คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 556 นายท่าน ข้าว่าท่านรูจักอายสักหน่อยเถิด!
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 556 นายท่าน ข้าว่าท่านรูจักอายสักหน่อยเถิด!
ตอนที่ 556 นายท่าน ข้าว่าท่านรูจักอายสักหน่อยเถิด!
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าอี้ชิวสั่นจนจะไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว ดวงจิตก็อ่อนแอจนแทบจะสลายไป จึงหยิบเทียนหอมขึ้นมาจุด เอ่ยกับนางว่า “กินเถิด”
อี้ชิวสูดเข้าไปอย่างแรง
ขณะที่นางกำลังกินกลิ่นเทียน ฉินหลิวซีก็วาดยันต์ตรึงวิญญาณหนึ่งแผ่น เสกไปที่ดวงวิญญาณของอี้ชิว ยันต์หนึ่งแผ่นเทียนหนึ่งเล่ม ทำให้ดวงวิญญาณของอี้ชิวก่อตัวแข็งแรงขึ้นไม่น้อย จิตที่หวาดกลัวและพังทลายก็กลับมาสงบอีกครั้ง
“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่เมตตา” อี้ชิวโค้งคำนับฉินหลิวซีด้วยความซาบซึ้ง
ฉินหลิวซีโบกมือ “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
อี้ชิวตัวสั่น เอ่ยด้วยความโกรธว่า “ท่านอาจารย์ มีคนหล่อหลอมผี ท่านช่วยบรรดาสตรีที่น่าสงสารเหล่านั้นได้หรือไม่”
นางเหล่าถึงเรื่องที่ได้พบเจอเมื่อเร็วๆ นี้
เมื่อรู้ว่าฮูหยินโหลวผู้เฒ่าจะไม่รอดแล้ว อี้ชิวก็ไปจากตระกูลโหลว เนื่องจากไม่ทันได้สังเกตจึงถูกแสงสีทองแห่งพระโพธิสัตว์ในห้องของหญิงชราผู้นั้นทำร้ายดวงวิญญาณ จึงต้องการหาสถานที่ที่มีพลังงานหยินอันแข็งแกร่งเพื่อเยียวยาบาดแผลดวงวิญญาณนี้
ทันทีที่นางออกจากตระกูลโหลว ก็เห็นสถานที่ซึ่งมีพลังหยินที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ จึงได้มุ่งหน้าลอยไปทางนั้น ผลก็คือนางเกือบจะต้องชดใช้ให้กับการกระทำที่หุนหันพลันแล่นของตัวเองจนเกือบทำให้ดวงวิญญาณแตกสลาย
ความจริงแล้วสถานที่ที่มีพลังงานหยินอันแข็งแกร่งนั้นได้ถูกคนวางค่ายอาคมรวบรวมหยินไว้
“หล่อหลอมผี ในนั้นมีคนกำลังหล่อหลอมผี ทันทีที่ข้าเข้าไป รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ กำลังจะหนี แต่ไม่ทันแล้ว เดิมทีดวงวิญญาณก็อ่อนแอ จึงถูกนักพรตเฒ่าผู้นั้นใช้โซ่ตรวนวิญญาณมัดไว้ในทันที”
อี้ชิวกล่าวด้วยความหวาดกลัวว่า “เขามัดดวงวิญญาณข้าไว้ โยนข้าเข้าไปในกลองที่ทำจากผิวหนัง เนื้อ และกระดูกของคน ในนั้นมีวิญญาณสตรีมากมาย เขาใช้คาถาไล่วิญญาณบังคับให้พวกเราต่อสู้กัน ทำให้พลังขุ่นเคืองมากขึ้นเรื่อยๆ และวิญญาณก็เริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ วิญญาณบางตัวแตกสลายไปในระหว่างการต่อสู้ ความขุ่นเคืองอันใหญ่หลวงของพวกเขาได้หลอมรวมเข้ากับร่างของกลอง เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ซ้ำๆ ทุกครั้งที่วิญญาณใหม่หลอมรวมเข้ากับกลอง พวกเราก็จะถูกกดทับให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเจ้าหนีออกมาได้อย่างไร” เฟิงซิวมองสำรวจอี้ชิว
อี้ชิวเหลือบมองเขาด้วยความหวาดกลัว กล่าวว่า “บรรดาผีสาวเหล่านั้นล้วนเป็นผีใหม่ ก็ไม่รู้ว่าถูกจับมาได้อย่างไร มีเพียงข้าที่เป็นผีเก่าแก่มาหลายสิบปี พลังวิญญาณจึงแข็งแกร่งกว่าพวกนาง”
“เจ้ามีบาปติดตัวแล้ว” ฉินหลิวซีเปิดดวงตาสวรรค์อีกครั้ง มองไปที่กรรมบนตัวนางแล้วขมวดคิ้ว
อี้ชิวก้มหน้าลง “ข้าไม่มีทางเลือก ทันทีที่คนผู้นั้นร่ายคาถา พวกเราก็ราวกับบ้าคลั่ง หากข้าไม่ต่อสู้ ข้าก็คงต้องวิญญาณแตกสลายไป และทิ้งความขุ่นเคืองไว้ในกลองผีนั่น คืนนี้ชายผู้นั้นไปจับวิญญาณสตรีมาอีกหนึ่งดวง ดวงวิญญาณตนนั้นแตกต่างจากผีตนอื่น ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองแห่งบุญกุศลทั้งเรือนร่าง และเป็นดวงวิญญาณที่มีชีวิต เมื่อถูกส่งเข้าไปในกลองผีก็ขัดขืนอย่างรุนแรง และแสงสีทองก็ทำให้คาถาต้องห้ามของกลองผีมีรอยรั่ว ข้าจึงหนีออกมาตามรอยแตกนั้น และบังเอิญได้พบกับท่านอาจารย์พอดี”
“ยังไม่ถึงคราว อ้อ บังเอิญโชคดี” เฟิงซิวเอ่ยด้วยความสังเวช
อี้ชิวกล่าวว่า “ที่ข้ามายืนอยู่ตรงนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะแม่นางที่มีแสงสีทองแห่งบุญกุศลผู้นั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง”
นางคุกเข่าให้ฉินหลิวซี กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ท่านคือปรมาจารย์และเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา ท่านช่วยพวกนางได้หรือไม่ พวกนางล้วนเป็นสตรีที่อายุยังน้อยและน่าสงสารเป็นอย่างมาก”
ฉินหลิวซีเหลือบมองนาง “ไม่มีผู้มาร้องทุกข์ เจ้าจะให้ข้าช่วยอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นเป็นจวนของตระกูลอะไร จวนฉังชวนปั๋ว”
อี้ชิวตกตะลึง “ข้าก็ไม่นับว่าเป็นผู้ร้องทุกข์หรือ”
“นับสิ แต่เจ้าหนีออกมาแล้วไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “เป็นเรื่องจริงที่ข้าเป็นปรมาจารย์ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะบุ่มบ่ามเข้าไปในจวนของคนอื่น แล้วบอกว่าที่จวนมีนักพรตมารกำลังฝึกบำเพ็ญวิชามาร เจ้าว่าคนในจวนฉังชวนปั๋วจะไปฟ้องทางการให้มาจับข้าเข้าคุกหรือไม่”
อี้ชิวมีสีหน้าสิ้นหวัง “หรือว่าทำได้เพียงแค่มองดูบรรดาสตรีเหล่านั้นที่หลังจากตายแล้วก็ยังไม่สงบสุขอย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซีไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “เจ้าจะไปเกิดใหม่หรือไม่ หากไป ข้าจะส่งเจ้าไป หากไม่ไป ก็รักษาดวงวิญญาณก่อน”
อี้ชิวยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายหน้า “เช่นนี้ข้าจะไปเกิดอย่างสบายใจได้อย่างไร”
“เช่นนั้นก็อยู่รักษาตัวก่อนเถิด ในเมื่อสิ่งที่เจ้าพบในคืนนี้คือวิญญาณที่มีชีวิต อีกทั้งยังมีแสงสีทองแห่งบุญกุศลปกป้อง ไม่แน่อาจมีการเปลี่ยนแปลง” ฉินหลิวซีเปิดขวดอีกครั้งแล้วให้อี้ชิวเข้าไป
อี้ชิวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฟังนาง หายเข้าไปในขวดแล้วรักษาตัวอย่างเงียบๆ หากฉินหลิวซีไม่ช่วย เมื่อนางรักษาตัวจนหายดีแล้วก็จะไปด้วยตัวเอง
“ดูสิ ข้ากล่าวไว้ไม่ผิดใช่หรือไม่ ที่แท้ก็มีชะตาชีวิตที่ต้องทำงานหนัก ไม่ได้หยุดนิ่ง” เฟิงซิวยิ้มเยาะ
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา “เช่นนั้นเจ้าทำตัวเป็นปีศาจใจดี ช่วยบรรดาสตรีให้พ้นทุกข์ดีหรือไม่”
“ท่านว่าข้าเหมือนปีศาจใจดีหรือไม่ ไม่มีทาง” เฟิงซิวสบถ
