คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 554 เครือญาติ ท่านว่าข้าใส่ใจหรือไม่
ตอนที่ 554 เครือญาติ ท่านว่าข้าใส่ใจหรือไม่
หลังจากที่เถิงเทียนฮั่นผู้ชอบธรรมจากไป ใต้เท้าอันก็กลับไปที่เรือนหลัก เมื่อฮูหยินอันเห็นเขากลับมาก็ลุกขึ้นยืน ให้แม่นมที่อยู่ข้างกายถอยออกไป
“อวิ๋นหยาไปแล้วหรือ”
ใต้เท้าอันสะบัดรองเท้าเกี๊ยะที่สวมอยู่ออก นั่งลงบนเตียงไม้หลัวฮั่นที่แกะสลักลายค้างคาวห้าตัว กล่าวว่า “ไปแล้ว เจ้าเด็กคนนี้หางานยากให้ข้าแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น” ฮูหยินอันยื่นถ้วยชาให้ นั่งลงอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะเล็ก
ใต้เท้าอันเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ขมขื่นอย่างหมดปัญญา เล่าชาติกำเนิดของฉินหลิวซีให้ฟัง
ฮูหยินอันอุทานด้วยความตกใจ “ที่แท้ก็เป็นหลานสาวของฉินหยวนซาน เช่นนั้นก็แย่แล้ว ฮ่องเต้เกลียดฉินหยวนซานจะตายไป ก่อนหน้านี้ข้าไปถวายบังคมฮองเฮา ก็ได้ยินมาว่าฮ่องเต้ยังคงกังวลเกี่ยวกับพิธีการบวงสรวงเมื่อปีที่แล้ว”
“ดังนั้นจึงเป็นปัญหา ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับพิธีบวงสรวงนี้ แต่ดันเกิดการผิดพลาด หากฉินหยวนซานไม่ได้ถูกเนรเทศจึงจะเป็นเรื่องแปลก หากไม่ใช่เพราะพระสนมเหมิงกุ้ยเฟยให้กำเนิดองค์ชายน้อยเมื่อปีที่แล้ว เพื่อเป็นการสะสมบุญแก่เขา มิเช่นนั้นคาดว่าบรรดาสตรีก็คงต้องติดตามไปด้วยแล้ว” ใต้เท้าอันกล่าวว่า “แต่เถิงอวิ๋นหยาต้องการพลิกคดีนี้ นำฉินหยวนซานและคนอื่นๆ กลับมา”
“หรือว่าในพิธีบวงสรวงนี้เขาถูกใส่ร้ายจริงๆ” ฮูหยินอันสงสัยเล็กน้อย
ใต้เท้าอันหัวเราะในลำคอ “ไม่สำคัญว่าจะจริงหรือไม่ แม้ว่าจะจริง เช่นนั้นฝีมือของเขาก็ด้อยกว่าผู้อื่น มันเป็นโชคชะตา ในวงของขุนนางนี้ ท่ามกลางคู่แข่งทางการเมือง มีเรื่องเช่นนี้น้อยเสียเมื่อไหร่”
ดังคำกล่าวที่ว่าที่ใดมีแม่น้ำที่นั่นย่อมเกิดการต่อสู้ ในวงขุนนางก็เป็นเช่นนี้ ทะเลลึกที่ปัญญาชนหลายพันคนมุ่งหวัง ไม่รู้ว่ามีการต่อสู้แย่งชิงกันมากมายเท่าใด
ฉินหยวนซานเป็นเพียงเหยื่อของการต่อสู้แบ่งพรรคแบ่งพวกนี้ เขาไม่เคยเป็นคนเดียวแล้วก็ไม่ใช่คนสุดท้าย
เมื่อตกอยู่ในจุดจบเช่นนี้ บอกได้เพียงว่าเป็นโชคชะตา เป็นเพราะวิธีการของตัวเองนั้นไม่ดีเท่าคู่ต่อสู้จึงได้ตกหลุมพรางและพ่ายแพ้ไป
และเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่ถูกกระทำมากที่สุด ลองคิดดู การต่อสู้เพื่อชิงบัลลังก์ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะแพ้ หากเดิมพันผิดฝ่ายก็ล้วนถูกตัดศีรษะทั้งนั้น
“ท่านคิดอย่างไร จะว่าไปแล้วตระกูลอันของพวกเราก็รับน้ำใจอันใหญ่หลวงของท่านเจ้าอาวาสน้อยมาแล้วจริงๆ” ฮูหยินอันกล่าว
ใต้เท้าอัน “เขามีความสามารถพลิกคดี แค่ต้องตรวจสอบ ตราบใดที่ไม่ไปกล่าวหาใคร ข้าก็ไม่สนใจว่าเขาจะทำอะไร และการสืบความจริง เดิมทีก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบของศาลต้าหลี่”
ฮูหยินอันเข้าใจ นี่เป็นการรับปากอำนวยความสะดวกแก่เขา
ใต้เท้าอันกล่าวอีกว่า “อี้เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
“เขาหลับลึกมาก ซ้ำยังน้ำลายไหลอีกด้วย” ฮูหยินอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ ทำเอาพวกเราตกใจขวัญหายกันหมด เขาตื่นมาเมื่อไหร่ข้าจะอัดเขาให้น่วมสั่งสอนให้หลาบจำ”
ใต้เท้าอันเอ่ยด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “เขาถูกเจ้าตามใจจนเคยตัวแล้ว วันๆ เอาแต่ไปเที่ยวเล่นกับพวกเด็กเสเพลเหล่านั้น เกือบจะนำหายนะมาสู่ตระกูล โชคดีที่ไม่มีอันตรายอะไร นิสัยนี้ของเขาต้องถูกควบคุมสักหน่อย ไว้ข้าจะส่งเขาไปที่ค่ายใหญ่เป่ยดัดนิสัยสักหน่อย จะได้หลีกเลี่ยงปัญหาในครั้งต่อไป ไม่ใช่ว่าจะโชคดีเช่นนี้ทุกครั้ง”
ฮูหยินอันได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสงสารบุตรชาย กล่าวว่า “ค่ายใหญ่เป่ยค่อนข้างลำบาก จวนเราก็มีเซียนปกป้องจวนแล้ว ก็คงไม่ถึงขั้นดึงดูดสิ่งสกปรกเหล่านั้นหรอกกระมัง”
ใต้เท้าอันดุว่า “ความใจดีของมารดามักทำให้บุตรเสียคน เขาก็อายุสิบแปดสิบเก้าปีแล้ว ยังไม่รู้ความ คิดจะทำตัวเป็นเทพเจ้าหรือ ฮูหยิน เจ้าอย่าเอาแต่ฝากความหวังว่าเซียนปกป้องจวนจะทำอะไรให้ เจ้าอย่าลืมว่าท่านเจ้าอาวาสน้อยเอ่ยไว้ว่าอย่างไร หากตระกูลเราไม่ดี เซียนปกป้องจวนก็จะไม่อยู่ มันจากไปได้ทุกเมื่อ”
ฮูหยินอันเงียบปาก
“อีกอย่าง เรื่องในวันนี้ต้องเข้มงวดกับบ่าวรับใช้ให้มาก อย่าได้ปากพล่อย” ใต้เท้าอันเอ่ยต่อว่า “เจ้าก็อย่าเอาไปเผยแพร่ในวัง”
“นายท่านหมายความว่า?”
