คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 476 ตระกูลฉินหยิ่งผยองมาก!
ตอนที่ 476 ตระกูลฉินหยิ่งผยองมาก!
Ink Stone_Romance
ไม่รู้ว่าคำพูดของฮูหยินติงส่งผลกระทบต่อเขาหรือไม่ ติงโส่วซิ่นพักอยู่ที่บ้านเดิมหนึ่งคืน วันต่อมาก็รู้สึกว่าทั้งร่างกายไม่ค่อยมีแรง รู้สึกปวดเมื่อยล้า หนักอึ้งไปทั้งตัว ท้ายทอยก็รู้สึกเย็นๆ
เขามองดูบ้านเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนไป ทั้งๆ ที่ตกแต่งเหมือนเดิม แต่ทำไมจึงรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ รู้สึกขนลุก
ความรู้สึกนี้คงอยู่จนกระทั่งเขาก้าวออกนอกประตูไป ในขณะที่เดินบนพื้นราบ แต่เท้ากลับสะดุดบางสิ่งบางอย่าง คะมำไปข้างหน้า หากไม่ได้บ่าวรับใช้ข้างกายรีบพยุงไว้ เขาก็คงล้มคว่ำไปกับพื้นแล้ว
ฮูหยินติงที่ติดตามอยู่ข้างหลังเขาเตรียมจะไปตระกูลฉินด้วยกัน เห็นดังนั้นก็ตกใจจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อเห็นติงโส่วซิ่นยืนอย่างมั่นคงแล้ว สองสามีภรรยาก็มองไปตรงนั้นพร้อมกัน บนพื้นว่างเปล่า แม้แต่หิมะก็ถูกปัดกวาดจนสะอาด แต่กลับสะดุดล้ม
ผิดปกติเกินไปแล้ว!
ติงโส่วซิ่นสีหน้ามืดครึ้มราวกับน้ำหมึก
สายตาของฮูหยินติงเผยให้เห็นแววตื่นตระหนกและหวาดกลัว มองไปรอบๆ ในใจอธิษฐานให้พระโพธิสัตว์กวนอิมและเง็กเซียนฮ่องเต้ช่วยคุ้มครองอย่างเงียบๆ
ทั้งสองคนขึ้นรถม้าด้วยอาการตัวสั่น ฮูหยินติงเอ่ย “นายท่าน หรือว่าพวกเราต้องไปเชิญคนมาดูสักหน่อยแล้วจริงๆ”
“อย่ากล่าวเหลวไหล ไปตระกูลฉินก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ฮูหยินติงเงียบไป
“ปีนี้ส่งเทียบเชิญตระกูลฉินมาร่วมงานเลี้ยงด้วย” ติงโส่วซิ่นกล่าวกำชับ
ฮูหยินติงขมวดคิ้ว “พวกเขาจะมาหรือ”
“ไม่ต้องสนใจว่าจะมาไม่มา อย่างไรก็ต้องส่งเทียบเชิญไป” ติ่งโส่วซิ่นเอ่ย “พวกเราส่งเทียบเชิญไปแล้ว พวกเขาจะมาหรือไม่นั้นก็เรื่องของพวกเขา ท่าทีและมารยาทของพวกเราปรากฏอยู่ตรงนี้ ย่อมมีคนเห็นเอง”
ฮูหยินติงคิดดูแล้วก็เห็นด้วยจึงตอบตกลง จากนั้นก็ถามว่า “เช่นนั้นอารามชิงผิง พวกเราควรไปด้วยหรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาว่าหัวใจนักพรตเต๋าบางคนเล็กกว่ารูเข็ม หากไปล่วงเกินพวกเขาเข้า แค่ยัดสิ่งสกปรกใส่ลงไปในสุสานบรรพบุรุษก็สามารถแก้แค้นได้ทั้งตระกูลแล้ว”
ติงโส่วซิ่นตกตะลึง อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนที่อยู่ในแวดวงราชการมานานจึงสงบลงอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ข้าเคยถามพ่อบ้านติงแล้ว อารามชิงผิงแห่งนั้นไม่ใช่อารามเต๋าที่ชั่วร้ายอะไร ซ้ำยังทำความดีหลายครั้งในแต่ละปี นักพรตเต๋าก็ล้วนมีเอกสารรับรองตามกฏหมาย ไม่ใช่นักพรตเถื่อนเหล่านั้น และการทำเรื่องเช่นนี้ก็ต้องแบกรับผลกรรมที่ตามมา พวกเขายึดในหลักห้าโทษสามวิบัติเหล่านั้น ไม่มีทางเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นอย่างแน่นอน”
ฮูหยินติงได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงเรื่องโชคร้ายในจวนจึงเอ่ย “ต่อให้ไม่ทำเรื่องใหญ่ เพียงแค่การลงโทษเล็กน้อยก็เพียงพอสำหรับพวกเราแล้ว”
