดิมเอาไว้ได้ ทำได้เพียงเดินเร่ร่อนไปในลักษณะตอนที่ตาย ใกล้จะถึงตรุษจีนแล้ว ถือเสียว่าเป็นการเลี้ยงมื้อเย็นกับแจกเงินกระดาษล่วงหน้าก็แล้วกัน”
ทุกคนเงียบไป มีบางอย่างพลุ่งพล่านอยู่ในใจ
จะว่านางเห็นแก่เงินทองก็ไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป นางยังมีความเมตตาต่อผีเร่ร่อนเช่นนี้
นางช่างดีเหลือเกิน!
ในขณะที่พวกเขากำลังประทับใจในความดีของฉินหลิวซี ฉินหลิวซีก็โยนถุงทิ้งไป กำชับเถิงเจาว่า “เอาเครื่องรางที่ท่านอาจารย์ปู่ของเจ้ามอบให้ออกมา เชือดผีอ้วนเหล่านั้นที่กล้ามาแย่งของกินให้อาจารย์เดี๋ยวนี้!”
เถิงเจาไม่ลังเลแม้แต่นิด ปลดของที่แบกไว้บนหลัง ถอดผ้าคลุมออก ถือดาบไม้ท้อที่ไม่สะดุดตานัก แต่ได้รับการแกะสลักอักขระที่ซับซ้อนเอาไว้ และใช้ด้ายแดงร้อยเหรียญทองแดงพันไว้
“ดูมันมีหัวอ้วนและมีหูขนาดใหญ่ ใช้คำสาปสังหารหมูจัดการมันเลย” ฉินหลิวซีกล่าวชี้แนะ
ผีแย่งอาหาร “…”
จะตีข้าก็ได้ แต่อย่าดูถูกเช่นนี้ได้หรือไม่
เถิงเจาเชื่อฟังเป็นอย่างมาก เริ่มท่องคาถา “ข้านับถือสามสิบสามดวงดาว คำสั่งสังหารแห่งเจ้าลัทธิเต๋าเจ็ดสิบสองประการ ปล่อยไปตามโซ่ตรวนทองแดง พันดาบสังหารไม่หมด หมื่นดาบสังหารไม่ได้…”
เขาโยนยันต์ออกไปก่อน แกว่งดาบพุ่งเข้าหาผีเหล่านั้น เช้ง!
ผีแย่งอาหารพากันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ความโลภเป็นบาป ตายไปก็ยังเลิกไม่ได้ เขาหมกมุ่นอยู่กับมันมากจนกล้าแย่งอาหาร!
ข้าหยุดแล้ว!
เหยียนฉีซานและคนอื่นๆ เอาแขนเสื้อบังหน้า “…”
ข้าคิดว่านางเป็นคนดีเสียอีก ช่างน่าละอายจริงๆ!