คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 51 เข้าตานาง ตอนที่ 52 ข้าอ่อนแอจึงมารยา
ตอนที่ 51 เข้าตานาง / ตอนที่ 52 ข้าอ่อนแอจึงมารยา
ตอนที่ 51 เข้าตานาง
สะใภ้กู้ยังยอมรับความหวังดีของฉินหลิวซี เพราะถึงอย่างไรบิดาของเด็กก็ยังอยู่ในระหว่างถูกเนรเทศ หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา บุตรชายสองคนนี้ก็ยังเป็นหลักให้บ้านสามยึดได้
สะใภ้กู้กัดฟันยอมเห็นแก่ตัวสักครั้ง หันไปเอ่ยกับฉินหลิวซี “ซีเอ๋อร์ ตอนนี้หากอาสะใภ้สามเอ่ยว่าจะใช้คืนให้เจ้าในภายหลังก็เหมือนกับกำลังวาดฝันให้เจ้าดู ข้าจึงไม่ขอเอ่ยอะไรทั้งนั้น เจ้าวางใจได้ บ้านสามของพวกเราจะจดจำน้ำใจของเจ้าไว้ไม่มีลืม”
บุญคุณเพียงน้ำหยด ต้องทดแทนดั่งสายธาร นี่เป็นสิ่งที่พวกนางสามคนแม่ลูกควรจะจดจำไว้ตั้งแต่ที่สามารถคลอดลูกออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว
ฉินหลิวซียิ้ม “อาสะใภ้สามพักฟื้นให้ดี มีความสุขรออยู่ในภายภาคหน้า”
สะใภ้กู้ใจเต้นโลดขึ้นทันที หว่างคิ้วของนางสดใสขึ้นทันที มีความสุขรออยู่ในภายภาคหน้าหรือ
นางไม่ได้คิดอะไรมาก และสั่งให้แม่นมอุ้มเด็กทั้งสองเข้ามาเพื่อทักทายฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีโอบอ้อมอารีกับทารกแรกเกิดทั้งสองมาก เมื่อนางเห็นว่าพวกเขาตื่นอยู่ในเวลานี้ แต่มือไม้กลับไม่ได้เปะปะไปทั่วและกดอยู่ที่ปาก ทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้
นางจับมือเด็กน้อยขึ้นมาก่อนจะวางนิ้วหนึ่งลงบนข้อมือน้อยๆ นั้น ปล่อยไว้สักพักก็เปลี่ยนไปที่อีกคน
“ถ้าเด็กรู้สึกไม่สบาย ให้ไปหาฉีหวง นางอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว พอจะเข้าใจเรื่องยาอยู่บ้าง” ฉินหลิวซีมองสะใภ้กู้พลางเอ่ย
“ตกลง” สะใภ้กู้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
ฉินหลิวซีลูบศีรษะของเด็กน้อยทั้งสองอีกครั้งแล้วจึงกล่าวลา
“เป่าเอ๋อร์ เจ้าไปส่งพี่หญิงใหญ่หน่อย” สะใภ้กู้หันไปพูดกับบุตรสาวที่หลบอยู่ข้างประตู
ฉินหมิงเป่าเดินออกไปและมองฉินหลิวซีอย่างเขินอาย ก่อนจะทักทายด้วยเสียงอันแผ่วเบา “พี่หญิงใหญ่ เป่าเอ๋อร์ไปส่งท่านนะเจ้าคะ”
ฉินหลิวซีเดินออกไปโดยมีฉินหมิงเป่าเดินตามหลังมา หลังจากที่เดินออกจากห้องจนมาถึงลานบ้าน นางก็ถูกจับชายเสื้อไว้จนอดที่จะก้มลงมองไม่ได้
ฉินหมิงเป่าปล่อยมือ เงยศีรษะขึ้นมองคนที่ทั้งเหมือนพี่ชายและเหมือนพี่สาว กะพริบตาปริบๆ ใบหน้ากลมเล็กแดงก่ำ
ก่อนที่ตระกูลฉินจะเกิดเรื่อง นางไม่เคยพบเจอฉินหลิวซีมาก่อนเลย เพียงแต่ได้ยินจากท่านแม่อยู่บ้างว่านางยังมีพี่หญิงใหญ่อยู่อีกคนหนึ่ง และด้วยสุขภาพที่ย่ำแย่มาตั้งแต่เล็กจึงต้องเติบโตในบ้านเก่า
ต่อมาเมื่อได้พบเจอแล้วก็พบว่าพี่หญิงใหญ่คนนี้เก่งมาก ไม่เพียงแต่ช่วยมารดาไว้เท่านั้น แต่ยังช่วยน้องชายทั้งสองไว้ด้วย นางจะต้องเป็นเซียนที่ท่านเทพส่งลงมาเป็นแน่
ฉินหมิงเป่าคุกเข่าลงทันทีและโขกศีรษะคำนับฉินหลิวซีอย่างเอาจริงเอาจัง
ฉินหลิวซี “!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันจนนางไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ทัน
นางพยุงเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมาพลางเอ่ยถาม “อยู่ดีๆ เจ้าคุกเข่าทำไมหรือ”
ฉินหมิงเป่าเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยแววตาเคารพและซาบซึ้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นน้ำเสียงอย่างเด็กน้อย “พี่หญิงใหญ่ช่วยท่านแม่และน้องชายของข้าไว้ ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทน ทำได้เพียงคารวะท่านอย่างนี้เท่านั้น แต่ถ้าต่อไปข้ามีความสามารถแล้ว ข้าจะต้องตอบแทนพี่หญิงแน่ ข้าสาบานเจ้าค่ะ!”
