คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 528 ทำบุญแทน
ตอนที่ 528 ทำบุญแทน
ใกล้เวลาพลบค่ำ พวกของฉินหลิวซีนับว่ามาถึงประตูฉงหวาด้านนอกเมืองเซิ่งจิงทันเวลา ทันต่อท้ายแถวคนเข้าเมือง
แถวค่อนข้างยาว การตรวจหนังสือเดินทางค่อนข้างล่าช้า สยงเอ้อร์กระโดดลงจากรถม้า เดินมายังพวกฉินหลิวซีที่ยืนอยู่ข้างรถ อธิบายว่า “ข้าถามคนขับรถม้าแล้ว เป็นเพราะฤดูใบไม้ผลิที่กำลังใกล้เข้ามา ซึ่งหมายถึงใกล้เวลาการประกาศผลสอบ ดังนั้นจึงมีคนเดินทางเข้าเมืองหลวงเป็นจำนวนมาก การตรวจตราคนเข้าเมืองจึงล่าช้าออกไป ยังมีอีก ได้ยินมาว่าโรงประมูลจิ่วเสียนปล่อยข่าวออกมาว่าหลังจากเทศกาลตรุษจีนจะมีการเปิดประมูลอีกรอบ ผู้คนจึงหลั่งไหลมาตามข่าวที่แพร่สะพัดออกไป”
ขณะที่กำลังเอ่ย สายตาแวววาวของเขาจ้องมาที่พวกของฉินหลิวซี ลองถามหยั่งเชิง “ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าอาวาสน้อยบอกว่าจะพักที่โรงประมูลจิ่วเสียนใช่หรือไม่”
เฟิงซิวเหล่ตามองเขา “ทำไม เจ้าอยากสืบข่าววงในอย่างนั้นหรือ”
สยงเอ้อร์ยิ้มแหย เกาหัวยิกๆ “ก็ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นเพราะว่าป้ายผ่านเข้าโรงประมูลจิ่วเสียนหายากยิ่งนัก หากว่าอยากเข้าร่วมการประมูล ต้องมีป้ายผ่านทางถึงจะเข้าได้? คนขับรถม้าคนนั้นกล่าวว่าการประมูลในฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ เพราะใกล้วันพระราชพิธีหมื่นพรรษา[1]ป้ายผ่านเข้างานประมูลยิ่งหายากมากขึ้นเป็นหลายเท่าตัว
สิ่งที่เขาอยากรู้คือพวกเขาพักในโรงประมูลจิ่วเสียน หรือว่าจะมีคนคุ้นเคยอยู่ในนั้น?
เฟิงซิวเบะปาก “ท่านเป็นคนเมืองเซิ่งจิงที่สง่าผ่าเผย มีหรือจะไม่รู้ว่าวันพระราชพิธีหมื่นพรรษาคือวันไหน ปีไหนบ้างที่จิ่วเสียนไม่เคยจัดวันประมูลก่อนหน้าวันงานพระราชพิธีเพื่อโกยเงิน?”
อืม เทศกาลโกยเงิน ไม่ผิด
ฉินหลิวซีมองไปยังสยงเอ้อร์ “อยากเข้าร่วมงานประมูลหรือ”
สยงเอ้อร์ตาเป็นประกาย สุดท้ายก็มีทางเข้าไปได้ใช่หรือไม่ เขาประกบฝ่ามือถูไปมาพลางเอ่ย “หากได้เข้าไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อยคงจะดี”
ฉินหลิวซีปรายตามองเฟิงซิว “น่าสงสาร น่าสงสาร เด็กเมืองหลวงหรือนี่ คาดไม่ถึงไม่เคยไปงานประมูลจิ่วเสียน”
เฟิงซิว “…” ทำไมเป็นข้า? เอาเถอะ บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังจิ่วเสียน ต้องเป็นเขานี่แหละ
เฟิงซิวควานเข้าไปในแขนเสื้อหยิบเอาขนสีแดงออกมากระจุกหนึ่งส่งให้ “อาศัยสิ่งนี้ เจ้าสามารถเข้าไปได้ทุกครั้งที่มีการประมูล”
สยงเอ้อร์จ้องขนสีแดงขยุกขยุยกระจุกนั้น ทำไมรู้สึกว่าน่าอัปลักษณ์นัก
“จะเอาหรือไม่เอา ไม่เอาก็คืนมา” เฟิงซิวถลึงตาใส่
สยงเอ้อร์รีบแย่งมา รอจนเขาหยิบมาถือไว้ในมือ ขนสีแดงนั้นเปลี่ยนเป็นแผ่นป้ายรูปจิ้งจอกสีแดงเพลิงอย่างไม่น่าเชื่อ สวยงามยิ่งนัก ปราดเปรียวราวกับมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาคู่นั้นที่ดูเฉียบคมและคุ้นเคย?
เขามองป้ายรูปจิ้งจอก แล้วหันไปมองเฟิงซิว หัวใจกระเจิดกระเจิง เขารู้สึกเหมือนสังเกตเห็นสิ่งที่เหลือเชื่อ?
ฉินหลิวซีออกปากเตือน “ป้ายนี้อย่าให้ใครส่งเดช มันยังสามารถเป็นยันต์คุ้มครองตัวได้”
สยงเอ้อร์รีบเอาซ่อนไว้ในอกเสื้อ โค้งคารวะเฟิงซิวเป็นการใหญ่ “ขอบคุณอย่างยิ่งผู้เฒ่าเฟิง”
ผู้เฒ่า?
เฟิงซิวอยากจะบอกให้เรียกเขาว่าพี่ชาย แต่เป็นผู้เฒ่าสักชาติหนึ่งดูร้ายกาจไม่เบา เขาจึงไม่ได้แก้ไขคำนั้น “รีบไปดูทีอีกนานเท่าใด นั่งรถม้านี่มาตั้งนาน โขยกเขยกจนเอวข้าจะขาดแล้ว”
“โอ้ โอ้ โอ้”
“ไม่ต้องรีบร้อน” ฉินหลิวซีมองไปยังรถม้าที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติที่มีกลุ่มผู้คุ้มกันคอยเปิดทางให้รถม้าวิ่ง นางบุ้ยปากไปทางรถม้า “รถม้านั่นเป็นของคนตระกูลไหน”
สยงเอ้อร์เหลือบตาไปมอง ผู้คุ้มกันคอยเปิดทาง ใครๆ ต่างหลบทางให้เป็นแถว เมื่อรวมกับขบวนรถม้าที่เรียงแถวกันมาอย่างเป็นระเบียบ มองแถวขบวนนั้นและเครื่องหมายแสดงยศที่ติดอยู่หน้ารถม้า
ดอกกล้วยไม้และอักษร ‘ลิ่น’
สยงเอ้อร์ตกใจจนพูดไม่ออก “นั่นคือคนของจวนเสนาบดีลิ่น รถม้าคันนี้แม้ดูลักษณะเรียบง่ายไปสักหน่อย แต่ขณะที่วิ่งไม่มีสะเทือน คาดว่าเป็นรถม้าของสมาชิกในครอบครัวที่เป็นสตรีเดินทางออกมา”
ในรัชสมัยนี้มีสามเสนาบดี ลิ่นหรูเฟิง เซี่ยเจิ้งถิง และเฉินเหล่ย เสนาบดีลิ่นเป็นใหญ่ที่สุดในสามเสนาบดี เดิมเป็นบัณฑิตยากจนและยังเป็นจอหงวนที่อดีตฮ่องเต้ทรงคัดเลือกด้วยองค์เอง เขาสนับสนุนการปฏิรูปการปกครองแบบใหม่มาโดยตลอด ด้วยชื่อเสียงด้านความเที่ยงตรงเขาลงโทษคนไปไม่น้อย ทั้งยังเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเหล่าขุนนางหัวเก่าที่สนับสนุนการปกครองแบบดั้งเดิม”
แต่เพราะนโยบายจำนวนมากของเสนาบดีลิ่นได้ถูกประกาศใช้ ซึ่งไปสั่นสะเทือนตำลึงเงินในกระเป๋าของตระกูลขุนนางเก่า และยังลิดรอนอำนาจของพวกเขาอีก ดังนั้นในสามเสนาบดี เสนาบดีเซี่ยที่มาจากตระกูลขุนนางเก่าแก่กับเสนาบดีลิ่นจึงประจันหน้ากันมาโดยตลอด ส่วนเสนาบดีเฉินยังคงรักษาความเป็นกลางเอาไว้
“รถม้านั้นทำไมหรือ” ในใจสยงเอ้อร์รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
ฉินหลิวซีคนนี้ไม่ใช่คนที่ทักเรื่องดีสักเท่าใด อยู่ๆ ถามถึงขบวนรถม้าที่ดำเนินไปอย่างสงบ จะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน และนี่ยังเป็นคนของจวนเสนาบดีลิ่น
ฉินหลิวซีมองไปยังรัศมีทองแดงของรถม้าถูกเงาดำปกคลุมอย่างรวดเร็ว จึงเอ่ยว่า “คนที่อยู่ในรถเกรงว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดี หากเข้าเมืองไปทั้งอย่างนี้อาจสิ้นชีวิตได้”
สยงเอ้อร์ตกใจ
จิ่งเสี่ยวซื่อเห็นสยงเอ้อร์ลงจากรถไปนานไม่กลับมาเสียที เขาได้ยินคำพูดของฉินหลิวซี อดมองตามไปไม่ได้ “รถม้าคันนี้น่าจะเป็นของฮูหยินลิ่นผู้เฒ่า”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” สยงเอ้อร์ถามด้วยความตื่นตระหนก
จิ่งเสี่ยวซื่อเอ่ย “เจ้าดูสิ ตัวรถมีลายนกกระสาอยู่ตัวหนึ่ง นั่นเป็นฝีมือวาดภาพของลิ่นเจ๋อฟั่ง หลานชายจวนเสนาบดีลิ่น ว่าไปแล้วรถคันนี้เป็นรถคันที่เขาเคยส่งเป็นของขวัญอายุมั่นขวัญยืนให้ท่านย่า รถม้าแม้มีขนาดใหญ่กว่าปกติ แต่ภายในนั่งสบายมาก ทั้งยังถูกออกแบบมาให้ลดการสั่นสะเทือน ขณะที่วิ่งจะไม่โคลงเคลงเดินรถได้เรียบสนิท ตัวรถยังเสริมความแข็งแรงด้วยแผ่นเหล็ก ดาบหรือศรก็ยิงไม่เข้า ดังนั้นฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าเมื่อต้องการออกไปข้างนอกจะต้องนั่งรถคันนี้”
สยงเอ้อร์มองเห็นนกกระสาที่ดูปราดเปรียวราวกับมีชีวิตตัวนั้น เขากระซิบด้วยความกังขา “เจ้าหลานชายคนนี้เหลือเกินแล้ว นกกระสาที่วาดอยู่บนรถวาดได้เหมือนจริงยิ่งกว่าข้าวาดเป็ดลงบนกระดาษเสียอีก”
จิ่งเสี่ยวซื่อเคาะหัวเขาทีหนึ่ง “เจ้าโง่ เสนาบดีลิ่นเลี้ยงลิ่นเจ๋อฟั่งมากับมือ ทักษะการวาดภาพของเขายิ่งกว่าร่ำเรียนมาจากอาจารย์ทุกคนในเมืองเชียนหยาง[2] เจ้ายังกล้าเทียบชั้นกับเขา พูดออกมาก็เหมือนผายลมทิ้ง”
สยงเอ้อร์มีท่าทีละอาย เขากล่าว “หากนั่นเป็นรถม้าของฮูหยินลิ่นผู้เฒ่า คนที่อยู่ในนั้น เจ้าอาวาสน้อย…”
สองคนหันไปมองฉินหลิวซี นางบอกว่าถ้าเข้าเมืองไปอาจจะถึงตาย
ฉินหลิวซีกอดอกพลางกล่าว “แล้วแต่โชคชะตา“
ที่ว่าโชคชะตาไม่ใช่ว่าต้องใช้เงินซื้อมาหรอกหรือ สยงเอ้อร์หยิบเงินก้อนออกมาจากแขนเสื้อยัดใส่มือฉินหลิวซี “ข้าทำบุญแทนฮูหยิน นางเป็นคนดีคนหนึ่ง”
เด็กดี
ฉินหลิวซีหยิบเงินก้อนมากดดู ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย
ฉับพลันคนที่ยืนต่อแถวส่งเสียงร้องอย่างตกใจ
ม้าที่ลากรถของตระกูลลิ่นอย่างสงบ อยู่ดีๆ เหมือนมันตกใจ กีบเท้ายกสูงขึ้น ม้าดีส่งเสียงร้อง ‘ฮี้’ ขึ้นมา ทำให้คนคุ้มกันของระกูลลิ่นตื่นตระหนก มีคนรีบขึ้นไปบนหลังม้าพยายามทำให้มันอยู่นิ่งๆ อีกคนถึงกับกระโดดขึ้นไปบนหลังคา กดตัวรถไว้ไม่ให้รถเอียงล้ม
ชั่วพริบตาเดียวม้าที่ตกใจกลับนิ่งสงบลง มันไม่ได้วิ่งเตลิด รถม้าไม่ได้พลิกหงาย คล้ายกับว่าม้าดีดทีหนึ่งเท่านั้น
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว ชะตายังดีอยู่
“ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอะไรหรือไม่” ผู้คุ้มกันที่ตกลงมาจากรถม้ารีบประสานมือคารวะสอบถาม
เสียงอันไพเราะของหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้น “ท่านย่าไม่เป็นอะไร เดินทางต่อ…ท่านย่า?” เสียงใสไพเราะเปลี่ยนเป็นแหลมสูงร้อนรน ชัดเจนแล้วว่าภายในรถม้าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน
คนคุ้มกันตกใจ ขณะที่เขากำลังกล่าวโทษตัวเองว่าสมควรได้รับโทษ ประตูรถม้าถูกเปิดออก แม่นมเฒ่าคนหนึ่งรีบบอก “ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกไม่ดี รีบเรียกซิ่วกูออกมาเร็ว แล้วรีบส่งม้าเร็วกลับเข้าเมืองไปรายงาน และเชิญท่านหมอหลวงมาที่จวน”
คนคุ้มกันมองไปยังภายในรถม้า ฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าซีดขาวราวแผ่นกระดาษ เขารู้สึกหนักใจ รีบมองคนคุ้มกันที่เหลือส่งสัญญาณให้ทางสายตา “อิ๋งเฟิง เจ้าขับรถม้ากลับเข้าเมืองด้วยตัวเอง
“ขอรับ”
สาวใช้ทำผมให้ฮูหยินถือหวีเล่มหนึ่งรีบร้อนออกจากด้านหลังรถม้ามาที่ด้านหน้า
สยงเอ้อร์วิ่งมาถึง ได้ยินพวกเขากำลังจะไป จึงรีบกล่าว “เข้าเมืองไม่ได้ หากเข้าเมืองก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
จิ่งเสี่ยวซื่อแทบหกคะเมน เจ้าบื้อเอ้ย พูดจาไม่ได้เรื่อง
[1] วันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้
[2]เมืองเชียนหยาง สถานที่แห่งหนึ่งในมณฑลส่านซี ได้รับการยกย่องจากกวีแห่งราชวงศ์ถังว่าเป็น “ภูเขาที่มีน้ำมีความนุ่มนวลและสง่างามในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ”