คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 463 ข้าเป็นเพียงแค่หมอดูกระจอก
ตอนที่ 463 ข้าเป็นเพียงแค่หมอดูกระจอก
ฉินหลิวซีไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องภายในตระกูลเหยียน แต่เหยียนฉีซานขอให้นางจับชีพจรให้หัวหน้าตระกูลเหยียน เมื่อเห็นว่าร่างกายของเขาไม่ได้มีอะไรร้ายแรง จึงเพียงจ่ายยาเพื่อปรับสภาพร่างกาย
หลังจากนั้นเฟิงปั๋วได้กลับไปยังที่ของตัวเอง ก่อนไปได้ขอร้องฉินหลิวซีว่า “หากนางอยากจะไปเกิดใหม่ ให้เจ้าช่วยสื่อสารกับยมฑูตที่รู้จัก แต่หากนางไม่อยากไปเกิดใหม่ ขอให้เจ้าโปรดช่วยดูแลนางด้วย”
ฉินหลิวซีย่อมรับปาก
หลังจากที่เฟิงปั๋วไปแล้ว เหยียนฉีซานกับเจ้าสำนักศึกษาถังก็ไปนอนหลับเอาแรง ส่วนฉินหลิวซีก็คิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้มาอวี๋หังสักครั้ง จึงพาเถิงเจาออกไปเดินเล่น ดูว่าจะได้พบอะไรดีๆ หรือไม่
หัวหน้าตระกูลเหยียนได้จัดให้บ่าวรับใช้ข้างกายติดตามไปด้วย ซ้ำยังเตรียมรถม้าคันหนึ่งให้ด้วยเพื่อจะได้สะดวกในการเก็บสิ่งของที่ซื้อ
ฉินหลิวซีไม่ปฏิเสธความหวังดีเช่นนี้ ก่อนจะพาเถิงเจาออกเดินทาง
อวี๋หังเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำเจียงหนาน อุดมสมบูรณ์ ผู้คนมีความสามารถโดดเด่น ดินและน้ำที่นี่ได้หล่อเลี้ยงปัญญาชนและวีรบุรุษมากมาย แม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว อากาศหนาวจัด แต่ก็ยังมีผู้คนเดินไปมาบนถนน รวมถึงเหล่าสตรีที่เป็นปัญญาชนด้วย
“ท่านมาผิดเวลาแล้ว การสอบฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะเริ่มขึ้นแล้ว บรรดาหนุ่มสาวมากมายได้ออกเดินทางไปเข้าร่วมการสอบที่เมืองหลวงกันหมดแล้ว เพื่อไม่ให้การเดินทางล่าช้า มิเช่นนั้นจะได้เห็นปัญญาชนมากมายบนถนนสายนี้” บ่าวรับใช้ของหัวหน้าตระกูลเหยียนนามว่าหย่งเฉวียน ยิ้มพลางอธิบายกับฉินหลิวซีและเถิงเจาต่อว่า “แต่ในเรือนส่วนตัวอันงดงามที่สวนเหมย และวัดที่เงียบสงบบางแห่ง ยังสามารถเห็นปัญญาชนหลายคนไปชมหิมะ หารือความรู้ และต้มสุราขอรับ”
“พวกเราไม่ได้จะเข้าร่วมการแข่งขันอะไร ไม่ได้อยากดูสิ่งเหล่านั้น ใกล้จะสิ้นปีแล้ว เจ้าพาพวกเราไปที่ร้านผ้าไหมดีๆ สักร้าน เลือกผ้าสักสองหลา อย่างไรเสียอวี๋หังก็ขึ้นชื่อเรื่องผ้าไหม” ฉินหลิวซีเห็นว่าเจ้าสำนักศึกษาถังไม่ได้มาด้วย ในเมื่อออกมาแล้วก็ซื้อไปฝากเขาสักสองผืน เมื่อกลับไปจะได้นำไปตัดเสื้อผ้าให้อาจารย์แม่กับคนอื่นๆ และซื้อให้สะใภ้หวังและคนอื่นๆ สักสองผืนด้วย
เมื่อหย่งเฉวียนได้ฟังดังนั้นจึงเอ่ยว่า “ท่านตาถึง หากต้องการซื้อผ้าไหมเช่นนั้นก็ต้องไปร้านเก่าแก่ที่ได้รับการยกย่องมายาวนาน ร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดคือร้านซูจี้ นี่คือหนึ่งในร้านผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดในอวี๋หังของพวกเรา ราคาสมเหตุสมผล สินค้าก็คุณภาพดีขอรับ”
“เช่นนั้นก็ไปที่นั่นเถิด”
“ได้เลยขอรับ” หย่งเฉวียนให้คนขับรถม้าเปลี่ยนเส้นทางไปร้านซูจี้
แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักตัวตนของฉินหลิวซี แต่หัวหน้าตระกูลส่งเขาให้ติดตามไปด้วย กระทั่งช่วยจ่ายเงิน จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด ให้ความสำคัญเช่นนี้จะล่วงเกินไม่ได้เป็นอันขาด
เมื่อมองไปยังฉินหลิวซีและเถิงเจา เสื้อผ้าของทั้งสองไม่ได้ดูหรูหรา เสื้อคลุมฤดูหนาวของฉินหลิวซียิ่งดูบาง ส่วนเจ้าตัวเล็กก็สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีเขียวทั้งตัว เกล้าผมขึ้น ราวกับเด็กเต๋าในอารามเหล่านั้น
หย่งเฉวียนอดกลั้นอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหว เอ่ยถามออกว่า “อวี๋หังเป็นเมืองน้ำ มีน้ำอยู่ทุกหนแห่ง เมื่อเข้าฤดูหนาวกล่าวได้ว่าหนาวจนเข้ากระดูก คุณชายแต่งกายเช่นนี้ไม่หนาวหรือขอรับ”
ฉินหลิวซีมองดูเสื้อผ้าของตัวเอง ยิ้มพลางเอ่ย “ผู้บำเพ็ญเต๋า ไม่หนาว”
“หา?”
