คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 567 ข้าไม่มีเจตนาจะขู่เอารูปหล่อทองคำอย่างแน่นอน
- Home
- คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า
- ตอนที่ 567 ข้าไม่มีเจตนาจะขู่เอารูปหล่อทองคำอย่างแน่นอน
ตอนที่ 567 ข้าไม่มีเจตนาจะขู่เอารูปหล่อทองคำอย่างแน่นอน
ถงจี้จิ่วนึกเสียใจแล้ว
เขาสัมผัสรอยเข็มในจุดกึ่งกลางใบหน้าของตน ลอบมองไปที่ฉินหลิวซีเงียบๆ เขากำลังสงสัยว่าคนผู้นี้กำลังวางแผนแก้แค้นเอาคืน ปลุกให้ตื่นไยต้องใช้เข็มทิ่มด้วยเล่า ใช้น้ำมันยาไม่ได้หรืออย่างไร
เพียงแต่เวลานี้เองไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อย เขามองไปยังบุตรสาวที่นอนอย่างสงบอยู่บนเตียง จากนั้นมองไปยังวิญญาณสาวตรงหน้า ตรงหน้ามืดลงไปชั่วขณะ มองไปยังฉินหลิวซีอีกครั้ง
เขามองอะไร มองการแกะสลักของคานบ้านหรือ
พวกฮูหยินถงกังวลจนทนไม่ไหว ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไรก็ยังถูกฉินหลิวซีชักจูงไปซ้ายขวา ไม่ยอมเดินตามน้ำ
ฮือๆ ต้องมองดูบุตรสาววิญญาณออกจากร่างจริงๆ หรือ
นายหญิงใหญ่ถงเดินเข้ามาประคองลิ่นชิงอิงที่เบิกตากว้าง ยิ้มแห้งๆ “พี่สาว ท่านมองเรื่องนี้ ควรทำอย่างไรจึงจะดี”
รีบช่วยขอร้องอ้อนวอนทีเถิด
ลิ่นชิงอิงรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด แย่แล้ว นางร้ายไปสักหน่อยแล้ว กลับเกิดความรู้สึกยินดีเมื่อเห็นคนอื่นมีทุกข์ ไม่ดีเลยจริงๆ
เทียบกับความอัปยศอดสูที่นางถูกดูหมิ่นและถูกตำหนิเมื่อครู่ ยามนี้นางรู้สึกโล่งใจจริงๆ มันช่างโล่งจริงๆ
เห็นแล้วหรือไม่ เมื่อครู่ไม่สนใจกัน ยามนี้ก็เย่อหยิ่งไม่ได้แล้วล่ะสิ
ลิ่นชิงอิงกระแอมไอ เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ใกล้จะถึงเวลาเที่ยงแล้ว ท่านเห็นว่าอย่างไร”
ฉินหลิวซีหันไป มองไปยังถงจี้จิ่ว “บัณฑิตไม่เอ่ยถึงเรื่องเหลวไหล ข้าเป็นเพียงหมอผีจอมปลอม หลอกลวงไม่น่าเชื่อถือ”
ถงจี้จิ่วกระอักเลือด เขาตั้งใจ นี่ต้องเป็นการแก้แค้นอย่างแน่นอน
“นายท่าน” ฮูหยินถงมองเขาน้ำตาคลอ เพื่อบุตรสาว ยอมก้มหัวยอมรับผิดสักนิดมิได้หรือ
ถงจี้จิ่วมองบุตรสาวข้างกายนาง สายตาสั่นไหวเล็กน้อย หันไปยกมือประสานให้ฉินหลิวซี “ท่านเจ้าอาวาสน้อย เพราะข้ามีตาหามีแววไม่ เข้าใจท่านเจ้าอาวาสน้อยผิดไปแล้ว ขอท่านเห็นแก่บุตรสาว อย่าได้ถือโทษข้าผู้มีความรู้เท่านี้เลย”
ฉินหลิวซีส่งเสียงหยัน เห็นว่าวางท่าพอประมาณแล้ว หยิบสีชาดออกมา เขียนยันต์บนหน้าผากของเมี่ยวเอ๋อร์ เอ่ยกับนาง “เจ้าเข้าไปเองเถิด”
ถงเมี่ยวเอ๋อร์ถูกยันต์ดึงวิญญาณเข้าไปก็ไม่ขัดขืน นอนลงไป วิญญาณกลับคืนสู่ที่เดิม
ทุกคนเห็นเช่นนั้น รู้สึกอัศจรรย์ใจขึ้นมา หัวใจราวกับถูกโจมตีหนักหน่วง ขนลุกขึ้นมาทั้งตัว
ถงจี้จิ่วกลืนน้ำลาย ท่องเอาไว้ในใจ บัณฑิตไม่เอ่ยเรื่องเหลวไหลพลังลึกลับ บุตรสาวของเขาประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันจึงเป็นเช่นนี้
แต่เมื่อวิญญาณบุตรสาวกลับคืนสู่ร่างกายแล้ว ลืมตาเอ่ยทักทายพวกเขาด้วยน้ำเสียงหวาน ถงจี้จิ่วพลันรู้สึกเปิดโลกมุมมองใหม่ขึ้นมา
เหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรกัน นี่มันพลังลึกลับจริงแน่แท้
เขามองเห็นวิญญาณถงเมี่ยวเอ๋อร์กลับเข้าร่าง ทำให้นางกลับมาเป็นเช่นเดิม นอกจากตอบสนองช้าและเหม่อลอยสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้เซื่องซึมเช่นสองวันที่ผ่านมา
ฮูหยินถงกอดบุตรสาวร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนัก บุตรสาวผู้นี้ของนาง ไยจึงต้องทนทุกข์เช่นนี้ แม้แต่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็ยังประสบพบเจอหรือ
ถงจี้จิ่วถอนหายใจ หันไปมองฉินหลิวซี อยากเอ่ยขอบคุณ ทว่าเห็นนางจ้องมองบุตรสาว ในใจรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย มีอะไรอีกหรือ”
ทุกคนมองมา
ฉินหลิวซีเอ่ยถาม “ที่พวกท่านบอกว่าบุตรสาวไข้ขึ้นสูงจนสมองเสียหาย นั่นเกิดขึ้นเมื่อกี่ขวบกัน”
ฮูหยินถงดวงตาแดงก่ำ เอ่ย “เจ็ดขวบ ต้องโทษข้า หลับไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าบุตรสาวมีไข้สูง พออาการป่วยดีขึ้น นางก็เสียสติไปแล้ว”
“ท่านแม่ ไม่ร้อง” ถงเมี่ยวเอ๋อร์ใช้มือเช็ดน้ำตาให้นางอย่างเชื่องช้า
นายหญิงใหญ่ถงพลันนึกขึ้นได้ว่าฉินหลิวซีเป็นหมอเต๋า พลันมีความคิดหนึ่งขึ้นมา เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อย อย่างน้องสาวของข้านี้ รักษาได้หรือไม่”
เสียงสะอื้นฮูหยินถงหยุดชะงัก มองมาอย่างมีความหวัง แม้แต่ถงจี้จิ่วที่โบราณคร่ำครึเองก็เหลือบมองมา
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ เอ่ย “นางไม่ได้เป็นไข้จนเสียสติ คือสามจิตเจ็ดวิญญาณนั้นหายไปหนึ่ง เป็นวิญญาณแห่งความเฉลียวฉลาดที่หายไป ดังนั้นต่อให้จิตใจนี้กลับมา วิญญาณของนางก็ยังไม่สมบูรณ์ครบทั้งหมด”
ทุกคนตกใจ หันมองไปยังถงเมี่ยวเอ๋อร์ทันที
ถงเมี่ยวเอ๋อร์เม้มริมฝีปาก ยิ้มเอียงอาย
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย นี่มันเรื่องอะไรกัน บุตรสาวของข้าไม่ได้เสียสติเพราะมีไข้สูง แต่เพราะวิญญาณไม่สมบูรณ์อย่างนั้นหรือ” ถงจี้จิ่วร้อนใจ ยกมือยกขึ้นอยากถามให้ชัดเจน
ฉินหลิวซีเอ่ย “คนมีสามจิตเจ็ดวิญญาณ จิตเป็นหยิน ดวงวิญญาณเป็นหยาง ในเจ็ดวิญญาณ หนึ่งความกล้า สองคือความฉลาดเฉลียว ยามนี้วิญญาณนี้ของนางไม่มี ดูจากการตอบสนองช้า ดูโง่เขลา ตามศาสตร์การแพทย์แล้ว ขาดไปหนึ่งวิญญาณ ก็คือสติปัญญามีปัญหาเล็กน้อย ทำให้ตอบสนองเชื่องช้า”
ฮูหยินถงส่งเสียงร้องตกใจ “เป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไร”
“เจ้าอาวาสน้อย เช่นนั้นวิญญาณนี้ของน้องสาวข้าไปที่ใดแล้ว ยังตามหาได้หรือไม่” นายหญิงใหญ่ถงเอ่ยด้วยอย่างร้อนใจ
“บอกยาก จิตวิญญาณของคนคนหนึ่ง หากแยกออกจากกันแล้ว บางส่วนอาจไปเกิดใหม่โดยไม่รู้ตัวก็มีได้ แน่นอน ต่อให้ไปเกิดใหม่ จิตวิญญาณนางไม่ครบ ก็จะกลายเป็นเด็กไม่สมประกอบ” ฉินหลิวซีมองไปยังถงเมี่ยวเอ๋อร์ เอ่ย “วิญญาณนั้นของนาง ไปแล้วหรือไม่ยังไม่อาจบอกได้ ต้องลองหาดูก่อน”
“หาอย่างไร”
ฉินหลิวซีไม่เอ่ยวาจา เพียงปรายตามองถงจี้จิ่วคู่แค้นผู้นี้
เมื่อครู่เจ้าไล่ข้า
ถงจี้จิ่ว “!”
ความเสียใจกำลังคืบคลานเข้ามาราวกับเถาวัลย์ทำอย่างไรดี
ถงจี้จิ่วกลืนน้ำลาย “หากท่านเจ้าอาวาสน้อยช่วยได้ ตระกูลถงของเราจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวัง”
นายหญิงใหญ่ถงได้ยินคำว่ารูปหล่อทองคำจากปากลิ่นชิงอิง จึงเอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อยขอเพียงน้องสาวข้าหายกลับมาเป็นปกติ พวกเรายินดีบริจาครูปหล่อทองคำให้อารามของท่าน”
ฉินหลิวซียิ้มแล้ว
ดวงตาของถงจี้จิ่วกระตุกหลายครั้ง หดหู่ในใจทว่าไม่อาจเอ่ยออกมาแม้เพียงคำเดียว
“เดิมทีข้าเห็นแก่นางพานางมาส่ง ไม่ได้คิดจะหลอกลวงเพื่อรูปหล่อทองคำแต่อย่างใด” ฉินหลิวซีชี้ไปยังถงเมี่ยวเอ๋อร์ เอ่ยกับทุกคน “เพียงแต่ผู้มีบุญมีจิตใจเมตตา ท่านปรมาจารย์ของเราจะรับเอาไว้ บุญส่งผลไร้ขีดจำกัด”
เหล่าถงจี้จิ่วมุมปากกระตุก หากไม่ใช่เพราะดวงตาของเจ้าเปล่งประกายเพียงนั้น พวกเราคงเชื่อแล้ว
“ท่านมักบอกว่าเห็นแก่แม่นางถง เพราะเหตุใดหรือ” ลิ่นชิงอิงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
ฉินหลิวซีนั่งลง หยิบสีชาดเขียนยันต์ออกมา เอ่ย “นางเต็มไปด้วยประกายแห่งคุณธรรม ต่อให้ไม่ใช่คนดีหลายชาติ ชาติที่แล้วนางคงทำความดีมามากมาย จึงมีประกายแห่งคุณธรรมได้เช่นนี้ นางเป็นคนมีเมตตาอย่างแท้จริง นางมาเกิดในบ้านของพวกท่าน นั่นเพราะตระกูลถงของพวกท่านเองก็เป็นบ้านที่สร้างบุญกุศล จึงได้มีคนมีบุญมาเกิดในบ้าน”
คนตระกูลถงได้ยินเช่นนั้นก็ยินดีอยู่ในใจ ลิ่นชิงอิงเริ่มคิดใคร่ครวญ ตระกูลมีบุญนี่ เหมาะกับการเชื่อมความสัมพันธ์ ต่อไปนี้ควรติดต่อกันให้บ่อยขึ้นจึงจะดี
ฉินหลิวซีเอ่ยถามถึงสถานที่ที่ถงเมี่ยวเอ๋อร์ป่วยในปีนั้น เมื่อรู้ว่าตอนนั้นพวกเขาได้มาอาศัยอยู่ที่นี่แล้ว ก็เบาใจลง
ด้วยคุณธรรมที่คอยปกป้องเด็กผู้นี้ แม้วิญญาณจะหายไปก็คงไม่ไปไหนไกล คงจะหาง่ายขึ้นมาบ้าง
จากนั้น นางจึงให้นายหญิงใหญ่ถงเตรียมของที่ต้องใช้ทำพิธีบางอย่าง
ถงจี้จิ่วมองดูสถานการณ์ตรงหน้า ขมับเต้นรัวเร็วขึ้นมา รู้สึกกังวลเล็กน้อย บัณฑิตไม่เอ่ยถึงเรื่องเหลวไหลพลังลึกลับ เขาไม่เอ่ย มองดูอยู่เงียบๆ ก็พอกระมัง
ไม่ได้ อาศัยจังหวะที่นักเรียนเหล่านั้นยังไม่มา เขาต้องขอลาก่อนหรือไม่ บอกพวกเขาไม่ต้องมาแล้ว มิฉะนั้นหากพวกเขาเห็น ใบหน้านี้ของเขายังต้องการอยู่หรือไม่