ฉินหลิวซีได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้างอย่างจริงใจออกมาทันที มองดูใบหน้ากลมๆ คางป้อมๆ เส้นผมมัดเป็นมวยสองข้างรัดไว้ด้วยแถบผ้าแดง นางสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบ คาดเอวด้วยแถบผ้าไม่ต่างอะไรกับลูกชาวนาเหล่านั้น ช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสานัก
ฉินหลิวซีบีบแก้มนาง และหลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อหนึ่งแผ่นก่อนจะยื่นให้ “พี่หญิงใหญ่จะชดเชยของขวัญพบหน้าให้เจ้า เก็บไว้สำหรับตัวเจ้าเองนะ ค่อยเอาไปซื้อขนม”
ฉินหมิงเป่ารู้สึกประหลาดใจ ก้มลงมองตัวเลขบนตั๋วเงินแล้วดวงตาก็เบิกกว้าง และเมื่อนางเงยหน้าขึ้นอีกที ชายเสื้อพี่หญิงใหญ่ก็ลับหายออกไปทางประตูแล้ว
ฉินหมิงเป่าไล่ตามหลังไปเล็กน้อย หลังจากที่ไม่ทันฉินหลิวซีแล้วจึงกลับไปที่ห้องสะใภ้กู้และยื่นตั๋วเงินให้นางพลางเล่าเรื่องนี้อย่างไม่สบายใจ “ท่านแม่ ท่านว่าข้าควรจะเอาไปคืนให้พี่หญิงใหญ่ดีหรือไม่เจ้าคะ”
สะใภ้กู้มองดูจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงบนตั๋วเงินนั้นแล้วลูบศีรษะของบุตรสาวพลางถอนหายใจ “เจ้าถือว่าโชคดีนะ ในเมื่อพี่หญิงใหญ่ให้เจ้ามาแล้ว เจ้าก็เก็บเอาไว้เองเถิด เพียงแต่เจ้าต้องจำไว้ว่าต่อไปจะต้องตอบแทนกลับไปให้มากๆ”
หากนางไม่โชคดี แล้วจะเข้าตาฉินหลิวซีได้อย่างไร
ฉินหมิงเป่ามองตั๋วเงินด้วยท่าทางเหมือนจะเข้าใจ
ตอนที่ 52 ข้าอ่อนแอจึงมารยา
ฉินหลิวซีขึ้นรถม้าท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของฉีหวง ในขณะที่เฉินผีโบกมือให้พี่สาวของตนด้วยรอยยิ้มขี้เล่นและสีหน้ามีชัย
ฉีหวงกัดฟันและขู่ว่า “ถ้าเจ้าไม่ดูแลนายท่านให้ดี ปล่อยให้นางชนโน่นชนนี่เป็นอะไรไป กลับมาแล้วข้าจะถลกหนังเจ้า ต่อไปเจ้าจะไม่ได้ชื่อว่าเฉินผีแล้ว แต่ชื่อปาผี[1]แทน”
เฉินผีตัวสั่นเล็กน้อยและเก็บสีหน้าอาการ “ข้ารู้แล้ว”
จากนั้นฉีหวงจึงมองส่งพวกเขาอยู่เนิ่นนานกว่าจะหมุนตัวกลับเข้าห้องไป
ฉินหลิวซีตกลงกับฉีเชียนเอาไว้แล้วว่าจะรออยู่ที่ประตูเมืองตงหวา พวกเขามาสาย คนเหล่านั้นรออยู่นานแล้ว
“ท่านปรมาจารย์” ฉีเชียนเข้ามาต้อนรับ เขาดูโล่งใจที่เห็นฉินหลิวซีปรากฏตัวอย่างเห็นได้ชัด
ฉินหลิวซีเอ่ย “อย่าเรียกข้าว่าปรมาจารย์ เดิมข้าแซ่ฉิน”
ฉีเชียนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะประสานมือคำนับใหม่ “เช่นนั้นก็ ท่านหมอฉินดีหรือไม่”
“แล้วแต่เลย” ฉินหลิวซีโบกมือก่อนจะเอ่ย “รถม้าเล่า”
เมื่อหันไปมองรอบๆ ก็เห็นม้าตัวใหญ่แข็งแรงตัวหนึ่ง ด้านหลังประกอบด้วยตัวรถม้าที่ดูเรียบง่ายและแข็งแรงมั่นคง นางเดินเข้าไปดูแล้วก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ภายนอกดูเรียบง่ายและแข็งแรง แต่ภายในกว้างขวางพอให้นอนราบลงได้ บนรถม้าปูเบาะและเครื่องนอนนุ่มๆ จัดวางหีบและโต๊ะตัวเล็กจำนวนหนึ่ง รวมถึงเตาไฟเล็กๆ และถ่านเงิน
เฉินผีกระโดดขึ้นไปก่อนและวางสัมภาระของทั้งสองคนลง จากนั้นเขาก็เปิดหีบที่อยู่บนรถม้าพวกนั้นดู และพบว่ามีผลไม้แห้งขนาดเล็กหลากหลายชนิดอยู่ในนั้น ทั้งยังมีใบชาและชุดชา รวมถึงเตาอุ่นมือขนาดเล็กสำหรับเก็บความร้อนและอื่นๆ ซึ่งถือได้ว่าครอบคลุมครบครัน
เฉินผีแสร้งทำเป็นอยากรู้อยากเห็น แต่แท้จริงแล้วเขากำลังค้นหาเผื่อจะพบอะไรที่ไม่ควรอยู่บนรถม้า
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยิ้มและเอ่ยกับฉินหลิวซีด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “คุณชาย รถม้าคันนี้ใช้ได้เลย ไม่ว่าอะไรก็มีให้หมด เหมือนบ้านหลังเล็กๆ ที่สามารถเคลื่อนที่ได้เลยขอรับ”
อิงหนานที่เดินตามหลังฉีเชียนมาอดกลอกตามองบนไม่ได้ ที่อะไรก็มีให้หมดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะคุณชายของเจ้าเรียกร้องเอาไว้อย่างจริงจังหรือ
แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา
ฉินหลิวซีเองก็หัวเราะออกมาเช่นกันแล้วประสานมือให้ฉีเชียน “รบกวนคุณชายแล้ว สุขภาพข้าอ่อนแอ จึงต้องมารยาหน่อย”
“ท่านพอใจก็ดีแล้ว” ฉีเชียนมองขนตางอนยาวของอีกฝ่ายขณะเอ่ยตอบ ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด
พอใจ ไม่มีความคิดอะไรแผลงๆ ก็แปลว่าสามารถออกเดินทางได้แล้ว
“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันเถิด รีบไปรีบกลับ เฮ้อ ข้าเป็นพวกคิดถึงบ้าน ไม่ค่อยชอบเดินทางไกล” ฉินหลิวซีกระโดดขึ้นรถม้า ภายในรถม้าเฉินผีได้วางหมอนและผ้าห่มไว้ให้เจ้านายของตนได้นอนชดเชยแล้ว
ฉีเชียนกวาดตามองมา ท่าทางแบบนี้ เขากำลังจะนอนอย่างนั้นหรือ
วิญญูชนไม่พึงดูสิ่งที่ผิดจริยา เขาจึงกลับไปที่รถม้าของตนเตรียมออกเดินทาง
หลังจากขึ้นรถม้าฉินหลิวซีก็นอนลงจริงๆ เฉินผีรินชาจากกระติกน้ำร้อนยื่นให้นาง แล้วจึงจุดธูปหอม ก่อนจะขยับไปนั่งใกล้ประตูรถม้า
“คุณชาย ท่านนอนเถิด ข้าจะเฝ้าอยู่ตรงนี้”
ฉินหลิวซีหาวออกมาหนึ่งที “รถม้าคันนี้กว้างขวาง ถ้าเจ้าเหนื่อยก็นอนลงได้ จะเฝ้าหรือไม่เฝ้าก็ไม่เป็นไร องครักษ์ข้างนอกนั่นไม่ได้เลี้ยงไว้ให้เปลืองข้าวสุกเสียหน่อย”
พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่ฉลาดและมีระเบียบวินัย จะต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดแน่นอน
เฉินผีตอบรับด้วยรอยยิ้ม
บนรถม้าอีกคัน อิงหนานเห็นการเคลื่อนไหวทางด้านฉินหลิวซีและรายงานต่อฉีเชียนอย่างระมัดระวัง “คุณชาย พวกเขานอนลงจริงๆ ขอรับ”
ฉีเชียนเหลือบมองนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ย “ออกเดินทางกันเถิด”
อิงหนานไม่กล้าเอ่ยมากความ เขาคำนับอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้หั่วหลางหัวหน้าองครักษ์
ทั้งขบวนออกเดินทางอย่างช้าๆ ฉินหลิวซีได้ยินเสียงกุกกักของล้อรถม้า แต่ก็หลับสนิทไปในที่สุด
[1] ปาผี (扒皮) แปลว่า ถลกหนัง ลอกหนัง ปอกเปลือก