“หัวหน้าตระกูลเหยียนไม่ได้บอกหรือ ข้าคือเจ้าอาวาสน้อยแห่งอารามชิงผิงในเมืองหลี เป็นนักพรต ส่วนนี้คือลูกศิษย์ข้า”
หย่งเฉวียนเบิกตาโต เป็นเด็กเต๋าจริงๆ ด้วย แต่คุณชายนั้นยังดูอายุไล่เลี่ยกับนายน้อยในจวน อายุเท่านี้ก็รับลูกศิษย์แล้วหรือ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ” หย่งเฉวียนประนมมือขึ้น แต่รู้สึกว่าไม่ถูก หรือจะต้องคำนับกันแน่
ฉินหลิวซีมองดูโหงวเฮ้งของเขาแล้วจึงเอ่ย “กำลังพูดคุยเรื่องการหมั้นหมายหรือ การเกี่ยวดองนี้ไม่ใช่คู่ที่ดีนัก หากปฏิเสธได้ก็ปฏิเสธเถิด”
หย่งเฉวียนตกตะลึง
ปีนี้เขาอายุสิบเก้าปี กำลังวางแผนจะหมั้นหมายอยู่จริงๆ ซ้ำยังเป็นน้องสาวของลูกพี่ลูกน้องจากตระกูลของท่านน้า แม้จะบอกว่าเป็นน้องสาวของลูกพี่ลูกน้อง แต่จริงๆ แล้วเป็นเด็กสาวครอบครัวน้องสาวน้าเขย ปีนี้อายุสิบหกปี รูปร่างหน้าตาดี ท่านน้าบอกว่าเป็นคนขยันขันแข็ง เหลือเพียงแค่ดูแปดอักษรเวลาตกฟาก
แต่ฉินหลิวซีบอกว่าไม่เหมาะสม ไม่ใช่คู่ที่ดี
จริงๆ แล้วหย่งเฉวียนไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่เขายังไม่ได้เอ่ยอะไรเลย ฉินหลิวซีกลับรู้ว่าเขากำลังวางแผนหมั้นหมาย ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
“คุณชาย ไม่สิ ท่านอาจารย์?”
“ข้ามีนามเต๋าว่าปู้ฉิว หรือเจ้าจะเรียกข้าว่าเจ้าอาวาสน้อยก็ได้ คำว่าอาจารย์ เจ้าเรียกไปก็เกรงว่าหลายคนจะไม่เชื่อ” ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย
หย่งเฉวียนคิดในใจว่า ‘ท่านอายุเพียงแค่นี้ ข้าเองก็ไม่อยากจะเชื่อ’ แต่เขามีไหวพริบเป็นอย่างมาก จึงเรียกว่าเจ้าอาวาสน้อยด้วยความเคารพ แล้วถามต่อ “เหตุใดการหมั้นหมายนี้จึงไม่เหมาะสมหรือขอรับ”
ฉินหลิวซียื่นมือออกมา “ต้องมีค่าทำนาย”
เก็บเงินด้วยหรือนี่
ด้วยความที่หย่งเฉวียนเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายหัวหน้าตระกูลเหยียน จึงเป็นคนที่มีชื่อเสียงเช่นกัน ดังนั้นจึงมีเงินอยู่บ้าง เขาหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากถุงแล้วแบมือออกให้ฉินหลิวซีหยิบไปได้ตามใจ
ในมือของเขานั้นมีทั้งตั๋วเงินและเหรียญทองแดง ฉินหลิวซีหยิบเพียงหนึ่งเหรียญทองแดงกับอีกหนึ่งเศษเงิน เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้รบกวนเจ้าให้ช่วยนำทาง ข้าไม่เก็บแพง”
หลังจากเอาเงินไปแล้วนางก็กล่าวว่า “โหงวเฮ้งคนเรามีตำแหน่งสมรส เมื่อรวมกับสี่เสาแปดตัวอักษร จะสามารถดูคู่ครองและการแต่งงานของเจ้าได้” ขณะที่นางพูดก็ชี้ไปยังตำแหน่งสมรส กล่าวว่า “วันเดือนปีก็คือตำแหน่งหางคิ้วสามารถมองเห็นถึงสภาพแวดล้อมในครอบครัวของคู่เจ้าได้ ส่วนดวงดาวและตำแหน่งธาตุทั้งห้าก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลกระทบเรื่องสมรส”
หย่งเฉวียนได้ฟังดังนั้นก็สับสนมึนงงไปหมด พูดภาษาคนได้หรือไม่
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าเขาสับสน จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนลัทธิเต๋า ข้าจะไม่อธิบายคำศัพท์เหล่านี้อย่างละเอียด สำหรับคู่สมรสของเจ้า ตำแหน่งสมรสของเจ้ากระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของดวงดาวหลักของตำแหน่งบุตร ซ้ำยังถูกกระตุ้นโดยตำแหน่งชะตาชีวิต คู่ของเจ้าผู้นี้เป็นญาติช่วยแนะนำให้ใช่หรือไม่”