“หากทำสำเร็จก็จะเป็นบุญกุศล เป็นผลดี”
เฟิงซิวหัวเราะเบาๆ “ท่านว่าบุญกุศลที่ข้าทำมาทุกปีนี้ยังน้อยอยู่หรือ ยาที่ตำหนักอายุวัฒนะมอบให้ก็ได้ช่วยชีวิตคนไว้ไม่น้อย”
“บุญกุศล ยังจะมีคนรังเกียจที่มีมากเกินไปด้วยหรือ หากสะสมได้มากแล้ว ไม่แน่อาจจะได้เป็นเซียน เซียนจิ้งจอก ฟังดูดีจะตายไป”
เฟิงซิวเห็นว่านางยังคงสนับสนุนวาดฝันอันยิ่งใหญ่ต่อไป จึงกล่าวว่า “ท่านอยากไปก็ไปสิ จะลากข้าไปเกี่ยวทำไม”
“ที่จวนนั่นมีนักพรตมารที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ซ้ำยังมีโซ่ตรวนวิญญาณ หล่อหลอมกลองผีอะไรนั่นอีก ฟังดูเก่งกาจเป็นอย่างมาก หากข้าสู้ไม่ได้จะทำอย่างไร” ฉินหลิวซีแสดงออกว่าไม่อยากจะออกแรงใดๆ เอนกายพิงเก้าอี้แล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “จริงสิ ตอนนี้อารามจินหัวต้องการทำเรื่องดีๆ เพื่อให้ได้ความเคารพนับถือกลับคืนมา นี่เป็นโอกาสที่ดีไม่ใช่หรือ เจ้าว่าหากให้ปรมาจารย์ไท่เฉิงไปเป็นผู้นำปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋าจะเป็นอย่างไร หากเขาสู้ไม่ได้ ข้าค่อยออกโรง ล้วนเป็นคนในเสวียนเหมิน สมควรแล้วที่จะศัตรูเป็นนักพรตมารเหมือนกัน รวมพลังกำจัดศัตรูภายนอก”
เฟิงซิว “…”
ข้าขอร้องท่าน รู้จักอายสักหน่อยเถิด ท่านเอ่ยเรื่องการอุดรอยรั่วได้อย่างชอบธรรม (ไร้ยางอาย) ขนาดนี้ได้อย่างไร
ปรมาจารย์ไท่เฉิง ‘นักพรตเฒ่าชื่อหยวนไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ จึงได้สั่งสอนจนเจ้ากลายเป็นจอมมาร แต่ไม่ได้สอนเจ้าให้เป็นคน’
เมื่อเฟิงซิวเห็นว่าฉินหลิวซียังคงมีความสุขอยู่กับตัวเองจึงกล่าวว่า “ท่านคำนวณได้ดี ท่านจะแน่ใจได้อย่างไรว่าปรมาจารย์ไท่เฉิงจะทำอย่างที่ท่านกล่าว ข้าจะบอกท่านให้ว่ายิ่งเป็นนักบวชที่อยู่ในวัดหรืออารามเต๋าที่เข้าใกล้เมืองหลวงมากขึ้นเท่าใดก็จะยิ่งฉลาด พวกเขาก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะไปเคาะประตูแล้วบอกว่าต้องการจับกุมนักพรตมาร”
“ง่ายจะตายไป ข้าจะหาผีร้ายไปหลอกล่อเขา พาเขาไปที่จวนฉังชวนปั๋วนั่น เขาคงจะลงมือจนได้กระมัง”
ผีร้าย ‘ข้าไปล่วงเกินใครเข้าหรือ ข้าว่าคนร้ายกว่าผีเสียอีกกระมัง’
เฟิงซิวกลืนคำบ่นของตัวเองลงไปอย่างเงียบๆ ‘ช่างเถอะ ท่านชอบใจก็พอ ข้าล่ะสงสารผีร้ายตนนั้น’
ฉินหลิวซีบอกว่าจะทำก็ลงมือทำเลย เรียกผีน้อยมาหลายตน เอ่ยถามว่า “บรรดาพวกเจ้าใครร้ายที่สุด”
บรรดาผีน้อยตกใจจนตัวสั่น คุกเข่าลงอย่างแรง หนึ่งในนั้นกล่าวว่า “ท่านปรมาจารย์ พวกเราไม่เคยทำสิ่งชั่วร้าย ไม่เคยทำร้ายคน ข้าอย่างมากก็แอบดูสาวน้อยอาบน้ำ”
ผีผู้ลามกตนหนึ่งกล่าวว่า “สิ่งชั่วร้ายที่สุดที่ข้าเคยทำคือการดูคนอื่นเพลิดเพลินอยู่ที่หอบุปผา ตื่นเต้นจนทำให้ชายผู้นั้นตกใจจนนกเขาหดก็เท่านั้น”
“ฮือๆ ข้าๆ ข้าเพียงแค่เคยเอาชุดชั้นในของภรรยาคนที่สามตระกูลลวี่ในตรอกซีปาไปยัดไว้บนตัวของเหล่าหวังชายข้างบ้าน ก็ใครใช้ให้นางทารุณกรรมบุตรสาวของภรรยาคนก่อน ตีจนเด็กคนนั้นไม่เป็นผู้เป็นคน”
ฉินหลิวซี “…”
ผีกระจอกอย่างพวกเจ้า ช่างเก่งเหลือเกิน!
เฟิงซิวหัวเราะเหมือนเสียงหมู ท่านก็มีวันนี้เหมือนกันหรือ สวรรค์มีตาจริงๆ!