คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 590 ข้าชอบการเป็นสหายกับเศรษฐีนีมาก
ตอนที่ 590 ข้าชอบการเป็นสหายกับเศรษฐีนีมาก
ขณะที่ฉินหลิวซีกำลังฝังเข็ม เจียงเหวินเหยียนรู้สึกขอบคุณน้องชายของนางจากก้นบึ้งหัวใจ ที่ได้หาหมอลัทธิเต๋าที่มีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมมา ซ้ำยังเป็นสตรี โรคส่วนตัวเช่นนี้ยังสามารถเล่าออกมาได้อย่างเปิดเผย แม้แต่ฝังเข็มก็ยังไม่รู้สึกอาย
“เป็นโชคดีของสตรีอย่างพวกเราที่มีหมอหญิงอย่างท่านในต้าเฟิงเพิ่มขึ้นมา” เจียงเหวินเหยียนเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “หมอเป็นคนงานราคาถูก หมอที่เป็นบุรุษยังไม่ได้รับการเคารพจากผู้คนอย่างผู้ที่สอบเป็นขุนนาง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสตรี บางคนก็ไม่เต็มใจที่จะรับสตรีเป็นศิษย์ ดังนั้นหมอหญิงก็ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่มีน้อย และมีไม่มากที่ได้เรียนรู้สาระสำคัญ”
นี่คือความลำเอียงของผู้คนบนโลกที่มีต่อสตรี
“ท่านกล่าวได้ถูกต้องเป็นอย่างมาก”
“ดังนั้นข้าจึงได้รับลูกศิษย์หญิงหนึ่งคน ไม่ได้หวังว่านางจะสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งที่ข้าได้เรียนรู้มาตลอดชีวิต สามารถเรียนรู้ได้หกส่วนก็พอแล้ว ในภายภาคหน้าได้ช่วยชีวิตผู้คน ก็นับว่าเป็นวาสนาของสตรีหลายคน” ฉินหลิวซีคิดถึงวั่งชวนตัวน้อยที่มีกลิ่นหอมและนุ่มนวล ดวงตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว
เจียงเหวินเหยียนตกใจ “ท่านพึ่งจะปักปิ่น[1]กระมัง รับลูกศิษย์แล้วหรือ”
“ลูกศิษย์ต้องรับโดยเร็ว”
เจียงเหวินเหยียนคิดว่านางรับลูกศิษย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อต้าเฟิง กำลังจะกล่าวชื่นชมสักสองประโยค
“หากพวกเขาสำเร็จการศึกษาในเร็ววัน ข้าที่เป็นอาจารย์ก็จะได้ปิดตัวฝึกบำเพ็ญเต๋า มอบเรื่องน้อยใหญ่ให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาไปจัดการ” ดั่งคำกล่าวที่ว่าเกษียณแล้วพักผ่อน มีลูกศิษย์กตัญญู ชีวิตมีความสุข
เจียงเหวินเหยียน “!”
ส่วนศิษย์คนโตผู้นั้น ดูเหมือนจะพึ่งแปดขวบเองกระมัง
เถิงเจาที่อยู่ข้างนอกกำลังดูรูปแบบฮวงจุ้ยตามคำสอนของฉินหลิวซี ทันใดนั้นก็รู้สึกเย็นวูบที่ท้ายทอย ซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก
…
หลังจากทำการฝังเข็มให้เจียงเหวินเหยียนแล้ว ก็ได้นัดหมายมาฝังเข็มอีกในวันถัดไป ฉินหลิวซีไม่ได้อยู่ต่อในจวนติ้งกั๋วกง กระทั่งไม่ได้ออกไปพร้อมกับเจียงเหวินหลิว อย่างไรเสียทางด้านพี่หญิงของเขายังมีคดีต้องฟ้องร้องกันสักตั้ง
เจียงเหวินเหยียนจึงให้สาวใช้ใหญ่คนสนิทของตัวเองส่งฉินหลิวซีกลับไป และได้จ่ายค่ารักษาจำนวนมาก หลังจากที่นางไปแล้วก็ได้ให้แม่นมไปจัดยาด้วยตัวเอง ให้สาวใช้คนสนิทของตัวเองต้มยา จากนั้นก็ทุบโต๊ะเครื่องแป้งดอกบัวคู่ด้วยตัวเอง สีหน้าที่เย็นชานี้ ทำให้เฉียวจื่อหลิงตกใจ
“อ่างปลาทองนั้นเป็นเหลียนอีให้ท่านนำกลับมาใช่หรือไม่” เจียงเหวินเหยียนมองไปยังเฉียวจื่อหลิง เอ่ยว่า “เหลียนอีเติบโตมากับท่าน เป็นบุตรสาวของแม่นมท่าน แล้วก็เป็นพี่เลี้ยงของท่าน ตอนที่พึ่งเข้ามานางก็ได้บอกข้ามากมายเกี่ยวกับนิสัยของท่าน รวมถึงการตกแต่งห้องนอนนี้ด้วย ก่อนหน้านี้ข้าแค่คิดว่านางรอบคอบในทุกๆ เรื่อง ซ้ำยังรู้จักวางตัวจึงไม่ได้คิดอะไรมาก แค่คิดว่านางปฏิบิติต่อท่านเหมือนน้องชาย กลัวว่าสะใภ้ใหม่อย่างข้าที่พึ่งเข้ามาจะไม่รู้เรื่อง ปรับตัวไม่ได้ ไม่ลงรอยกับท่าน ตอนนี้ดูแล้วเป็นข้าที่คิดผิดไป”
“เหยียนเอ๋อร์…”
“พี่เลี้ยง พี่เลี้ยง เห็นได้ชัดว่านางอยากจะร่วมหอลงโลงกับท่าน แต่ท่านกลับเห็นนางเป็นพี่เลี้ยง นางจะมีความสุขได้อย่างไร” เจียงเหวินเหยียนแสยะยิ้ม “เดิมทีควรจะเป็นคนที่น่าภาคภูมิใจอันดับหนึ่งที่ได้อยู่ข้างกายท่าน แต่กลับถูกมอบหมายให้แต่งงานกับผู้ดูแลตำแหน่งเล็กๆ ไหนเลยจะไม่รู้สึกขุ่นเคืองได้ ไม่กล้าโทษท่าน จึงมาโทษข้า”
เฉียวจื่อหลิงขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบชัดเจน…”
เจียงเหวินเหยียนหัวเราะ “ท่านลืมไปแล้วหรือว่าบิดาของพี่เลี้ยงท่านทำอะไร”
เฉียวจื่อหลิงสีหน้าเปลี่ยนไป
เจียงเหวินหลิวได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า “พี่หญิง ท่านรู้อะไรมาหรือ”
“บิดาของพี่เลี้ยงเขาเดิมทีเป็นช่างก่ออิฐ บิดาของพี่เลี้ยงเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ห้องถล่มและถูกลงโทษ จากนั้นบิดาของพี่เลี้ยงเขาจึงได้ติดตามอยู่ข้างกายติ้งกั๋วกงผู้เฒ่า เข้ามาเป็นบ่าว เนื่องจากมีทักษะความสามารถจึงได้รับความสำคัญ อย่างน้อยงานฝีมือเล็กใหญ่ของติ้งกั๋วกงก็ล้วนเป็นฝีมือเขาทั้งหมด รวมถึงการก่ออิฐ การปรับปรุงใหม่ของเรือนนี้ ข้าจำได้ว่าก็ได้มอบหมายให้เขาเป็นคนจัดการเช่นกัน”
เจียงเหวินเหยียนได้เอ่ยอย่างชัดเจนมากแล้ว ผู้ที่เป็นช่างฝีมือ นอกจากจะเข้าใจงานฝีมือแล้ว ยังต้องเข้าใจรูปแบบของฮวงจุ้ยบางอย่างด้วย เมื่อลงมือปรับแต่งห้อง หากต้องการจะทำอะไรบางอย่างกับห้องนี้ มีหรือจะไม่ได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเขาทำไม่ได้ เหลียนอีในฐานะบุตรสาวแท้ๆ จะไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียวเลยหรือ
เจียงเหวินหลิวก็เข้าใจแล้วเช่นกัน สีหน้าดูแย่เป็นอย่างมาก แต่กลับเอ่ยว่า “พี่หญิง แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เรื่องทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับหลักฐาน และตอนนี้ท่านกำลังป่วยอยู่ ไม่สู้มอบให้ฮูหยินเฉียวเป็นคนจัดการเถิด”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นอยู่พอดี” เจียงเหวินเหยียนเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าไม่กล้าอยู่ห้องนี้แล้ว อีกสองวันเจ้ามารับข้ากลับไป อาศัยอยู่ที่ตระกูลเดิมสักระยะหนึ่ง จะได้รักษาอาการป่วยด้วย”
เฉียวจื่อหลิงตกตะลึง “กลับไปรักษาที่ตระกูลเดิมหรือ”
เจียงเหวินเหยียนยิ้มให้เขาอย่างร้ายกาจ “ใช่ ข้ากลัวว่าห้องนี้จะยังมีอะไรสกปรกอีก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการรักษาอาการป่วยของข้า ทำให้คนทั้งจวนติ้งกั๋วกงรู้สึกว่าสตรีแซ่เจียงอย่างข้าโมโหง่ายหงุดหงิดง่าย แม้แต่บุตรชายก็ไม่อยากใกล้ชิด”
เฉียวจื่อหลิงก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด
เจียงเหวินเหยียนแสยะยิ้มในใจ เรียกคนมานำศพแมวไปให้แม่สามี และให้คนไปแจ้งแก่ฮูหยินผู้เฒ่า เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าศรัทธาในเต๋า
หาหลักฐานหรือ ศพแมวในมือนางก็คือหลักฐาน
นางเป็นหลานสะใภ้คนโต ซ้ำยังให้กำเนิดเหลนคนโต ในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงนางคนเดียวที่อาศัยอยู่ ผู้ที่ไปมาที่นี่ยังมีเฉียวจื่อหลิงและบุตรชายของนาง หากไม่ได้ค้นพบ เช่นนั้นพวกเขาจะติดโชคร้ายไปด้วยหรือไม่
จวนกั๋วกงไม่เห็นว่านางสำคัญไม่เป็นไร มาดูกันว่าพวกเขาจะเห็นว่าหลานชายคนโตกับเหลนคนโตผู้นี้สำคัญหรือไม่!
มองจากศพแมวนี้เพียงอย่างเดียว ร้ายแรงหน่อยก็คือคำสาปมนต์ดำ
…
ฉินหลิวซีให้รถม้าจวนกั๋วกงกลับไปเมื่อมาได้ครึ่งทาง ส่วนนางพาเถิงเจาไปที่หอเครื่องเงินแห่งหนึ่ง มองดูแผนภาพที่คุ้นเคยบนแผ่นป้าย นางยกมุมปากขึ้น
นี่คือกิจการของตระกูลซือ
นางต้องการวางค่ายอาคมรวบรวมจิตวิญญาณขนาดเล็กให้เจียงเหวินเหยียน ดังนั้นจึงต้องการหินหยก นางจึงได้มาที่กิจการของตระกูลซือเหลิ่งเย่ว์
หอเครื่องเงินของตระกูลซือมีนามว่าเฟิ่งเสียง แม้ว่าชื่อร้านอาจจะดูธรรมดา แต่แผนภาพของแม่มดตระกูลซือที่ออกแบบไว้ในนั้นดูมีความลึกลับเล็กน้อย
เมื่อเข้าไปในหอเครื่องเงิน มีลูกค้ากำลังเลือกสิ่งของจับจ่ายอยู่ที่นั่น เมื่อฉินหลิวซีและเถิงเจาเดินเข้าไป ได้ดึงดูดให้สาวน้อยสองคนแอบมองมา
“ไม่ทราบว่าลูกค้าต้องการซื้อสิ่งใดหรือขอรับ” มีคนงานเข้ามาต้อนรับ คำนับอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ฉินหลิวซีนำสัญลักษณ์ของซือเหลิ่งเย่ว์มอบให้ เอ่ยว่า “ข้ามาเลือกหินหยก”
คนงานชะงักไปครู่หนึ่ง รับสัญญาลักษณ์มาดู ท่าทางเปลี่ยนไปในทันที กล่าวว่า “ท่านโปรดรอสักครู่”
เขาเดินไปที่โต๊ะเก็บเงิน กระซิบกับเถ้าแก่วัยกลางคนสองสามประโยค เถ้าแก่ผู้นั้นเงยหน้าขึ้น หยิบสัญลักษณ์ขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด เดินไปหาฉินหลิวซีอย่างรวดเร็ว โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ยิ้มพลางถามว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อยปู้ฉิวใช่หรือไม่ขอรับ”
“เสี่ยวเย่ว์เคยบอกกับพวกเจ้าไว้แล้วหรือ เจ้ารู้จักข้าได้อย่างไร”
เมื่อเห็นว่านางไม่ได้ปฏิเสธ เถ้าแก่อูจึงยิ้มกว้างกว่าเดิม เอ่ย “ผู้นำตระกูลได้บอกกับพ่อบ้านใหญ่ไว้นานแล้ว ตราบใดที่เป็นกิจการของตระกูลซือ ขอเพียงแค่นำสัญลักษณ์นี้มา ท่านต้องการอะไรก็ได้ทั้งนั้น จดไว้ในบัญชีของนางก็พอ และสัญลักษณ์นี้มีเพียงท่านกับผู้นำตระกูลเท่านั้นที่มี ผู้นำตระกูลไม่ได้มา ก็มีเพียงท่านแล้ว”
เขาเอ่ยพลางคืนสัญลักษณ์ให้ กล่าวว่า “ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านมาเมืองหลวง ละเลยท่านแล้ว ไม่สู้ท่านขึ้นไปดื่มชาบนหอก่อนสักถ้วยแล้วค่อยๆ เลือก ของว่างในหอนี้ล้วนดีทั้งนั้น”
ฉินหลิวซีมองดูแผนภาพสัญลักษณ์ในมือ สีหน้าแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและมีความสุข แต่ปากกลับเอ่ยอย่างสงวนท่าทีว่า “เสี่ยวเย่ว์เกรงใจเกินไปแล้ว”
แต่ในใจกลับกรีดร้องราวกับถู่ปัวสู่[2] ที่แท้การเป็นสหายกับเศรษฐีนีเป็นความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ข้าชอบมาก!
“ท่านอาจารย์ปู้ฉิวหรือ” น้ำเสียงประหลาดใจดังขึ้นจากด้านหลัง
[1] พิธีปักปิ่น จัดขึ้นสำหรับเด็กสาวที่อายุเกิน 15 ปีที่โตเป็นสาวเต็มตัวและพร้อมที่จะเข้าสู่ชีวิตแต่งงาน
[2] ถู่ปัวสู่ มาร์มอต เป็นกระรอกขนาดใหญ่