คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 488 เจ้าจงเป็นตัวหายนะ
ตอนที่ 488 เจ้าจงเป็นตัวหายนะ
ไฟนรกดับลงแล้ว บาปถูกชำระล้าง คำสาปอายุร้อยปีนี้ ในที่สุดสายเลือดตระกูลซือก็ได้คนที่มาหยุดมัน
ในหลุมศพบรรพบุรุษของตระกูลซือ วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนดูเหมือนจะหลุดออกจากพันธนาการที่ถูกคุมขังมาเป็นเวลานาน ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับดวงดาว
พลังจิตวิญญาณค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อยในค่ายอาคมปกป้องเผ่าใหญ่ ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่งอกมาเป็นเวลานับร้อยปี ได้เบ่งบานสะพรั่งในค่ำคืนที่มีหิมะโปรย
จิ๊บๆๆ
วิหคห้าสีบินออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ส่งเสียงร้องร่าเริงสดใส บินไปเกาะอยู่บนยอดหลังคาเรือนเก่าของซือชิ่ง
หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าหมอบอยู่บนพื้น น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความตื้นตันใจ
ในที่สุดเขาก็สามารถไปพบแม่มดศักดิ์สิทธิ์ได้โดยไม่เสียใจแล้ว
ภายในห้อง ฉินหลิวซีวางซือเหลิ่งเย่ว์ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดแล้วไว้ตรงใจกลางค่ายอาคมตะเกียงต่อชะตาเจ็ดดาว อ่างอาบน้ำได้ถูกเฟิงซิวย้ายออกไปนานแล้ว ส่วนขี้เถ้าในค่ายอาคมอีกกองหนึ่งก็ได้ให้เถิงเจาเก็บใส่ขวดกระเบื้องแล้ว
ซือถูคลานเข่าเข้ามาด้วยสีหน้าซีดเซียว เมื่อเห็นบุตรสาวที่หมดสติอยู่กลางค่ายอาคม ในใจพลันรู้สึกหวาดหวั่น เอ่ยตะกุกตะกักว่า “ท่านเจ้าอาวาส สำเร็จแล้วหรือ เหตุใดเย่ว์เอ๋อร์จึงยังไม่ฟื้นล่ะ”
เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ยว่า “ไฟนรกแผดเผาร่าง หลุดพ้นเกิดใหม่ในร่างเดิม ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นนั้น สามจิตเจ็ดวิญญาณของนางสั่นคลอนจนทำให้อ่อนแอเป็นอย่างมาก หากต้องการที่จะหลุดพ้นเกิดใหม่อย่างแท้จริง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตวิญญาณต้องได้รับการหล่อเลี้ยง ผนวกเข้ากับร่างกายอย่างสมบูรณ์แบบ”
“เช่นนั้น จะตื่นหรือไม่”
เจ้าอาวาสชิงหลานเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “อย่างไรเสียนางก็มีสายเลือดของแม่มด ตอนนี้คำสาปเลือดได้ถูกทำลายแล้ว ก้าวที่ยากที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว อาตมาเชื่อว่านางจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อย่างแน่นอน”
ซือถูกำรูปเหมือนในมือแน่น เขาพูดมาตั้งมากมาย แต่กลับไม่มีอะไรที่มั่นใจได้ เอ่ยได้ว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจ
มีความเจ็บปวดในดวงตาของซือถู เพียงแค่กะพริบตา น้ำตาก็ไหลออกมาทันที
ฉินหลิวซีแปะยันต์ตรึงวิญญาณไว้ในค่ายอาคม และแขวนหยกวิญญาณที่ได้รับการหล่อเลี้ยงสองสามเม็ดไว้บนร่างกายของนาง จากนั้นก็หันไปมองศิษย์ของตัวเอง “จำบทสวดสงบจิตได้หรือไม่”
เถิงเจาพยักหน้า
“ท่องไป ท่องหลายๆ รอบ” ฉินหลิวซีชี้ไปยังเบาะที่อยู่ข้างๆ “ท่องตรงนี้ ฝึกบำเพ็ญพลางท่องบทสวดไปด้วย”
เถิงเจาไม่พูดพร่ำทำเพลง นั่งขัดสมาธิบนฟูกแล้วเริ่มท่องบทสวด
เปล่งคำอย่างชัดเจน น้ำเสียงของเขาทั้งเยือกเย็นและอบอุ่น ดังก้องสะท้อนอยู่ในห้อง
ฉินหลิวซียืนอยู่ตรงหน้าซือเหลิ่งเย่ว มือทั้งสองข้างร่ายคาถาทั้งเจ็ดไปที่นางอย่างต่อเนื่อง
เจ้าอาวาสชิงหลานอดเปิดดวงตาสวรรค์ไม่ได้ เมื่อได้เห็นก็ถอนหายใจอีกครั้ง “แม่นางซือช่างโชคดีจริงๆ”
“ทำไมหรือ” ซือถูรีบเอ่ยถาม
เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์หลานปู้ฉิวได้สละแสงสีทองแห่งบุญให้แก่นาง เมื่อมีบุญคุ้มครอง ดวงวิญญาณของนางก็จะแข็งแกร่งขึ้น โอกาสที่จะฟื้นขึ้นมาก็มีมากขึ้น” จากนั้นเขาก็มองไปยังรูปปั้นอันศักดิ์สิทธิ์ของแม่มดศักดิ์สิทธิ์ในห้องโถง เอ่ยพึมพำ “บางทีแม่นางซืออาจได้รับพรอีกครั้ง”
การฝึกบำเพ็ญแสงสีทองแห่งบุญนั้นไม่ง่าย ไม่ใช่ว่าใครก็สละให้ได้ แต่นางสละได้ ให้คน ให้ผี แม้ว่าตัวนางเองจะต้องการมากกว่าก็ตาม
ซือถูตกตะลึง มองไปยังฉินหลิวซี จากนั้นก็มองที่บุตรสาว
ซือเหลิ่งเย่ว์เคยบอกว่านางเชื่อฉินหลิวซี
นางดูคนไม่ผิด
ซือถูสัมผัสใบโฉนดในอ้อมแขน สายตากระตือรือร้น
ฉินหลิวซีลืมตาขึ้น มองดูแสงสีทองแห่งบุญตกลงไปที่แท่นดวงจิตของซือเหลิ่งเย่ว์ ยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของนาง จากนั้นจึงเอ่ย “สิ่งที่ควรทำข้าก็ได้ทำไปหมดแล้ว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าก็ต้องพยายามด้วย”
นางเดินออกจากค่ายอาคมเจ็ดดาว เท้าเซเล็กน้อย เกือบจะล้มลง
เฟิงซิวรีบพยุงนางทันที เมื่อเห็นว่าใบหน้านางซีดขาว มือเย็นราวกับน้ำแข็ง จึงขมวดคิ้วพลางถามว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
เพื่อที่จะทำลายคำสาปเลือดนี้ นางทำไปไม่รู้เท่าใด ทั้งยังเต็มใจที่จะเสี่ยงต่อการลงโทษจากสวรรค์ คุ้มหรือไม่
หากเป็นตัวเอง นางก็จะทำเพื่อตัวเองเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่
ริมฝีปากของฉินหลิวซีซีดเล็กน้อย หรี่ตาลง นางเห็นแสงสีทองลอยมาจากนอกห้อง ตกลงบนแท่นดวงจิตของตัวเอง นั่นคือความซาบซึ้งใจของเผ่าตระกูลซือ และยังมีบางส่วนตกลงที่บนตัวของเถิงเจา เฟิงซิว แม้กระทั่งเจ้าอาวาสชิงหลาน เพียงแต่พวกเขามีน้อยกว่า
“การกระทำครั้งนี้ไม่ขาดทุน” ฉินหลิวซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เจ้าอาวาสชิงหลานมองเห็นอย่างชัดเจน อดถอนหายใจไม่ได้ รู้สึกมีคลื่นบางอย่างในใจ
มีแสงลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
ฉินหลิวซีมองออกไป เอ่ยว่า “ใกล้จะเช้าแล้ว”
“ใช่แล้ว”
ฉินหลิวซีบีบข้อมือของเฟิงซิว เอ่ย “ดูค่ายอาคมตะเกียงเจ็ดดาวให้ข้าด้วย อย่าให้มันดับไป”
“ทำไม…เสี่ยวซี!” เฟิงซิวกอดฉินหลิวซีที่สลบไปด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย
เจ้าอาวาสชิงหลานเดินเข้ามา จับชีพจรของนาง เอ่ยว่า “นางเหนื่อยจากการใช้พลังมากเกินไป ให้นางหลับพักผ่อนสักหน่อยเถิด”
เฟิงซิวพาฉินหลิวซีไปที่เตียงในห้อง เมื่อเห็นเถิงเจาตามเข้ามาจึงเอ่ยว่า “ไม่มีธุระของเจ้า เจ้าไปสวดมนต์ของเจ้าต่อเถอะ”
เถิงเจาไม่ขยับ
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่านางกำชับเจ้าไว้ว่าอย่างไร เจ้าอยากให้สิ่งที่นางทำไปทั้งหมดสูญเปล่าหรือ” เฟิงซิวจ้องเขา เอ่ยว่า “วางใจเถิด อาจารย์ของเจ้าเป็นตัวหายนะ ไม่เป็นอะไรแน่นอน”
เถิงเจามองเขาเงียบๆ ปล่อยหมัดที่กำไว้แน่นของเจ้าก่อนที่จะพูดเถิด ความประหม่าของเจ้าได้ทรยศต่อเจ้าแล้ว
เขาเดินออกไป
จากนั้นเฟิงซิวจึงได้หันกลับมา หยิบขวดหยกออกมาจากอ้อมแขน เทยาออกมาหนึ่งเม็ดแล้วยัดใส่ปากนาง ถอนหายใจพลางเอ่ย “เจ้าอย่าทำตัวเป็นนักบุญเป็นอันขาด จงเป็นตัวหายนะ ตัวหายนะจึงจะคงอยู่นานนับพันปี”
เอ่ยง่ายๆ ก็คืออย่าตาย ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนานๆ
เช่นนี้พวกเขาก็จะสามารถอยู่ด้วยกันได้อีกหลายๆ ปี
ขณะที่เฟิงซิวคิดเช่นนี้ ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ อย่างไรเสียฉินหลิวซีก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา และโลกนี้ก็ไม่ใช่โลกแห่งเทพนิยาย แม้ว่านางจะเป็นคนที่ฝึกบำเพ็ญเต๋า แม้ว่าจะฝึกบำเพ็ญขั้นสูงแค่ไหน มากกว่าร้อยปี หรือสองร้อยปี อย่างไรเสียอายุขัยก็ต้องสิ้นสุดลงกระมัง
หรือบางทีอาจสามารถโบยบินขึ้นสู่สวรรค์?
เขาคิดฟุ้งซ่านอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีผ่านไปในพริบตา เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะอยู่คนเดียว ไม่สิ เป็นปีศาจตัวเดียว คอยเฝ้าดูความน่าเบื่อของโลกใบนี้ที่ขึ้นๆ ลงๆ หรือ
เฟิงซิวสายตาลุ่มลึก นำปราณปีศาจของตัวเองออกมา
ต้องการจะมอบให้นาง นางจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปหรือไม่
ไม่ช้าเฟิงซิวก็ส่ายหน้า นำปราณปีศาจเก็บกลับคืน หากเขากล้าตัดสินใจเองโดยพลการ คาดว่านางคงจะทำเหมือนเมื่อครู่ เผาเขาให้ตายไปเลย!
อย่าได้ลองทำอะไรที่เป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนเลย
หลังจากห่มผ้าให้นางแล้ว เฟิงซิวก็เดินออกไป เฝ้าค่ายอาคมตะเกียงตามที่นางกำชับไว้
ท้องฟ้าค่อยๆ สว่าง ด้านหน้าค่ายอาคม ภาพเหมือนของแม่มดศักดิ์สิทธิ์ที่แขวนอยู่ในห้องดูเหมือนจะมีแสงแห่งจิตวิญญาณกะพริบผ่านไป
ซือเหลิ่งเย่ว์กำลังหลับลึก แต่วิญญาณของนางดูเหมือนจะถูกเรียกโดยบางสิ่งบางอย่าง นางยืนขึ้นอยู่ในหมอกสีขาวที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด จนกระทั่งหมอกสีขาวตรงหน้าสลายไป มีสตรีผู้หนึ่งปรากฏตัวอยู่ต่อหน้านาง รูปร่างหน้าตาค่อนข้างคล้ายกับนาง
“ท่านแม่มดศักดิ์สิทธิ์” ซือเหลิ่งเย่ว์จำสตรีผู้สูงส่งที่ท่าทางเคร่งขรึมได้ “ท่านยังไม่ตายหรือ”
“ข้าตายแล้ว นี่เป็นเพียงร่องรอยความยึดติดของข้าที่หลงเหลืออยู่ในรูปภาพ ตระกูลซือเหี่ยวเฉามาหลายร้อยปีแล้ว ในที่สุดก็ได้พบพลังชีวิตอันริบหรี่นี้” มุมปากของซือชิ่งแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “คำสาปเลือดได้ถูกทำลายแล้ว เลือดที่ไหลอยู่ในร่างกายเจ้าคือสายเลือดของแม่มดขาว แม่มดขาวตระกูลซือจะถูกสืบทอดต่อไปโดยเจ้า”
ซือเหลิ่งเย่ว์ตกตะลึง หมายความว่าจะให้นางเป็นแม่มดหรือ
“ในตอนนั้นข้าได้ทำพิธีกรรมใหญ่เพื่อล้วงความลับสวรรค์ ทำให้มีผีร้ายปรากฏตัวขึ้น โลกตกอยู่ในความวุ่นวาย แม่มดตระกูลซือของข้าควรจะช่วยบุตรของสวรรค์ปกป้องใต้หล้าเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ เจ้ากล้าหรือไม่”
ซือเหลิ่งเย่ว์ใจเต้นรัว ใครจะปกป้องใต้หล้า
“นางหรือ”
ซือชิ่งยิ้ม
ซือเหลิ่งเย่ว์เงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างหนักแน่น “ไม่ว่านางคิดกระทำการใด ข้าจะติดตามไป”