คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 586 หมอลัทธิเต๋าผู้นี้เสียมารยาทมาก!
ตอนที่ 586 หมอลัทธิเต๋าผู้นี้เสียมารยาทมาก!
ผู้ที่เจียงเหวินหลิวขอให้ฉินหลิวซีช่วยตรวจก็ไม่ใช่คนนอก เป็นเจียงเหวินเหยียนพี่สาวแท้ๆ ของเขา ซึ่งแต่งงานกับเฉียวจื่อหลิง หลานชายภรรยาเอกคนโตของบ้านใหญ่จวนติ้งกั๋วกง
ตระกูลเจียงเป็นตระกูลปัญญาชน คนในตระกูลทั้งบุรุษและสตรีล้วนศึกษาเล่าเรียน เจียงเหวินเหยียนเองก็เช่นกัน ตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานนางก็เป็นหญิงสาวที่สวยสง่าและมีความสามารถ หลังจากแต่งงาน สามีภรรยาก็รักใคร่ปรองดองกัน แต่งเข้าไปสองปีจึงได้ตั้งครรภ์ และหลังจากที่ตั้งครรภ์ นางกลับมีอารมณ์ฉุนเฉียว โมโหง่ายหงุดหงิดง่าย ได้เชิญหมอหลวงมาจับชีพจร ต่างบอกว่าสตรีมีครรภ์ก็มักจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ หลังจากครรภ์บุตรก็จะดีขึ้น
แต่เจียงเหวินเหยียนกลับไม่เป็นเช่นนั้น หลังจากคลอดบุตร อารมณ์ฉุนเฉียวของนางก็รุนแรงขึ้น นางมักจะอารมณ์เสียบ่อยครั้ง ซ้ำยังป่วยด้วยโรคของสตรี ได้เชิญให้หมอที่เชี่ยวชาญด้านโรคของสตรีมารักษา ก็มักจะสงบอยู่พักหนึ่ง อีกพักหนึ่งก็กำเริบขึ้นมา ดื่มยาตลอดทั้งปี ไม่เพียงแต่ทำให้อารมณ์ของนางไม่ดี ซ้ำยังเห็นสิ่งต่างๆ ขัดหูขัดตา ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“พี่เขยของท่านมีอนุภรรยาหรือไม่” ฉินหลิวซีถามหลังจากได้ยินเช่นนี้
เจียงเหวินหลิวยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะเอ่ย “ในบรรดาขุนนางมีบุรุษคนไหนบ้างที่จะไม่รับอนุ แล้วยิ่งเป็นจวนติ้งกั๋วกงที่เป็นตระกูลใหญ่ ก่อนที่พี่หญิงของข้าจะออกเรือน เฉียวจื่อหลิงก็ได้มีสาวใช้ข้างห้องปรนนิบัติแล้ว เพียงแต่ภรรยาเอกยังไม่มีบุตร จวนติ้งกั๋วกงก็ยังคงให้เกียรตินาง รอกระทั่งพี่หญิงของข้ามีบุตรชายคนโตก่อนจึงได้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสาวใช้ข้างห้อง แต่หลังจากตั้งครรภ์จึงได้รับอนุ”
ฉินหลิวซี “เช่นนี้อารมณ์พี่หญิงของท่านก็จะยิ่งแย่ลงกระมัง”
เจียงเหวินหลิวพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นไม่ผิด แต่อนุในเรือนของนางก็ให้ความเคารพและซื่อสัตย์ และหนึ่งในนั้นก็ยังเป็นคนที่นางส่งเสริมเองด้วย”
“เกรงว่าพี่หญิงของท่านจะโง่ไปแล้วกระมัง ไม่กลัวจะเป็นการเลี้ยงเสือไว้ในเรือนหรือ” ฉินหลิวซีถึงกลับพูดไม่ออก
เจียงเหวินหลิวถอนหายใจพลางเอ่ย “สตรีหลังเรือนมักจะมีช่วงเวลาให้ปวดหัวเสมอ หลังเรืองของนางก็ไม่ค่อยเงียบสงบสักเท่าใด แต่ก็ไม่ได้สกปรกเกินไป เพียงแต่อาการป่วยของนางไม่หายสักที แม้ว่าหมอหลวงในวังที่เชี่ยวชาญ แต่โรคของสตรี อย่างไรเสียก็ไม่สู้ให้หมอหญิงช่วยวินิจฉัยจะดีกว่า หลังจากที่ท่านมา ข้าจึงได้กล้าเอ่ยปาก ข้ากลัวว่านางจะป่วยนานเกินจนวิกลจริต ทรมานตัวเอง ถึงจะสูญเสียความรักของสามีก็ไม่เป็นไร แต่หากแม้แต่บุตรชายแท้ๆ ของนางเองก็ยังเหินห่าง เช่นนั้นก็เป็นความสัมพันธ์ที่น่าเศร้า”
หลังจากที่ฉินหลิวซีฟังจบก็เอ่ยว่า “ฟังดูคล้ายกับภาวะซึมเศร้าหลังจากตั้งครรภ์”
“หืม?”
ฉินหลิวซีอธิบายว่า “สตรีบางคนเมื่อตั้งครรภ์จะประสบกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าทางอารมณ์ ต่อมาก็เกิดการคิดฟุ้งซ่าน อาการซึมเศร้านี้หากไม่ได้รับการแก้ไข ในกรณีร้ายแรงจะทำให้เกิดโรคประสาททำให้เกิดการคิดสั้น ฆ่าตัวตายเพื่อจบปัญหาทุกอย่าง”
สีหน้าเจียงเหวินหลิวเริ่มซีดเล็กน้อย
ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ
“ดังนั้นจงเป็นสามีที่ดี สตรีให้กำเนิดบุตรและดูแลเรือนแก่ท่าน ซ้ำบุตรยังใช้แซ่ของท่าน ควรค่าที่จะรักษาไว้ให้ดี อย่าได้ไปคลายความเหงาของตัวเองในขณะที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ ทำร้ายจิตใจภรรยาเอกอย่างไร้เหตุผล”
ใบหน้าของเจียงเหวินหลิวเริ่มร้อนเล็กน้อย ต้องการบอกว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน แต่คำพูดของอีกฝ่ายก็เป็นการเตือนสติเขาเช่นกัน
“แต่ที่ใดก็ตามที่มีสตรี ที่นั่นย่อมมีการทะเลาะกัน และพี่หญิงของท่านก็ได้แต่งเข้าตระกูลใหญ่ที่สูงส่ง ไม่แน่อาจจะถูกลอบวางแผน” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ
เจียงเหวินหลิวละสายตาจากมือของนาง ถึงจะเป็นเช่นนั้น ท่านจะพูดก็พูดไปเถิด ไยต้องหยิบเมล็ดแตงหนึ่งกำมือออกมากระเทาะกิน ราวกับกำลังดูละคร
ต้าเฟิงมีสามกง ล้วนเป็นขุนนางผู้ก่อตั้งอาณาจักรที่ติดตามฮ่องเต้องค์ก่อน สืบทอดตำแหน่งจากรุ่นสู่รุ่น แต่ในบรรดาสามกงนั้น มีเพียงติ้งกั๋วกงผู้เฒ่าที่ยังมีชีวิตอยู่ คนสี่รุ่นอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน ลูกหลานเจริญรุ่งเรือง นับว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่แท้จริง
“ปกติแล้วตระกูลปัญญาชนอย่างพวกท่าน ไม่เต็มใจที่จะแต่งงานกับขุนนางสูงศักดิ์เช่นนี้ไม่ใช่หรือ ต่อให้พี่หญิงของท่านแต่งงานกับตระกูลที่ต่ำลงมาหน่อย แต่ชีวิตก็จะสงบสุขกว่ากระมัง” ฉินหลิวซีมองไปยังจวนติ้งกั๋วกงขนาดใหญ่พลางกระซิบถามเจียงเหวินหลิว
เจียงเหวินหลิวถอนหายใจพลางเอ่ย “เป็นนางที่ถูกใจเอง”
เข้าใจแล้ว เป็นเพราะความรัก
ผู้ที่มาต้อนรับคือป้าผู้ดูแลคนสนิทของเจียงเหวินเหยียน คำนับด้วยความเคารพ จากนั้นก็พาพวกเขาไปที่ประตูรองของจวนนาง
แม้ว่าเจียงเหวินหลิวจะเป็นท่านน้าเล็ก การที่มาเยี่ยมพี่หญิงกระทั่งพาหมอฝีมือดีมาจับชีพจรพื้นฐานให้พี่หญิงนั้นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นบุรุษที่เป็นคนนอก ซ้ำยังเป็นผู้น้อย จวนกั๋วกงมีกฎเกณฑ์มากมาย ด้วยเหตุและผลก็ควรจะไปคำนับผู้อาวุโสก่อน
ดังนั้นเมื่อมาถึงประตูรอง เขาก็ได้พบเฉียวจื่อหลิงพี่เขยของเขา ได้แนะนำให้รู้จักกับฉินหลิวซีก่อน จากนั้นก็ให้ฉินหลิวซีไปที่เรือนไห่ถังของพี่หญิงก่อน ในขณะที่เขาตามพี่เขยไปคำนับผู้อาวุโส
ฉินหลิวซีเดินไปอย่างสบายๆ เมื่อเข้าไปในเรือนไห่ถังก็ได้เห็นทิวทัศน์ภายในลาน บ่าวรับใช้ทั้งหมดยืนอยู่ด้านข้างอย่างเป็นระเบียบ เสียงพูดคุยก็เบามาก แม้แต่เดินยังต้องเขย่งปลายเท้า เห็นได้ชัดว่าเคร่งครัดในกฎระเบียบเป็นอย่างมาก
มีสาวใช้สองคนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องหลัก เมื่อเห็นว่ามีคนมาจึงรายงานเข้าไปข้างใน มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านในห้อง
ฉินหลิวซียืนอยู่หน้าประตูห้องหลัก เงยหน้าขึ้นมองดูคานของห้องนี้ ตาเป็นประกายเล็กน้อย
“ท่านเจ้าอาวาสน้อยมาถึงแล้วหรือ นายหญิงใหญ่ของข้าให้มาเชิญเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่สวมชุดสีชมพูเกล้าผมขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางคำนับฉินหลิวซี
ได้ยินนายท่านบอกว่าผู้นี้คือนักพรตหญิง ตอนนี้มีข่าวลือไปทั่วเมืองหลวงว่าหมอลัทธิเต๋าที่ต้องอาศัยเส้นสายจึงจะเชิญมาได้ก็คือนาง
ฉินหลิวซีคำนับสาวใช้ผู้นั้นตามธรรมเนียมเต๋าแล้วเดินเข้าไป
เจียงเหวินเหยียนนั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่นข้างหน้าต่างทางทิศใต้ เมื่อครู่นางเห็นใบหน้าของฉินหลิวซีผ่านทางหน้าต่าง รู้สึกประหลาดใจที่นางยังเด็กมาก และมีใบหน้าที่งดงาม กล่าวตามตรง แม้ว่าจะสวมเสื้อคลุมสีเขียวเกล้าผมขึ้นด้วยปิ่นปักผมหยกสีเขียว แต่ด้วยท่าทางของนางเช่นนี้ทำให้สาวใช้น้อยในเรือนของเจียงเหวินเหยียนต่างก็หน้าแดง พากันแอบมองนาง
เจียงเหวินเหยียนโมโหเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผล เจ้าเด็กเมื่อวานซืนเหล่านี้ ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ เห็นแค่นี้ก็พากันหน้าแดงแล้ว
ทันทีที่โมโห ใบหน้าของนางก็แดงเล็กน้อย ร่างกายของนางซูบผอมลงเนื่องจากกินอาหารได้น้อย เนื้อบนใบหน้าก็น้อยลง เมื่อโมโหก็หน้าแดงทำให้ดูใจร้าย ไม่น่ามองอยู่บ้าง
เจียงเหวินเหยียนหงุดหงิดและหดหู่เล็กน้อย
ฉินหลิวซีมองดูการตกแต่งด้านนอกห้องอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองไปยังเจียงเหวินเหยียน ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้ม
เจียงเหวินเหยียนกระตุกมุมปาก ลุกขึ้นคำนับฉินหลิวซี แม้ว่าจะหงุดหงิด แต่นางก็ถูกสอนว่าอย่าเสียมารยาทมาตั้งแต่เด็ก
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย รบกวนให้ท่านต้องมาที่นี่แล้ว เชิญนั่งตรงนี้ก่อน เจินจู รีบไปยกชามา”
ฉินหลิวซีนั่งลงบนพื้นที่ที่เหลืออยู่อีกฝั่งของเตียงหลัวฮั่นอย่างเชื่อฟัง รับชาจากสาวใช้มาจิบ กล่าวว่า “เพียงแค่ได้รับคำขอจากคุณชายเจียงจึงได้มาที่นี่ นายหญิงใหญ่เฉียวไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”
เมื่อเจียงเหวินเหยียนเห็นนางเอ่ยถึงน้องชายก็เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เห็นได้ยาก กล่าวว่า “เขาใส่ใจแล้ว ข้าที่เป็นพี่หญิงก็รู้ดี เพียงแต่ตั้งแต่ที่ข้าเป็นโรคนี้มาจนถึงวันนี้ก็หลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น เฮ้อ ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสรักษาให้หายได้หรือไม่”
“พี่หญิงกล่าวเหลวไหลอะไรกัน ท่านเจ้าอาวาสน้อยมีทักษะการแพทย์ที่โดดเด่น จะต้องรักษาท่านได้อย่างแน่นอน” เจียงเหวินหลิวกับเฉียวจื่อหลิงเปิดม่านเดินเข้ามา เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย
เจียงเหวินเหยียนขอบตาแดงเล็กน้อย
เจียงเหวินหลิวเห็นดังนั้นก็เอ่ย “ท่านเจ้าอาวาสน้อย รีบจับชีพจรให้พี่หญิงของข้าเถิด”
ฉินหลิวซีวางถ้วยชาลงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องรีบ ก่อนที่จะจับชีพจร ไม่ทราบว่านายหญิงใหญ่จะอนุญาตให้ข้าไปชมห้องนอนของท่านก่อนได้หรือไม่”
ทุกคนตกตะลึง มองด้วยความประหลาดใจ ชมห้องนอน เสียมารยาทเกินไปหรือไม่