คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 537 ไม่ลงรอย
ตอนที่ 537 ไม่ลงรอย
เมื่อฉินหลิวซีพักผ่อนที่ห้องรับแขกในจวนเสนาบดีแล้ว หลังจากที่เสนาบดีลิ่นไปดูมารดา ก็พาบุตรชายไปนั่งอยู่ที่ห้องหนังสือ ฟังคนสนิทรายงานข่าวที่พึ่งจะรวบรวมมา และข่าวเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับฉินหลิวซีและอารามชิงผิงที่อยู่เบื้องหลังนาง
ใช่แล้ว แม้ว่าความสามารถที่ฉินหลิวซีแสดงให้เห็นจะทำให้คนไม่สามารถประเมินค่าต่ำได้ แต่เสนาบดีลิ่นก็ไม่มีทางไว้วางใจเด็กที่พึ่งรู้จักกันอย่างเต็มที่ แม้ว่านางจะดูไม่เป็นอันตรายและไม่มีเจตนาร้าย แต่เสนาบดีลิ่นก็อยู่ในตำแหน่งทางการมาหลายสิบปี จะปล่อยให้ตัวเองไม่รู้อะไรเลยได้อย่างไร
จวนเสนาบดีลิ่นย่อมมีช่องทางข่าวสารของตัวเอง แม้ว่าอารามชิงผิงจะอยู่ในเมืองหลีที่ห่างไกล แต่ข้างกายฉินหลิวซีก็มีเถิงเจาไม่ใช่หรือ เริ่มเข้าทางเถิงเทียนฮั่นที่อยู่เบื้องหลังเถิงเจา แล้วยังมีสยงเอ้อร์กับจิ่งเสี่ยวซื่อ ไม่ช้าก็จะสามารถสรุปที่มาของฉินหลิวซีได้ แน่นอนว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นไม่สามารถสอดส่องได้ทั้งหมด แต่ก็สามารถมองเห็นมุมใดมุมหนึ่งได้
สรุปข่าวสารโดยรวม สตรีผู้นี้เกิดในตระกูลฉินของอดีตเสนาบดีสำนักกวงลู่ ถูกส่งกลับไปบ้านเกิดแล้วเข้าสู่ลัทธิเต๋าตั้งแต่ยังเด็ก วิชาแพทย์ยอดเยี่ยม มีฝีมือด้านการทำนายโหงวเฮ้งและขับไล่วิญญาณชั่วร้ายก็เช่นกัน
แต่ปัญญาชนอย่างเสนาบดีลิ่นและคนอื่นๆ ยังคงมีกังขาเกี่ยวกับคำว่า ‘เก่งกาจ’ แต่ก็พอมีความเข้าใจเบื้องตนเกี่ยวกับที่มาที่ไปของฉินหลิวซีบ้างแล้ว
ที่มามีความชัดเจนโปร่งใส ทำให้คนรู้สึกวางใจ
“เจ้าคิดอย่างไรกับนักพรตหญิงผู้นี้” เสนาบดีลิ่นมองไปยังบุตรชาย ต้องการทดสอบความคิดเห็นของเขา
ลิ่นชิงฝานนึกถึงนักพรตเต๋าหญิงที่โตพอๆ กับน้องสาวของเขา ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เป็นคนที่น่าสนใจ ตระกูลฉินนี้ช่างน่าสนใจนัก ยอมให้บุตรสาวคนโตเข้าสู่ลัทธิเต๋า”
มารดาผู้ให้กำเนิดของฉินหลิวซีเป็นอนุ แต่ถูกบันทึกไว้ภายใต้นามของแม่ใหญ่ จึงเรียกได้ว่าเป็นบุตรสาวคนโต เนื่องจากว่าบ้านใหญ่ตระกูลฉินนั้นก็ไม่ได้มีบุตรสาว ด้วยสถานะนี้ นางจึงถือว่ามีฐานะสูงส่ง แต่กลับเข้าสู่ลัทธิเต๋า ช่างน่าแปลก
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลฉินนั้นไม่ได้อยู่ภายในการตรวจสอบของพวกเรา แต่ค่าตอบแทนที่นางต้องการ…” เสนาบดีลิ่นเคาะโต๊ะเบาๆ ดันเป็นตระกูลเหมิง
ตระกูลฉินและตระกูลเหมิงมีความไม่ลงรอยกัน เนื่องจากฉินหยวนซานเคยด่าพระสนมเหมิงกุ้ยเฟยว่าเป็นนางสนมปีศาจหลังจากที่ดื่มจนมึนเมา ตอนที่ตระกูลฉินเกิดเรื่องเมื่อปีที่แล้ว ตระกูลเหมิงก็ได้บีบคั้นพวกเขาเป็นอย่างมากเช่นกัน
ไม่รู้ว่าที่ฉินหลิวซีให้ความสนใจของขวัญฉลองวันพระราชสมภพปีนี้ของตระกูลเหมิง เป็นเพราะมีเหตุผลส่วนตัว หรือเพื่อที่จะระบายความแค้นให้แก่ตระกูล
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรื่องใด สิ่งที่นางต้องการก็คือไข่มุกมังกรวารีอยู่ดี