ใต้เท้าอันถอนหายใจ เอ่ย “ฮ่องเต้พระชนมายุห้าสิบพรรษาแล้ว เรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทก็ได้กล่าวมาหลายปีแล้ว หลังจากฉลองวันครบรอบพระราชสมภพ คาดว่าจะยิ่งดุเดือด ช่วงนี้มีการสอบฤดูใบไม้ผลิ ความวุ่นวายในเมืองหลวงมีมากแค่ไหน เจ้าเองก็รู้”
ฮูหยินอันเงียบไป
การสอบฤดูใบไม้ผลิในทุกปีล้วนเป็นช่วงเวลาที่ผู้มีอำนาจจะดึงบัณฑิตจิ้นซื่อ[1]เหล่านี้มาเป็นพรรคพวก ตอนนี้องค์ชายโตแล้ว จิ้นซื่อรุ่นนี้ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการ ล้วนต้องการหาผู้สนับสนุนให้ตัวเองหลายๆ คน
“คนเรายิ่งอายุมากก็ยิ่งกลัวความตาย” ใต้เท้าอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หากรู้ว่ามีวิธีทำให้อายุยืนยาว ใครบ้างจะไม่ต้องการ ก่อนหน้านี้บรรพกษัตริย์ เพื่อที่จะมีอายุยืนยาวจึงได้…อย่าเอ่ยถึงเลย”
ฮูหยินอันตกใจ
นางเข้าใจความหมายของใต้เท้าอัน เขากลัวว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันต้องการที่จะมีอายุยืนยาวไม่แก่ชราจนทำให้ราษฎรอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก และกลัวว่าจะสร้างปัญหาให้กับฉินหลิวซี
เฮ้อ แม้แต่นักพรตเต๋าที่ปลีกตัวออกจากทางโลก ก็ไม่สามารถหนีเรื่องทางโลกได้
เถิงเทียนฮั่นกลับมาที่จวนก็ไปคำนับมารดาก่อน บอกว่าบุตรชายคนโตก็กลับมาเมืองหลวงแล้ว เพียงแต่ต้องปรนนิบัติอยู่ข้างกายอาจารย์ ศึกษาวิชาเต๋า จึงไม่สะดวกกลับมาที่จวน
ฮูหยินเถิงผู้เฒ่ากล่าวเสียงเรียบว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นคนบอกเองว่าเด็กคนนั้นมีบุญสัมพันธ์กับคนในครอบครัวน้อย จึงได้ให้เขาฝากตัวเป็นศิษย์เข้าสู่ลัทธิเต๋า เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไปเถิด มีผู้ที่ออกบวชมากมายที่ยุติความสัมพันธ์ในทางโลก”
หมายความว่าไม่ได้สนใจเลยว่าเถิงเจาจะกลับมาหรือไม่
เถิงเทียนฮั่นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ฝืนกล่าวตอบรับ มือที่ถือถุงเงินไว้ได้ปล่อยลงอีกครั้ง ไม่ได้นำผลหลิงกั่วนั้นออกมา เอ่ยเพียงสองสามประโยคแล้วจากไป
เมื่อกลับมาที่เรือนหลักของตัวเอง สะใภ้เวินกำลังดูตำราอยู่ เมื่อเห็นเขากลับมาก็เข้าไปปรนนิบัติ
เถิงเทียนฮั่นกล่าวว่า “เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ไม่จำเป็นต้องลำบาก ให้สาวใช้มาปรนนิบัติก็พอแล้ว ไปพักผ่อนเถิด”
สะใภ้เวินยังคงยิ้มพลางถอดเสื้อคลุมให้เขา กล่าวว่า “หลังจากที่ข้ากลับมาได้ลองคิดดูว่าต่อให้เจาเอ๋อร์จะไม่ได้อยู่ในจวน แต่ข้าวของเครื่องใช้ก็ไม่ควรขาด ข้าคิดว่าจะส่งเงินจำนวนหนึ่งให้เขาทุกเดือน เขาจะได้ไม่ต้องลำบากเมื่อฝึกบำเพ็ญอยู่ที่อารามเต๋า แล้วก็ทำเสื้อผ้าอีกหลายชุดให้ด้วย ท่านว่าอย่างไร”
“ไม่จำเป็นหรอก ส่งให้ปีละครั้งก็พอแล้ว ส่วนเรื่องเสื้อผ้า จากที่ได้ยินท่านอาจารย์ของเขาเอ่ยมาว่าจะมีร้านคอยวัดขนาดตัดเย็บให้เป็นพิเศษ หากเจ้ามีใจ ทำเสื้อซับในให้สักสองชุดก็พอแล้ว” เถิงเทียนฮั่นรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ”
เถิงเทียนฮั่นหยิบถุงเงินออกมาแล้วเอาผลไม้ออกมาหนึ่งผล เอ่ยว่า “เจ้าอ้าปาก”
สะใภ้เวินไม่เข้าใจ แต่ก็ยังอ้าปากอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นเขาป้อนผลไม้กลิ่นหอมสดชื่นเข้าปาก ก็อดหน้าแดงไม่ได้ เมื่อกัดเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ความหอมหวานนั้นก็ไหลเข้ามาในลำคอ เป็นความหอมหวานสดชื่น นางยังไม่เคยกินผลไม้ที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน
“นี่คือผลไม้อะไร อร่อยจริงๆ”
เถิงเทียนฮั่นเอ่ย “เป็นผลหลิงกั่วจากภูเขาลึก เจาเอ๋อร์ให้มา ล้ำค่าเป็นอย่างมาก มีผลดีต่อร่างกาย แต่กลับมีไม่กี่ผล เจ้าอย่าเอาไปบอกใคร” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวอีกหนึ่งประโยคว่า “แม้กระทั่งท่านแม่ก็ห้ามบอก”
สะใภ้เวินตกตะลึง ถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านแม่โกรธที่เจาเอ๋อร์ไม่กลับจวนหรือ”
ดวงตาของเถิงเทียนฮั่นเศร้าหมองเล็กน้อย เอ่ย “เมื่อก่อนตอนที่เจาเอ๋อร์กลับมา เขาร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ทำให้รำคาญใจเป็นอย่างมาก คาดว่าคงรู้สึกไม่สนิทกับเด็กคนนี้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วกระมัง ไม่เป็นไร เรื่องบุญสัมพันธ์ในครอบครัวยากที่จะบังคับได้ ตอนนี้เด็กมีชีวิตที่ดีก็พอแล้ว เขาไม่มาก็ดี จะได้ไม่ต้องรับการดูแลที่ไม่ดีเช่นนี้”
เถิงเจา ‘ท่านว่าข้าสนใจหรือไม่’
สะใภ้เวินยื่นมือออกมาจับมือเขา เอ่ยอย่างอบอุ่นว่า “อย่าเสียใจไปเลย ก็ยังมีพวกเราที่เป็นบิดามารดาอยู่ไม่ใช่หรือ”
“อืม”
ในเวลานี้เถิงเจาได้เปิดผ้าม่านรถขึ้นดูเพลารถ ถามว่า “ทำไมทางกลับไปโรงประมูลจิ่วเสียนจึงได้อ้อมไกลเช่นนี้ ตั้งนานแล้วยังไม่ถึงอีก”
คนขับรถรีบตอบว่า “เรียนท่านนักพรตน้อย เนื่องจากการสอบในฤดูใบไม้ผลิจะมีการประกาศรายชื่อพรุ่งนี้ จึงมีบัณฑิตจิ้นซื่อมาเดินขบวนพาเหรด เส้นทางถูกกำหนดไว้แล้ว คนของกองปัญจทิศรักษานครกำลังกำจัดสิ่งกรีดขวางบนถนนอยู่ ดังนั้นจึงต้องอ้อมไปขอรับ”
เถิงเจาได้ฟังดังนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรอีก ขณะที่กำลังปิดผ้าม่านรถเขาได้เงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วพลางกล่าว “หยุดรถ”
[1] บัญฑิตจิ้นซื่อ ผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับราชสำนัก หรือระดับราชวัง ที่จัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี