คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 532 ไม่มีใครบังคับให้ข้าทำอะไรได้
ตอนที่ 532 ไม่มีใครบังคับให้ข้าทำอะไรได้
ตอนที่เดินเข้าไปในจวนของเสนาบดี ทั้งๆ ที่เป็นสถานที่ของคนชั้นสูงที่ปกติจอมเสเพลอย่างสยงเอ้อร์ไม่ได้รับเชิญเข้ามา แต่เมื่อมองดูตอนนี้ก็รู้สึกว่าเหมือนกำลังเดินเข้าไปในถ้ำโจร
สยงเอ้อร์อยู่ข้างหน้าของฉินหลิวซี สีหน้าเผยให้เห็นถึงความลังเลและไม่สบายใจ ถามอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “เจ้าอาวาสน้อย ข้าสร้างปัญหาให้ท่านแล้วใช่หรือไม่”
เพราะเขาคิดว่าฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าเป็นคนดี ไม่ควรตายเช่นนี้ เขาจึงขอให้ฉินหลิวซีช่วยนาง เขามีเจตนาดี แต่เรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ พวกเขารู้สึกราวกับถูกตระกูลลิ่นจับเป็นตัวประกัน หลังจากนั้นเขาจึงรู้สึกถึงความไม่ถูกต้อง เขาอาศัยความสนิทสนมบังคับให้ฉินหลิวซีไปช่วยคน เกรงว่าจะเป็นการใช้เจตนาดีทำเรื่องเลวร้าย
ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลลิ่นผู้นี้ไม่มีวาสนา เสียชีวิตระหว่างการรักษา ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้
มีเขากับเสี่ยวซื่อ แต่ที่สำคัญที่สุดคือฉินหลิวซี
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อนาง แต่นางเป็นเพียงหมอรักษา ไม่ใช่เทพเซียน ก็มีคนที่ไม่สามารถช่วยได้ นางเองก็บอกแล้วว่าช่วยโรคชราไม่ได้ ดังนั้นหากโชคร้ายเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นมา จะไม่เป็นการทำร้ายนางหรือ
ยิ่งสยงเอ้อร์คิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกผิด แล้วก็หงุดหงิดมาก ตัวเองหุนหันพลันแล่นเกินไปหน่อย
จิ่งเสี่ยวซื่อที่อยู่ข้างเขาถอนหายใจ แต่ไม่ได้กล่าวอะไร คนเราต้องเติบโต ให้เขาคิดได้เองจะดีกว่า หากปล่อยให้นิสัยเช่นนี้ต่อไป สักวันจะต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าสยงเอ้อร์มีสีหน้าไม่สบายใจ แล้วยังมีความหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบัง จึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่มีใครบังคับให้ข้าทำอะไรได้ รวมถึงรักษาคน หากข้าไม่อยากทำ ต่อให้เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดท่านนั้นก็บังคับให้ข้าทำไม่ได้ แต่หากข้าทำก็หมายความว่าข้าได้เตรียมพร้อมที่จะเผชิญสิ่งที่จะตามมา เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”
สยงเอ้อร์ตกตะลึง
“แต่เจ้ารู้ว่าตัวเองหุนหันพลันแล่นก็ดีแล้ว ต่อไปเมื่อเจอปัญหาต้องคิดให้มาก มองในมุมของผู้อื่นก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ การประมาทในเรื่องเล็กๆ นั้นไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่หากประมาทในเรื่องใหญ่ เจ้าสามารถฆ่าคนได้จำนวนมาก” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “อย่าปล่อยให้ใจที่ไร้เดียงสาของเจ้าทำให้เจ้าต้องลำบากในวันใดวันหนึ่ง คิดให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือทำเรื่องต่างๆ”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ยอีกว่า “วางใจเถิด เสนาบดีไม่กล้าเดิมพัน จึงได้เชิญพวกเรามา เขาจะไม่ทำอะไร คนผู้นี้เที่ยงตรง ยึดมั่นในคุณธรรม เขาเป็นขุนนางที่ดีที่สามารถปฏิบัติได้จริง แม้ว่าการกระทำของเขาอาจจะรุนแรงและทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเขาเป็นขุนนางที่ดีรับใช้ราษฎร”
เมื่อเสนาบดีลิ่นมาถึงหน้าประตูก็บังเอิญได้ยินสิ่งนี้พอดี สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย กระแอมขึ้นมา มองไปยังฉินหลิวซีพลางเอ่ยว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อย? ท่านแม่ของข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว หมอหลวงก็มาถึงแล้ว”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืนอย่างว่าง่าย
เถิงเจาตามนางไป หยิบกล่องยาไปด้วย
เสนาบดีลิ่นเหลือบมองเถิงเจาหลายครั้ง เด็กคนนี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่เล็กน้อย ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เถิงเจายกเปลือกตาขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหลือบมองเขาอย่างไม่ได้ใส่ใจ จากนั้นก็หลบมือของผู้ดูแลที่จะเข้ามาช่วยถือกล่องยา “ไม่เป็นไรขอรับ”
เงียบขรึม พูดน้อย ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กที่ไม่เป็นที่น่าพึงใจ แต่งกายเป็นระเบียบเรียบร้อยเกินไป ท่าทางซื่อตรง
ยิ่งเสนาบดีลิ่นมองก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย เอ่ย “เด็กเต๋าตัวน้อยผู้นี้ดูเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
ฉินหลิวซีกล่าวอย่างซื่อตรงโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น “ใช่ บุตรชายคนโตของเถิงเทียนฮั่น ตอนนี้เป็นลูกศิษย์ข้าแล้ว”
“หืม” อะไรนะ
เสนาบดีลิ่นชะงักฝีเท้า มองเถิงเจาอย่างละเอียด ใช่แล้ว นี่ก็คือร่างจิ๋วของผู้บัญชาการหนุ่มแห่งศาลต้าหลี่ไม่ใช่หรือ
ปีที่แล้วเถิงเทียนฮั่นจัดการคดียักยอกเงินราชสำนัก ทำได้ดีมาก ได้บันทึกผลงานทางการเมือง ตรุษจีนปีนี้ก็ได้แต่งภรรยาใหม่ ได้ยินฮูหยินบอกว่าภรรยาใหม่ผู้นั้นดูเหมือนจะมีข่าวดีแล้ว นับว่าสุขสมหวังเป็นอย่างมาก
แต่ตอนนี้ได้มอบบุตรชายคนโตให้เป็นลูกศิษย์ลัทธิเต๋า?
เถิงเทียนฮั่นช่างมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
เสนาบดีลิ่นถอนหายใจ “นับว่าใต้เท้าเถิงทำใจได้จริงๆ”
เถิงเทียนฮั่น ‘เป็นเรื่องเล่าเคล้าน้ำตาทั้งนั้น’
ฉินหลิวซียิ้มพลางลูบศีรษะศิษย์ เอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “แน่นอนว่าเป็นเพราะเห็นว่าข้ามีความสามารถ”
เสนาบดีลิ่นมองไปที่นาง คิดในใจว่า ‘เจ้าเองก็ยังเป็นเด็ก แต่กลับเป็นเด็กที่รับศิษย์แล้ว เหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ’
ขณะที่พานางไปยังเรือนของท่านแม่ เสนาบดีลิ่นราวกับเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ได้ใส่ใจว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อยทำนายดวงชะตาได้หรือไม่”
“ได้เล็กน้อย”
ทันใดนั้นเสนาบดีลิ่นไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาอย่างไร จึงเปลี่ยนเรื่องไปถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยมีความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับอาการป่วยของท่านแม่ข้าหรือไม่”
“ไม่มีความเห็นใดๆ ฮูหยินผู้เฒ่าสุขภาพไม่ดีตั้งแต่ยังเยาว์วัย ดูแลรักษาตัวในจวนนี้มาหลายปี ใบสั่งยาของหมอหลวงก็นับว่าถูกกับโรค ปีนี้นางก็อายุเกือบเจ็ดสิบปีแล้วกระมัง”
เสนาบดีลิ่นเม้มริมฝีปาก “หกสิบแปดปีแล้ว”
“ท่านเสนาบดี ในวัยนี้นอกเหนือจากการรักษาร่างกายและจิตใจให้มีความสุขและการบำรุงแล้ว ส่วนที่เหลือทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ การเกิดและการตายถูกกำหนดไว้แล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย
เสนาบดีลิ่นหัวใจเต้นรัว อ้าปากอยากจะถามว่ายังอยู่ได้อีกกี่ปี
แต่เขาไม่กล้าถาม
แต่ดูเหมือนฉินหลิวซีจะเข้าใจสิ่งที่เขาคิด เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบามาก “หากดูแลอย่างพิถีพิถัน ก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะมีชีวิตอยู่ถึงเจ็ดสิบปี ไม่ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับชะตาชีวิต”
เสนาบดีลิ่นชะงักฝีเท้า ลมหายใจแผ่วเบาลง หันกลับไปมอง
ภายใต้ยามค่ำคืน ดวงตาสดใสคู่นั้นสบตากับเขา ไม่หวาดหวั่น ไม่ยำเกรง
แม้แต่เด็กรุ่นหลังในตระกูลก็ยังไม่กล้าสบตาเขา แต่ฉินหลิวซีกลับไม่กลัวเลยแม้แต่นิด สายตาสงบนิ่ง ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องธรรมดาทั่วไป
เสนาบดีลิ่นมองไปทางอื่น เอ่ยขึ้นมาว่า “ถึงแล้ว”
ฉินหลิวซีเดินตามเขาเข้าไปในเรือนนอนฮูหยินผู้เฒ่า นอกจากสตรีและบุรุษบางคนที่สวมเสื้อผ้าหรูหราแล้ว ยังเห็นหมอหลวงที่มีหนวดเคราสีเทากำลังจับชีพจรให้ฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อเห็นเสนาบดีลิ่นมาก็ลดมือลง
เสนาบดีลิ่นเข้าไปถาม “ท่านหมอหลวงโอว ท่านแม่ข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“โรคหลอดเลือดในสมองเกิดจากหยางของตับสูงขึ้น โชคดีที่มีการฝังเข็มเพื่อบรรเทาการอุดตันของเส้นเลือด ทั้งยังกินยาอันกงได้ทันเวลา จึงได้มีสติ มิเช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าอาจตกอยู่ในอันตราย” ท่านหมอหลวงโอวถอนหายใจพลางเอ่ย “คนผู้นี้เก่งเรื่องการฝังเข็มมาก แม้ว่าข้าจะใช้เข็ม ก็คงไม่เด็ดขาดเท่านาง”
นี่เป็นสิ่งที่ได้รู้หลังจากที่ซิ่วกูอธิบายว่าฉินหลิวซีฝังเข็มลงที่จุดฝังเข็มใดบ้าง
เสนาบดีลิ่นหันไปมองฉินหลิวซีโดยไม่รู้ตัว เอ่ยว่า “ท่านนี้คือท่านหมอที่รักษาท่านแม่ข้า เป็นหมอลัทธิเต๋า”
“หมอลัทธิเต๋าหรือ” ท่านหมอหลวงโอวมองไปยังฉินหลิวซีด้วยสีหน้าประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เอ่ย “เหตุใดจึงอายุน้อยเช่นนี้”
ฉินหลิวซียกมือขึ้นโค้งคำนับ
เสนาบดีลิ่น “ท่านหมอหลวงโอว ท่านว่าอาการป่วยของท่านแม่ควรจะรักษาอย่างไร ไม่สู้ลองหารือกับท่านเจ้าอาวาสน้อยสักหน่อย”
เมื่อท่านหมอหลวงโอวได้ยินเช่นนี้ นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการอยู่พอดี เขายังอยากถามฉินหลิวซีว่าการฝังเข็มลงบนจุดฝังเข็มนั้นมีเคล็ดลับอย่างไร จึงได้กล้าได้กล้าเสียเช่นนี้
ทั้งสองคนเดินออกไปทางด้านข้าง พูดคุยเรื่องการฝังเข็มและการจัดยาราวกับว่าไม่มีใครเฝ้าดูอยู่ รวมถึงการพูดคุยเกี่ยวกับการรักษาในอนาคตของฮูหยินผู้เฒ่าไม่หยุดหย่อน
เมื่อเสนาบดิลิ่นเห็นฉินหลิวซีกับท่านหมอหลวงโอวกำลังพูดภาษาวิชาแพทย์ ไม่เพียงแต่โต้ตอบอย่างคล่องแคล้ว ซ้ำข้อโต้แย้งบางอย่างยังทำให้ท่านหมอหลวงโอวมีสีหน้าตื่นเต้น ราวกับว่าได้รู้แจ้ง ดังนั้นจึงรู้ได้ว่าวิชาแพทย์ของฉินหลิวซีนั้นไม่เลวเลยจริงๆ มิเช่นนั้นท่านหมอหลวงโอวคงไม่มีท่าทางตื่นเต้นเช่นนี้
ดังนั้นสิ่งที่ฉินหลิวซีกล่าวเมื่อครู่ ที่นางบอกว่ามีชีวิตอยู่ถึงเจ็ดสิบปีนั้นนางไม่ได้พูดเป็นลางร้าย แต่เพราะท่านแม่มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้วจริงๆ?