คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 593 เด็กเจ้าเล่ห์รังแกข้าไม่รู้จบ
ตอนที่ 593 เด็กเจ้าเล่ห์รังแกข้าไม่รู้จบ
หลังจากได้ยินคำพูดของฉินหลิวซี ปรมาจารย์ไท่เฉิงก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมด
เขาก็เป็นเพียงแพะรับบาปที่น่าสังเวช ยังจะมีอะไรได้อีก
นางทำมากมายขนาดนี้ แต่ยังคงบอกว่านางไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่ความจริงนางเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นจนไร้ความเป็นคน!
ปรมาจารย์ไท่เฉิงพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ควรจะพูดอะไร จะตำหนิหรือโต้แย้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล
หลังจากใช้ชีวิตมายาวนาน เข้าสู่ลัทธิเต๋ามาเป็นเวลานาน เป็นครั้งแรกที่ปรมาจารย์ไท่เฉิงรู้สึกว่าได้รับความสูญเสียครั้งใหญ่จากการรู้สึกผิด
“ท่านจะไม่เอ่ยอะไรหน่อยหรือ” ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว
หากเขาไม่ตอบ แล้วนางจะพูดจาเหน็บแนมต่อได้อย่างไร เช่นนั้นก็ไม่สนุกแล้ว
ปรมาจารย์ไท่เฉิงสบถเบาๆ เอ่ยว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อดูว่าอารามชิงผิงในตอนนั้นที่เหลือเพียงชื่อหยวน ในตอนนี้มีใครอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าเขาจะรับลูกศิษย์ที่ดีมา ไม่เลวเลยจริงๆ ในที่สุดนับว่าได้ชดเชยบาดแผลที่ถูกศิษย์น้องผู้เป็นที่รักของเขาทรยศสำนัก”
มีร่องรอยความเกรี้ยวกราดผ่านเข้ามาในดวงตาของฉินหลิวซี ก่อนจะเอ่ย “หากข้าเป็นท่าน ก็คงไม่สนใจว่าคนอื่นจะมีใครบ้าง สนใจตัวเองจะดีกว่า”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงคิ้วกระตุก
ฉินหลิวซีรินชาให้ตัวเอง ถือถ้วยชาพลางเอ่ย “คิดว่าพวกฉังอันโหวคงไปหาท่านแล้วกระมัง และได้บอกท่านแล้วว่าศิษย์น้องของท่านผู้นั้นทำอะไรลงไปบ้าง”
เอ่ยถึงศิษย์น้อง? มาเลย ทำร้ายซึ่งกันและกัน ดูกันว่าใครจะเลือดอาบ!
“อารามจินหัวสืบทอดคำสอนของจางเทียนซือ มาจากลัทธิดั้งเดิม แต่กลับมีลูกศิษย์อย่างนักพรตไท่หยาง ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไร อย่างไรเสียทุกสำนักก็มักจะมีมูลหนูที่นอกลู่นอกทางหนึ่งหรือสองก้อนเสมอ อารามชิงผิงของพวกเรามี อารามจินหัวก็มี แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือ ทัศนคติที่มีต่อลูกศิษย์ที่ไม่เดินเส้นทางสายคุณธรรม แต่กลับเดินสายนักพรตมาร อารามชิงผิงยอมที่จะปราบปรามคนทำชั่วให้ราบคาบแม้ว่าตัวเองก็ต้องเสียหายเช่นกัน ฆ่าอย่างไร้ความปรานี แล้วอารามของท่านล่ะ”
สีหน้าของปรมาจารย์ไท่เฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ฉินหลิวซีเงยหน้ามองเขา “ปกป้องความผิดของคนใกล้ชิดนั้นข้าเข้าใจ แต่การปกป้องของท่านปรมาจารย์นั้นขาดขอบเขต นักพรตไท่หยางใช้มนต์ดำชั่วร้ายทำสิ่งเลวร้ายไปขโมยอายุขัยของผู้อื่น นี่ไม่ใช่เพียงแค่การทำผิดจากบรรทัดฐานทางอุดมการณ์เท่านั้น แต่เป็นการเพิกเฉยต่อการลงโทษของสวรรค์ ใช้สิ่งที่เรียนรู้มาทำร้ายผู้บริสุทธิ์ และเมื่อคาถาถูกทำลาย เขาก็ไม่ได้สำนึกตน ท่านปรมาจารย์ก็ไม่ตักเตือนแต่เลือกที่จะปกป้อง ท่านปล่อยเขาไป สุดท้ายเขาก็ทำลายชีวิตของคนสองคน ซึ่งทั้งสองเป็นญาติคนสนิทที่ผูกมัดกับเขา ไม่จำเป็นต้องบอกว่าบาปกรรมที่เขาแบกรับนั้นมากมายยิ่งกว่าใคร”
“แม้ว่าการตายของสะใภ้หนิวอาจไม่น่าเสียดาย แต่นักพรตไท่หยางได้หล่อหลอมปีศาจน้อยให้มีชีวิตอยู่ตลอดไป เป็นศพเดินได้ หากทำให้ศพนั้นมีชีวิตยืนยาว กลายเป็นอาวุธสังหารที่ทรงพลัง เขาก็จะดูดซับอายุขัยกระทั่งวิญญาณของผู้บริสุทธิ์มากขึ้น และนำมาซึ่งผลกรรมของคนที่ตายเพราะพ่อลูกคู่นี้ ไม่ทราบว่าท่านปรมาจารย์จะรับไหวหรือไม่ ทุกครั้งที่ตายไปหนึ่งคนบุญกุศลบนตัวของเจินเหรินก็จะถูกชดเชยไปหนึ่งส่วน เมื่อบุญกุศลหมดไป เหลือเพียงบาปกรรม เส้นทางของเจินเหรินก็จะไม่มีหนทางข้างหน้าอีกต่อไป หัวใจเต๋าก็จะไม่มั่นคงอีกต่อไปเหมือนกัน”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว ก้าวถอยหลังสองสามก้าว สบตากับนาง หัวใจเต้นรัวราวกับกลอง
คำพูดของฉินหลิวซีราวกับการทุบตีอย่างหนัก กระทบลงตัวเขาอย่างแรง ได้ทำลายโชคดีของเขาและภาพลักษณ์ศิษย์พี่ใหญ่ที่เขาคิดไว้
คำพูดของฉินหลิวซีล้วนบอกว่าเขาช่วยทรราชให้ทำชั่ว สังหารคนไปทั่ว เป็นความผิดที่ไม่อาจอภัยได้!
สีหน้าของปรมาจารย์ไท่เฉิงค่อยๆ ซีดลง แทบจะไม่สามารถแสร้งทำเป็นสงบได้เลย
“ท่านปรมาจารย์ การบำเพ็ญขั้นสร้างรากฐานสามารถยืดอายุขัยของท่านได้อีกร้อยปี แต่ใครบอกกันว่าจะไม่ถดถอย เมื่อกรรมที่ท่านแบกไว้นั้นมากมายเกินท่านรับไม่ไหว เช่นนั้นก็จะไม่ได้เป็นเรื่องง่ายดายอย่างบทลงโทษห้าโทษสามวิบัติ แต่เป็นการลงโทษของสวรรค์”
ฉินหลิวซียกมุมปากพลางเอ่ย “หรือท่านปรมาจารย์มั่นใจว่านักพรตไท่หยางจะเป็นดั่งที่ท่านหวัง ซ่อนตัวฝึกบำเพ็ญอย่างสงบเสงี่ยม?”
ความมั่นใจ เขาจะไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ยิ่งเมื่อไท่หยางตัวปัญหาผู้นั้นเอาศพเดินได้ของบุตรชายตัวเองไว้ข้างกาย ความมั่นใจของเขาก็พังทลายลง
หากไท่หยางอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ก็คงไม่หล่อหลอมเด็กคนนั้นหรอกกระมัง
“ดังนั้นข้าจึงได้เตือนท่านปรมาจารย์ เรือนหลังของท่านกำลังลุกไหม้แล้ว หากไม่รีบดับไฟ คิดจะย่างหมูในกองไฟหรือ” ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม
ปรมาจารย์ไท่เฉิงอ้าปาก อยากจะโต้แย้งสักสองสามประโยค แต่ในลำคอกลับเหมือนถูกอะไรขวางไว้ เปล่งเสียงไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เขาต้องยอมรับว่าทุกสิ่งที่ฉินหลิวซีกล่าวมานั้นถูกต้อง
“หากช่วยหนึ่งคน แล้วคนผู้นั้นช่วยคนได้เป็นหมื่น บุญกุศลที่ได้มาก็จะตกเป็นของท่านปรมาจารย์ด้วยบางส่วน แต่หากช่วยหนึ่งคนแล้วเขาทำร้ายคนนับหมื่น บาปกรรมที่เขาแบกรับ ท่านก็ต้องแบกรับด้วยบางส่วน ไม่ง่ายเลยกว่าท่านปรมาจารย์จะฝึกบำเพ็ญถึงขั้นรากฐาน เหตุใดต้องยอมทำลายกำแพงเมืองจีนเพื่อมูลหนูเพียงก้อนเดียว” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “หากข้าเป็นท่าน จะรีบไปที่หลุมศพบรรพบุรุษตระกูลจิ่งเพื่อเฝ้ารอเขา แล้วทำการ…”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงมองนางทำท่าทางเอามือเชือดคออย่างโหดร้าย เปลือกตากระตุก ในที่สุดก็เค้นคำพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า “หากเป็นสหายร่วมสำนักของเจ้า หรือกระทั่งเป็นลูกศิษย์ของเจ้า เจ้าก็จะลงมือฆ่าเขาหรือ”
ฉินหลิวซีเหลือบมองเถิงเจา เผยให้เห็นรอยยิ้มอันน่ากลัว “หากลูกศิษย์ของข้ากล้ามีความคิดเช่นนี้ ข้าจะไม่มีวันให้เขามีโอกาสได้เติบโตมาแย่งอำนาจ”
เถิงเจาหันหน้าหนี น่าเบื่อ
ปรมาจารย์ไท่เฉิงเอ่ย “ตามหลักแล้ว ในเมื่อเจ้าลอบวางแผนข้า ก็ควรดูข้าเดินไปตามเส้นทางแห่งการทำลายตัวเองอยู่เฉยๆ เหตุใดจึงได้มาโต้แย้งเหตุผลกับข้ามากมายเช่นนี้”
จะเพราะอะไรได้ แน่นอนว่าเพื่อเป็นการรักษาปืนใหญ่เอาไว้ ยังไม่รู้เลยว่าสุนัขต่ำช้าซื่อหลัวผู้นั้นแอบหลบซ่อนทำการใหญ่อยู่ที่ไหน หากมีผู้ที่มีวิชาเต๋าล้ำเลิศ อย่างน้อยก็จะมียันต์คุ้มภัยเพิ่มขึ้น
ฉินหลิวซีถอนหายใจพลางเอ่ย “ท่านปรมาจารย์ก็เคยกล่าวไว้ว่าล้วนเป็นคนในเสวียนเหมินด้วยกันทั้งนั้น ควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ข้าทนไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องเห็นการฝึกบำเพ็ญของท่านปรมาจารย์แปดเปื้อนมูลหนูก้อนนี้ ข้าเป็นคนจิตใจดี ทนดูโศกนาฏกรรมเช่นนี้ไม่ได้ จริงๆ นะ!”
ปรมาจารย์ไท่เฉิง ‘หากเจ้าไม่เน้นว่าเป็นเรื่องจริง ข้าเกือบจะเชื่อคำโกหกของเจ้าแล้ว’
เขาจ้องมองฉินหลิวซีอย่างลุ่มลึก จากการลอบวางแผนสกปรกก่อนหน้านี้ของนาง นางก็ไม่ใช่คนดีอะไร หลังจากได้ฟังคำพูดเหล่านี้ ก็มักจะรู้สึกว่าเด็กเจ้าเล่ห์ผู้นี้กำลังขุดหลุมวางกับดัก แต่เขาไม่มีหลักฐาน
ปรมาจารย์ไท่เฉิงสะบัดแขนเสื้อ เอ่ย “ชื่อหยวนได้รับลูกศิษย์ที่ดีมาจริงๆ”
เขาไม่กล่าวอะไรอีกแล้วเดินไปที่ประตู
ฉินหลิวซีเอ่ยเบาๆ ว่า “หากท่านเดินออกประตูนี้ไป คนอื่นที่ไม่รู้ว่าท่านเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด เกรงว่าจะคิดว่าเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ”
จริงด้วย
ปรมาจารย์ไท่เฉิงเดินกลับไปทางหน้าต่าง
มาทางไหน ก็ไปทางนั้น ไม่มีปัญหา
เถิงเจาส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด ‘อายุมากแล้ว สมองพรุนหมด!’
ปรมาจารย์ไท่เฉิงกระโดดลงไป ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เหตุใดเขาถึงฟังคำพูดของเด็กเจ้าเล่ห์ผู้นั้น หอเครื่องเงินนี้เปิดทำการตอนกลางวัน มีคนเข้าออกมันแปลกตรงไหน เขาเดินออกไปทางประตูก็ไม่มีปัญหาอะไรด้วยซ้ำ
ต้องมีอะไรแน่ๆ
ปรากฏว่าฉินหลิวซีชะโงกหน้าออกมา ยิ้มให้เขา จากนั้นตะโกนเสียงดังว่า “ใครก็ได้ มีโจรโรคจิต!”
“ไหน อยู่ที่ไหน”
“อยู่ตรงนั้น พึ่งกระโดดลงมาจากหอ”
“จับเขาไว้!”
ปรมาจารย์ไท่เฉิงโมโหมาก รีบใช้มนต์บังตา จ้องมองฉินหลิวซีด้วยความเกลียดชัง เด็กเจ้าเล่ห์ รู้อยู่แล้วว่านางไม่ใช่คนดี!
ฉินหลิวซีโบกมือให้เขา ไปดี ไม่ส่ง!