หย่งเฉวียนรูม่านตาหดลง สวรรค์ แม่นจริงๆ ด้วย
“ดูเหมือนว่าข้าจะทำนายถูก” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไปว่า “อย่างที่บอกไปเมื่อครู่ ข้าไม่รู้แปดอักษรเวลาตกฟากของนางจึงไม่อาจพูดถึงนางได้มาก แค่พูดเกี่ยวกับเจ้าก็พอ โหงวเฮ้งของเจ้านี้ ดาวพิฆาตดิถีเข้าสู่ตำแหน่งสมรส ดาวพิฆาตดิถีเป็นดาวที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาดาวทั้งสิบสี่ดวง แม้ว่าจะเป็นคนดื้อรั้นและมีอารมณ์สุดโต่ง แต่ก็มีความสามารถมากเช่นกัน ข้าคิดว่าสตรีผู้นั้นดูแลเรื่องในเรือนเก่งมาก แต่นางมีนิสัยชอบเอาชนะ ส่วนเจ้าก็ไม่สามารถอ่อนข้อได้ แข็งกับแข็งมาเจอกันย่อมไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นส่วนมาก ว่ากันว่าถ้าครอบครัวสามัคคีกันทุกอย่างจะเจริญรุ่งเรือง แต่หากครอบครัวไม่สามัคคีกันจะเจริญได้อย่างไร”
“แน่นอนว่าการที่ดาวพิฆาตดิถีเข้าสู่ตำแหน่งสมรส ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีเสมอไป เพียงแค่ไม่ควรแต่งงานเร็ว เจ้านับว่ายังหนุ่มยังแน่น” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “แปดอักษรของเจ้าเป็นอย่างไร”
หย่งเฉวียนกระซิบบอกแปดตัวอักษร
ฉินหลิวซีใช้นิ้วคำนวณ เงยหน้าขึ้นพลางเอ่ย “เทียนกานเป็นน้ำ ดาวเทียนเหลียงเข้าสู่ตำแหน่ง เวลายามซื่อ ตำแหน่งดาวพฤหัส คู่แท้ของเจ้ามาจากทางเหนือ ซ้ำยังอายุมากกว่าเจ้า”
หย่งเฉวียนตกตะลึง
“แม่นหรือไม่ขอรับ”
“แม่นหรือไม่แม่น หากเชื่อก็แม่น หากไม่เชื่อก็ไม่แม่น การหมั้นหมายที่เจ้าวางแผนอยู่ตอนนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ดีไปเสียหมด ตราบใดที่เจ้าสามารถอดทนได้ เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เข้าก็จะดีขึ้น” ฉินหลิวซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าก็เป็นเพียงแค่หมอดูกระจอก จะเลือกอย่างไรก็ให้เคารพการตัดสินใจของตัวเอง แต่เรื่องงานแต่ง ไม่ว่าแม่สื่อจะกล่าวโน้มน้าวมากมายแค่ไหน ก็ไม่สู้เข้าใจด้วยตัวเองจะดีกว่า ในฐานะที่เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายหัวหน้าตระกูลเหยียน หากต้องการเข้าใจนิสัยของสตรีผู้นั้น ด้วยความสามารถของเจ้าแล้วคิดว่าคงทำได้”
หย่งเฉวียนเอ่ยในใจ ‘หากมีสิ่งที่ดีกว่า ใครจะยอมทนฝืน’
ในเวลานี้รถม้าได้ค่อยๆ หยุดลง คนขับบอกว่าถึงแล้ว ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยอะไรต่ออีก หย่งเฉวียนลงจากรถมาก่อน เอาบันไดมาวางให้ทั้งสองลงจากรถ
เมื่อฉินหลิวซีลงจากรถก็เห็นขอทานน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างถนน นางเอาเศษเงินในมือใส่ลงไปในชามแตกๆ นั้น
ขอทานน้อยผู้นั้นเบิกตาโต คว้าเงินมาในทันที จากนั้นก็โขกศีรษะคำนับฉินหลิวซีแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
หย่งเฉวียนเข้าใจในทันที ในใจคิดว่า ‘เกรงว่าการหมั้นหมายนี้ไม่ควรดำเนินต่อแล้วจริงๆ!’