ราวกับเป็นการยืนยันคำพูดของนาง รถม้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ตัวรถเอียงไปทางซ้าย ทำเอาฮูหยินติงตกใจจนกรีดร้อง
คนขับรถเองก็ตกใจ ร่วมมือกับองครักษ์ควบคุมรถม้าให้มั่นคงแล้วหยุดรถในที่สุด
ติงโส่วซิ่นยันผนังรถไว้ ตะโกนว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ใต้เท้า ล้อรถม้าหลุดแล้วขอรับ ใต้เท้าเป็นอะไรหรือไม่” องครักษ์มารายงาน
ติงโส่วซิ่นโกรธมาก เตะประตูรถออก พยุงฮูหยินติงที่ตกใจจนขวัญกระเจิงลงมา บ่าวรับใช้ในรถม้าด้านหลังรีบเข้ามาช่วยพยุง
ทั้งสองมองดูรถม้าเอียงกะเท่เร่ รถที่แล่นมาอยู่ดีๆ แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดล้อรถด้านซ้ายจึงได้หลุดกลิ้งออกไป ทำให้รถม้าเอียง
“ก่อนออกเดินทางพวกเจ้าไม่ได้ตรวจสอบรถก่อนหรือ” ติงโส่วซิ่นโมโหสุดขีด ว่ากล่าวคนขับรถด้วยความโกรธ
คนขับรถม้าคุกเข่าลงแล้วเอ่ย “ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยมิอาจละเลย ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว รถกับม้าไม่มีปัญหาอะไร แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงได้…”
คนขับรถผู้นี้ไม่ใช่คนขับรถของบ้านเดิม แต่คือคนที่ติดตามติงโส่วซิ่นมาหลายปี เป็นคนที่เชื่อถือได้ ติงโส่วซิ่นไม่ได้สงสัยว่าเขาจะละเลย
ไม่ได้ละเลย เช่นนั้นก็คือ?
โชคร้าย
สีหน้าของติงโส่วซิ่นมืดครึ้มขึ้นมาเล็กน้อย
ฮูหยินติงตกใจจนแทบจะร้องไห้
“พวกเราไปขึ้นรถม้าคันด้านหลัง ให้พวกเขารอก่อน ให้คนกลับไปที่จวนแล้วนำรถม้ามาอีกคัน” ติงโส่วซิ่นเดินไปยังรถม้าที่อยู่ด้านหลัง
เดิมทีคิดว่าเพียงแค่เปลี่ยนรถม้าก็จบแล้ว คิดไม่ถึงว่าไปได้ยังไม่ทันถึงหนึ่งเค่อ ก็ได้พบกับตระกูลที่กำลังจัดงานศพ ต้องให้ความสำคัญกับผู้ตายเป็นหลัก ติงโส่วซิ่นเป็นถึงผู้ว่าการอำเภอตำแหน่งสูงศักดิ์ แต่ในขณะนี้มีชื่อเสียงไม่ดีอยู่จึงไม่กล้ายิ่งผยองให้ผู้อื่นหลีกทางให้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเปลี่ยนเส้นทาง
ด้วยเหตุการณ์โชคร้ายที่เกิดขึ้นติดต่อกัน ไม่ว่าติงโส่วซิ่นจะไม่เชื่อในเรื่องผีสางนางไม้เหล่านี้มากแค่ไหน แต่ในเวลานี้ก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจเล็กน้อย
หรือว่าตระกูลของตัวเองจะถูกมนต์ดำอะไรนั่นจริงๆ
ตระกูลฉิน
ฉินหลิวซีบอกว่าคนตระกูลติงจะมาหาถึงที่จวน สะใภ้หวังจึงไม่ได้ไปที่ร้าน รออยู่ที่จวน นี่ก็พึ่งจะยามเฉิน[1]สองเค่อ[2] ติงโส่วซิ่นก็มาถึงจริงๆ ด้วย
ทุกคนมองฉินหลิวซีด้วยสายตายำเกรงเล็กน้อย
คนผู้นี้ช่างทำนายแม่นจริงๆ!
ฉินหลิวซีไม่ให้คนไปเปิดประตู ปล่อยทิ้งไว้ข้างนอก
สะใภ้หวัง “ทำเช่นนี้จะได้หรือ”
“ทำไมจะไม่ได้” ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “ท่านแม่ ตระกูลของพวกเราล้มลงแล้ว ท่านดูสิ คนรับใช้ก็มีอยู่ไม่กี่คน ไม่มีคนอยู่ที่ห้องข้างประตู ไม่ได้ยินคนมาเรียกหน้าประตู ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ”
สะใภ้หวังเข้าใจในทันที เจ้ากำลังเอาคืนอยู่ล่ะสิ!
ติงโส่วซิ่นคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะไม่ได้รับการต้อนรับ เขามาถึงตระกูลฉินโดยที่เจอเรื่องให้ต้องตกใจมาตลอดทางแต่กลับถูกทิ้งไว้ข้างนอก ตระกูลฉินช่างมั่นใจเสียเหลือเกิน
ฮูหยินติงโกรธมาก กอดเตาผิงพกพาที่ค่อยๆ หมดความอบอุ่น หนาวจนหน้าเขียวคล้ำ เท้าทั้งสองข้างเริ่มชา
ตระกูลฉินช่างหยิ่งผยองเสียจริง!
พวกเขารออยู่ข้างนอก ตอนนี้ฟ้าเริ่มครึ้มแล้ว ไม่นานหิมะก็เริ่มตกลงมา ซ้ำยังมีลมพัดแรง
“นายท่าน พวกเขาจงใจปล่อยพวกเราไว้เช่นนี้” ฮูหยินติงหนาวจนเริ่มทนไม่ไหว ปากเริ่มซีดเล็กน้อย ย่ำเท้าไม่หยุดพลางเอ่ย “พวกเรากลับไปก่อนดีหรือไม่”
“ไปเคาะประตูอีกที” ติงโส่วซิ่นกำชับบ่าวรับใช้ด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
บ่าวรับใช้เคาะประตูเสียงดัง หลังจากเคาะไปได้สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากไกลๆ ซ้ำยังมีน้ำเสียงที่ฟังดูค่อนข้างแก่ชรา
“มาแล้วขอรับ”
มีคนแง้มประตูเล็กน้อย ยื่นศีรษะออกมา เป็นชายชราร่างเล็กผู้หนึ่ง เมื่อเห็นติงโส่วซิ่นและคนอื่นๆ จึงถามว่า “มาหาใครหรือขอรับ”
“พวกเราเป็นคนตระกูลติง ใต้เท้าของข้ามาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าที่จวนด้วยตัวเอง” บ่าวรับใช้ส่งใบขอเยี่ยมให้
ชายชราหรือที่รู้จักกันในนามพ่อบ้านหลี่รับใบขอเยี่ยมมาโดยไม่อ่านเลยแม้แต่นิด เพียงแต่กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าป่วยอยู่ บรรดาเจ้านายทุกท่านในจวนต่างก็คอยดูแลปรนนิบัติอยู่ที่นั่น ข้าต้องไปบอกกล่าวก่อน”
ขณะที่พูดก็ปิดประตูเสียงดัง
ติงโส่วซิ่นโกรธจนแทบจะทนไม่ไหวอีกต่อไป
บ่าวรับใช้สีหน้ามืดครึ้ม ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมอง เพราะไม่หันไปมองก็รู้ได้ว่าใต้เท้าของตัวเองสีหน้ามืดครึ้มกว่าตัวเขาเองเสียอีก
ก็เพียงแค่ตระกูลขุนนางต้องโทษ ช่างหยิ่งผยองเสียจริง!
ไม่รู้ว่าใครทำให้พวกเขากล้าได้ขนาดนี้
ฉินหลิวซี ‘ข้าเอง ทำไมหรือ!’
พ่อบ้านหลี่ที่อยู่หลังประตู ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ถ่มน้ำลาย “คนไร้มนุษยธรรม รอไปเถอะ!”
เขาเดินต่อไปอีกไม่กี่ก้าวก็กลับไปถึงห้องข้างประตู จิบชาร้อนๆ อย่างใจเย็น เมื่อได้เวลาสมควรแล้ว จึงได้เหยียบหิมะเสียงดังแล้วเดินไปที่หน้าประตูแล้วเปิดประตูอีกครั้ง
“ปล่อยให้ใต้เท้าต้องรอนานแล้ว ในจวนยุ่งวุ่นวาย มีบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน รีบเข้ามาเถิดขอรับ” พ่อบ้านหลี่โค้งคำนับด้วยสีหน้ามืดครึ้มเล็กน้อย ดูเหมือนให้ความเคารพเชื่อฟัง แต่หากเจ้าก้มลงไปดูใกล้ๆ จะเห็นได้ว่าสายตาของเขานั้นไร้อารมณ์
คนไร้มนุษยธรรมติงผู้นี้ไม่คู่ควรกับการต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มของเขา
[1] ยามฉิน เวลาเจ็ดโมงเช้าถึงเก้าโมงเช้า
[2] สองเค่อ สามสิบนาที