ลิ่นชิงฝานขมวดคิ้วพลางเอ่ย “หากไข่มุกมังกรวารีนี้เป็นมุกที่มังกรวารีเหลือทิ้งไว้จริงๆ มูลค่าของมันก็จะยิ่งล้ำค่า เกรงว่าตระกูลเหมิงคงไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ อย่างไรเสียก็ใช้เพื่อถวายในวันฉลองพระราชสมภพ สมบัติล้ำค่ามากมายก็มิอาจเทียบได้”
ไข่มุกมังกรวารีนั้นหายาก เหมาะที่สุดที่จะมอบให้แก่โอรสสวรรค์ อย่างไรเสียโอรสสวรรค์ก็เป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพนับถือของใต้หล้า การใช้ไข่มุกมังกรวารีเป็นของขวัญเช่นนี้ เมื่อฮ่องเต้มีความสุข ตระกูลเหมิงจะได้รับเลื่อนขั้นไปอีกหนึ่งระดับก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกทอดถอนใจ ของขวัญวันฉลองพระราชสมภพของตระกูลเหมิงปีนี้จัดเตรียมได้อย่างโดดเด่นเป็นอย่างมาก
ผู้บัญชาการคนสนิทที่อยู่ด้านข้างเอ่ยว่า “ผู้น้อยยังได้ไปสืบมาอีกว่าตงหยางโหวก็อยากได้ไข่มุกมังกรวารีเช่นกัน กระทั่งส่งที่ปรึกษาทางทหารของเขามา”
เสนาบดีลิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ท่านโหวเฒ่าตงหยางก็ต้องการไข่มุกมังกรวารีนี้เช่นกัน มันมีความวิเศษอย่างไรกันแน่
…
“เหลวไหล”
ฉังอันโหวจ้องจิ่งเสี่ยวซื่อด้วยสีหน้าโกรธจัด ดุว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบแม่เลี้ยงกับน้องชายของเจ้ามาโดยตลอด แต่ไม่รู้ว่าเจ้าจะใช้ข้อแก้ตัวเหลวไหลเช่นนี้มาโจมตีพวกเขา ขโมยชีวิต? อะไรก็ไม่รู้ เสี่ยวซื่อ เจ้าเป็นบุตรชายคนโต หากต้องการแย่งชิงตำแหน่งซื่อจื่อนั้นไม่ผิดอะไร แต่วิธีการของเจ้านั้นผิด”
จิ่งเสี่ยวซื่อหัวเราะ แต่ดวงตากลับว่างเปล่า เอ่ย “ท่านพ่อ ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดว่ามันเหลวไหลเป็นอย่างยิ่ง ในโลกนี้จะมีสิ่งเลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร กระทั่งข้าได้สัมผัสมันด้วยตัวเอง นั่นไม่ใช่เรื่องเหลวไหล มันคือความชั่วร้ายของใจคนที่น่ากลัวและมืดมนกว่าที่ข้าคิดไว้มาก”
เขามองไปยังฉังอันโหว เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เมื่อห้าปีก่อนข้าถูกแมลงพิษ ท่านบอกว่าเป็นเพราะข้าบังเอิญกินไข่แมลงในป่าทึบระหว่างล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิ ต่อมาหลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน พบว่าเป็นบ่าวต่ำช้าผู้นั้นที่ทำร้ายข้าเพื่อแก้แค้นที่ท่านแม่ของข้าลงโทษนาง ท่านพ่อยอมปิดหูปิดตาเป็นคนโง่ แต่ข้าไม่โง่”
“เจ้าบังอาจ!”
“ท่านแม่ของข้ามีนิสัยตรงไปตรงมาและเข้มแข็ง ไม่เคยทำร้ายใคร ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลเรือน นางแยกแยะการลงโทษและการให้รางวัลอย่างชัดเจน มีหรือจะกล่าวหาบ่าวอย่างไม่ยุติธรรม แต่นี่ก็คงเป็นข้อโต้แย้งที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ ที่ท่านเชื่อก็เพราะว่าท่านแม่ของข้าตายไปแล้วและไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้” จิ่งเสี่ยวซื่อสีหน้าเย็นชาพลางเอ่ย “ท่านต้องการปกป้องสตรีผู้นั้น ท่านกับนาง กระทั่งเด็กคนนั้น จึงจะเป็นครอบครัวที่แท้จริง มีเพียงข้ากับท่านแม่ของข้าที่เป็นคนนอก…”
เพียะ!
