คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 502 ไม่ได้เอ่ยว่ารักษาไม่ได้
ตอนที่ 502 ไม่ได้เอ่ยว่ารักษาไม่ได้
ตั้งแต่ที่เย่ว์ติ้งเป็นอัมพาตมาย่อมเคยไปหาหมอชื่อเสียงโด่งดังมานับไม่ถ้วน บัดนี้ได้ฟังคำวินิจฉัยของฉินหลิวซี คำศัพท์เฉพาะในทักษะการแพทย์เหล่านั้นเขาเองก็ฟังเข้าใจเช่นกัน เหมือนกับที่หมอเหล่านั้นวินิจฉัย
และไม่เหมือนกับหมอท่านคนอื่นๆ ที่ระมัดระวังกลัวว่าการเป็นอัมพาตจะทำให้เขาเกิดความเครียด ฉินหลิวซีใจกว้างมาก สิ่งใดที่ควรถถามก็ถามขึ้น จิตใจสงบนิ่งมาก ราวกับว่าเรื่องนี้เป็นปกติทั่วไป ไม่ใช่เพราะเห็นใจหรือว่าเสียใจที่เจ้าเป็นอัมพาต จึงทำให้ความกังวลในหัวใจของคนนิ่งสงบลงเช่นกัน
อีกฝ่ายถามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เย่ว์ติ้งเองไม่มีสิ่งใดที่สามารถเอ่ยมันออกมาไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้นอย่างสบายๆ “ได้รับบาดเจ็บ ตอนนั้นเกิดการสู้รบทางทะเล หัวหน้าโจรสลัดผู้นั้นฝีมือดี ข้าถูกฝ่ามือของเขาไปหนึ่งฝ่ามือ ตอนนั้นรู้สึกเพียงว่าอวัยวะภายในย้ายที่ทางไปเสียหมด แต่ข้าใช้โอกาสนั้นกดลงไปที่คอของเขา หลังจากที่ลงมือไป ตอนนั้นข้าไม่ทันระวัง กระดูกสันหลังชนกับกระบอกปืนที่อยู่ใต้เรือเข้าอย่างแรง สลบไปคาที่ หลังจากตื่นขึ้นมาร่างกายครึ่งล่างก็ไร้ความรู้สึก เกือบสองปีมาแล้ว หาหมอชื่อดังมามากมายนับไม่ถ้วนทว่าไม่อาจรักษา ข้าคิดว่าคงต้องเป็นเช่นนี้แล้ว”
“ท่านแม่ทัพน้อยช่างปล่อยวาง ไม่รู้สึกไม่ยอมบ้างเลยหรือ” ฉินหลิวซีเลิกคิ้วขึ้น
เย่ว์ติ้งกวาดสายตามองผ่านไป เอ่ยราบเรียบ “แน่นอนว่าการไม่ยินยอมก็มีบ้าง ข้าเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ ก็ไม่อาจเข้าสู่สนามรบได้อีกแล้ว เป็นผู้ใดก็ไม่ยอม ทหารเช่นพวกข้าหลังจากที่เข้าสู่กองทัพ ก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตโดยเอาหัวผูกไว้กับเข็มขัดแล้ว นึกถึงสิ่งที่ไม่คาดคิดมาโดยตลอด ความพิการก็เป็นหนึ่งในนั้น เพียงคิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วถึงเพียงนี้”
ขอบตาของบ่าวรับใช้ชราแดงก่ำ ใบหน้าองครักษ์หลายคนก็เปี่ยมไปด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง
นัยน์ตาของฉินหลิวซีเผยให้เห็นความชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง “หัวใจของท่านแม่ทัพน้อยช่างกว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทร”
เย่ว์ติ้งเผยยิ้มเจื่อนๆ ออกมา “ไม่ได้ดีอย่างที่ท่านชมเพียงนั้น เมื่อถูกท่านหมอชี้ขาดว่าชีวิตนี้ต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต ข้าเองก็เคยโมโห สับสน เคยถามสวรรค์เช่นกันว่าเหตุใดจึงต้องเป็นข้า ข้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นปรารถนาอันแรงกล้า แต่เพราะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกจึงไม่อาจแสดงความสามารถออกมาได้ จะให้ข้าเบาใจได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเห็นขาทั้งสองข้างของท่านปู่เองก็ค่อยๆ ไร้เรี่ยวแรง ความไม่เต็มใจเช่นนั้นได้ถึงขีดสุดแล้ว”
“แต่ท่านก็ผ่านมาได้แล้ว”
“ใช่” เย่ว์ติ้งเอ่ยต่อไปว่า “ท่านปู่แก่แล้ว ข้าไม่อยากให้ท่านเสียใจเพราะข้า พอมาคิดให้ดีแล้ว ความพิการก็ใช่ว่าจะมีสิ่งใดไม่ดี อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ ที่ดีที่สุดก็คือการได้ถอยออกมา มีลูก สอนแม่ทัพน้อยที่มีความสามารถในการต่อสู้ขึ้นมาอีก”
“เอ่ยถึงตรงนี้ ท่านไร้ความรู้สึกตั้งแต่บริเวณเอวลงไป ในฐานะข้าที่เป็นหมอ จึงขอบังอาจถาม สิ่งนั้นของท่านยังปกติดีหรือไม่”
ทุกคนพลันชะงักไป
เย่ว์ติ้งเองก็ตกใจเช่นกัน อยากรู้เช่นกันว่าที่นางเอ่ยเช่นนี้เพราะเหตุใด ใบหน้าพลันเห่อร้อนขึ้น เปลี่ยนเป็นแดงก่ำขึ้นมา
ทุกคนพลันเข้าใจ คนที่กระแอมไอก็กระแอมไอ มองฟ้ามองฝนพูดไม่ออก
นางเองก็ตรงเกินไปและกล้าหาญเกินไปแล้ว
เย่ว์ติ้งยิ่งรู้สึกอายขึ้นมา เจ้ายังเป็นสตรีอยู่หรือไม่
“สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการรักษาด้วยหรือ”
“แน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องสิ หากประสิทธิภาพยังปกติ แต่อาการอัมพาตไม่สามารถรักษาได้ อย่างน้อยก็ยังให้กำเนิดบุตรได้ หากไม่ได้เช่นนั้นก็คงรุนแรงมาก มองในลักษณะเดียวกันหากบริเวณส่วนล่างทั้งหมดของท่านไร้ความรู้สึก คงเกิดปัญหาใหญ่แล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นโดยที่ยังคงสีหน้าปกติ
เย่ว์ติ้งหน้าแดง คำที่แทบเค้นออกมาจากซอกฟัน “โชคดีแล้ว ปกติดียิ่ง”
หากตรงนั้นใช้การไม่ได้จริงๆ กลัวว่าชีวิตเขาก็คงไร้ความหมาย
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ได้ ขึ้นไปบนเตียงเถิด ข้าจะตรวจท่านดูสักหน่อย”
ตรวจที่ใดกัน
เย่ว์ติ้งไม่กล้าขยับเขยื้อน
ทว่าบ่าวรับใช้ได้ให้องครักษ์เข้ามาช่วยแล้ว
“ท่านอย่ามองด้วยสายตาดูแคลนนัก ข้าเพียงตรวจส่วนเอวของท่าน” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นด้วยความสนอกสนใจ
เย่ว์ติ้ง “…”
เขาถูกยกขึ้นบนเตียง ได้ยินฉินหลิวซีสั่งให้องครักษ์ถอดเสื้อผ้า พลิกตัว
เย่ว์ติ้งเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตนเองจะยอมให้ผู้อื่นมารุกราน จำต้องหลับตาลงอย่างอดไม่ได้
เมื่อฉินหลิวซีมาถึงข้างเตียง ถลกเสื้อของเขาขึ้น ลูบคลำบริเวณผิวหนังและกล้ามเนื้อ เอ่ย “ผิวของเขาบางและแห้งเหี่ยว กล้ามเนื้อผอมลีบ”
หลายคนอาจจะไม่เข้าใจ แต่เถิงเจากลับหยิบสมุดเล็กขึ้นมาจดบันทึกอาการของโรค เป็นการเปิดโลกทัศน์อย่างอดไม่ได้
ฉินหลิวซีสัมผัสบริเวณก้นกบ และใช้ความชำนาญในการกด “รู้สึกเจ็บหรือไม่”
“ไม่”
“กระดูกสันหลังชาไร้ความรู้สึก ไม่รู้เจ็บรู้คัน”
ขณะที่นางเอ่ยไป เถิงเจาก็จดบันทึกไป บ่าวรับใช้ชราและองครักษ์ที่มองดูอยู่รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง การรักษาเช่นนี้ดูเหมือนว่าจะรอบคอบกว่าหมอคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้
ฉินหลิวซีที่กดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้กำลังเป็นบางครั้ง จนมาถึงขาทั้งสองข้าง ก็ได้ถลกขากางเกงขึ้น เมื่อมองเห็นขาคู่นั้น คิ้วก็ขมวดขึ้น
บ่าวรับใช้เห็นเช่นนั้น เอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้าอาวาสน้อย ทำไมหรือ รักษาได้หรือไม่”
“ปัญหาใหญ่แล้ว”
หัวใจของบ่าวรับใช้หนักอึ้ง ร่างกายโงนเงน ขอบตาเริ่มแดง นางเองก็ไม่มีวิธีหรือ
เย่ว์ติ้งเองก็หมดหวังเช่นกัน เมื่อเห็นนางส่ายศีรษะเอ่ยเช่นนั้น นึกว่ายังมีความหวัง ก็จริง นางเองก็อายุยังน้อยเพียงนี้เอง
ฉินหลิวซีเอ่ย “ขาทั้งสองข้างฝ่อลีบเปลี่ยนรูปร่าง”
เถิงเจาบันทึกลงไป ถามขึ้นหนึ่งประโยคในเวลาที่เหมาะสม “อาจารย์ หากขาลีบไม่อาจรักษาได้หรือขอรับ”
“แน่นอนว่า หากกล้ามเนื้อฝ่อลีบเปลี่ยนรูป อันดับแรกต้องฟื้นฟูก่อน ไม่เช่นนั้นหากรักษาหายแล้ว ขานี้ก็ไร้เรี่ยวแรงไม่สามารถยืนได้ เพราะว่ากล้ามเนื้อใช้ไม่ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นด้วยอาการปวดหัว “เช่นนี้แล้วต้องรักษาอาการฝ่อลีบให้หายก่อนถึงค่อยดำเนินการรักษาต่อไป ซึ่งก็จะยืดระยะเวลาการรักษาออกไปด้วย ยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง”
บ่าวรับใช้ชราพลันตัวสั่นเทา เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อยท่านเอ่ยเช่นนี้หมายความอย่างไร ท่านจะบอกว่าอาการอัมพาตของนายน้อยข้ายังรักษาได้ใช่หรือไม่”
“ข้าไม่ได้บอกว่ารักษาไม่ได้นี่ เนื่องจากกระดูกสันหลังเขาได้รับบาดเจ็บภายนอก ทำให้เส้นประสาทเกิดการเสียหายจนทำให้ส่วนล่างของร่างกายกลายเป็นอัมพาต สามารถรักษาด้วยการฝังเข็มและการแช่ยาสมุนไพร เป็นการรักษาเช่นเดียวกันกับท่านแม่ทัพอาวุโส นอกจากนั้นแล้ว พวกเจ้าดู ขาทั้งสองข้างของเขาฝ่อลีบจากการที่ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน ก่อนทำการรักษาต้องจัดการกับขาที่ฝ่อลีบให้เป็นปกติเสียก่อน ถึงจะสามารถรักษาได้อย่างจริงจัง ดังนั้นจึงต้องใช้เวลานาน ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรอกหรือ”
ทุกคน “!”
นี่นับเป็นปัญหาอะไรกัน หากสามารถรักษาหายแล้วล่ะก็ จะสิบปียี่สิบปีก็ไม่เป็นปัญหามิใช่หรือ
แค่คำเดียวว่าสามารถรักษาได้ มันช่างลดเลี้ยวเคี้ยวคดเสียจริงๆ
บ่าวรับใช้ชราที่ตื่นเต้นเหลือคณา เขาสะอึกสะอื้นขณะมองไปยังเย่ว์ติ้ง “คุณชาย ท่านดูสิ ท่านเจ้าอาวาสน้อยสามารถรักษาท่านให้หายได้”
เขากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
มือทั้งสองข้างของเย่ว์ติ้งกำแน่น แววตาเป็นประกายแวววาว สะกดความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ เอ่ยถาม “ที่ท่านเจ้าอาวาสน้อยบอกว่าใช้ระยะเวลานาน นานเพียงใดหรือ”
“ต้องดูที่ร่างกายท่าน หากเร็วก็สองถึงสามเดือน หากช้าก็อาจครึ่งปี ยากที่จะเอ่ย อย่างไรก็ตามก็คงไม่เกินหนึ่งปี” ฉินหลิวซีมองไปยังขาของเย่ว์ติ้ง กล้ามเนื้อได้ฝ่อลีบเปลี่ยนรูปร่างไปแล้ว เพียงเรี่ยวแรงเล็กน้อยก็ยังไม่มี เอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ “หากไม่ใช่เพราะกล้ามเนื้อขานี้ฝ่อลีบ ก็อาจจะเร็วขึ้นมาบ้าง พวกท่านไปหาหมอชื่อเสียงโด่งดังมามากมาย ไยไม่มีผู้ใดบอกพวกท่านว่าขานี้จะต้องนวดทุกวันเพื่อให้เลือดลมไหลเวียน”
การที่แข้งขาฝ่อลีบทำให้เส้นประสาทร่างกายส่วนล่างได้รับความเสียหาย ด้วยเหตุนี้การอัมพาตครึ่งซีกยิ่งรุนแรง การฟื้นฟูก็ยิ่งช้า ลองคิดดู หากกล้ามเนื้อขาคู่หนึ่งไร้เรี่ยวแรงประคับประคอง ทำให้ท่านไร้ซึ่งการรับรู้ แล้วจะมีกำลังลุกขึ้นยืนได้อย่างไร
เย่ว์ติ้งที่ไม่ได้ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของฉินหลิวซีเลยแม้เพียงนิด ในหัวเอาแต่นึกย้อนไปถึงคำพูดของนาง
หากเร็วก็สองสามเดือน หากช้าก็ครึ่งปี ไม่เกินกว่าหนึ่งปี
ในหัวของเย่ว์ติ้งราวกับดอกไม้ไฟกำลังระเบิด สว่างพร่างพรายเกินกว่าสิ่งใด นี่อาจเป็นคำพูดที่น่าฟังที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาเลยก็ว่าได้