“จิ่งเหลียน เจ้าแสดงท่าทางเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!” ฉังอันโหวตบหน้าเขาด้วยความโกรธ
จิ่งเสี่ยวซื่อเลียเลือดจากมุมปาก เหลือบมองเขาพลางเอ่ย “พวกท่านรักกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าสตรีผู้นั้นคู่ควรกับความรักและการดูแลของท่านหรือไม่”
ฉังอันโหวจ้องเขาอย่างดุเดือด
“ความจริงแล้วทุกอย่างมีร่องรอยให้ตรวจสอบได้ รวมถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับจิ่งเฉา ข้าเชื่อว่าก่อนที่เขาจะเกิดเรื่องนั้น เขามีสุขภาพแข็งแรง วิ่งได้กระโดดได้ แต่เมื่ออาคมต้องห้ามนี้ถูกทำลาย เขาได้รับผลสะท้อนกลับ หลับใหลไม่ฟื้น ท่านโหว เขามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว นี่คือบาปกรรมของเขา เป็นหายนะที่มารดาของเขานำมาสู่เขา” จิ่งเสี่ยวซื่อแสยะยิ้มพลางเอ่ย “จริงสิ ความจริงแล้วสตรีผู้นั้นรู้ดีที่สุดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับบุตรชายของนาง ผู้ที่นางเชิญมา เป็นหมอหรือไม่ หรือว่าเป็นคนที่ทำคาถาอาคมให้นาง หรือว่าเป็นบุรุษของนาง”
“หุบปาก เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” ฉังอันโหวยื่นมือไปบีบคอเขา
จิ่งเสี่ยวซื่อไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว จ้องเขาตาไม่กะพริบ ดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน และความผิดหวัง
ฉังอันโหวทั้งตกใจทั้งโกรธ คำพูดของสะใภ้หนิวผุดขึ้นมาในหัว นางบอกว่าบุตรชายถูกผีอำ ซ้ำนางยังเชิญผู้ที่บอกว่าเป็นอาจารย์ลัทธิเต๋าของบุตรชายมาจากอารามจินหัว ตอนที่ทำพิธีก็ให้ตัวเองหลบออกมา ส่วนพวกเขาอยู่ในห้อง พวกเขาทำอะไร พูดคุยอะไรในห้องนั้นกันแน่
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหวั่นใจ เมื่อฉังอันโหวเห็นจิ่งเสี่ยวซื่อหายใจอย่างยากลำบาก จึงสะบัดมือออกจากเขา
จิ่งเสี่ยวซื่อทั้งไอทั้งหัวเราะ “ท่านโหวรู้แปดอักษรเวลาตกฟากที่แท้จริงของจิ่งเฉาหรือไม่” เขาเอ่ยแปดอักษรเวลาตกฟากออกมา “นี่จึงจะเป็นแปดอักษรที่แท้จริงของเขาต่างหาก”
ฉังอันโหวหลั่งน้ำตาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเมล็ดแห่งความสงสัยถูกหว่านลงไป ต้นอ่อนก็จะงอกออกมาอย่างรวดเร็ว
รถม้าได้มาหยุดที่จวนโหวแล้ว จิ่งเสี่ยวซื่อลงจากรถ หันกลับมาเอ่ยว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าคำพูดสุดท้ายตอนที่ท่านแม่ของข้าตายคืออะไร นางเสียใจที่ขุดท่านขึ้นมาจากกองหิมะตอนที่เจอท่านครั้งแรกในฤดูหนาวปีนั้น แต่ข้าไม่โทษนางเลยแม้แต่นิด”
ฉังอันโหวตัวแข็งทื่อ
จริงเสี่ยวซื่อเดินตรงไปยังประตูจวน สะใภ้หนิวพาคนมารออยู่ที่นั่น เมื่อเห็นเขาก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เหลียนเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว”
จิ่งเสี่ยวซื่อมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ใช่ ข้ากลับมาแล้ว น่าเสียดายใช่หรือไม่”
รอยยิ้มของสะใภ้หนิวแข็งทื่อ มือที่ขดอยู่ในแขนเสื้อกำหมัดแน่น
จิ่งเสี่ยวซื่อเข้าไปใกล้นาง แสยะยิ้มพลางกล่าว “ภัยพิบัติจากสวรรค์สามารถหลีกหนีได้ แต่บาปที่เกิดขึ้นจากตัวเองไม่สามารถหลีกหนีได้ ยิ่งเจ้ากำบางสิ่งไว้แน่นมากเท่าใด พยายามจนสุดกำลังก็รั้งมันไว้ไม่ได้ ช่างน่าขันใช่หรือไม่”
สะใภ้หนิวรูม่านตาหดลง
จิ่งเสี่ยวซื่อเดินผ่านนางไป น้ำเสียงของเขาทะลุเข้าไปในแก้วหูของนางราวกับงูพิษ
“ที่จิ่งเฉามีวันนี้ ล้วนเป็นบาปกรรมที่เจ้านำมาสู่เขา สะใภ้หนิว เป็นเจ้าที่ฆ่าบุตรชายด้วยมือของเจ้าเอง”
สะใภ้หนิวขาอ่อนแรง แทบจะล้มลง ใบหน้าซีดเซียวอย่างมาก
นางถูกสาวใช้พยุงไว้ เมื่อสังเกตเห็นสายตาที่จ้องมองมาก็อดหันไปมองไม่ได้ ฉังอันโหวกำลังมองมาที่นางด้วยสายตาลุ่มลึก ทั้งตัวเต็มไปด้วยไอสังหาร