คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 598 ใจคนโหดเหี้ยม
ตอนที่ 598 ใจคนโหดเหี้ยม
ทันทีที่ฉินหลิวซีจากไป เจียงเหวินเหยียนก็ดึงลวี่เซี่ยวซานเข้าไปนั่งที่ห้องด้านในด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าบอกข้ามาตามตรง เจ้าอาวาสน้อยกล่าวถูกทั้งหมดใช่หรือไม่ เจ้ากินอาหารบำรุงอย่างบ้าคลั่งจริงๆ หรือ เป็นแม่สามีของเจ้ากับจังหย่งให้เจ้ากิน หรือเป็นเพราะพวกเขาทั้งครอบครัว ‘ใส่ใจ’ เจ้า”
ลวี่เซี่ยวซานอ้าปาก ขอบตาแดงก่ำ
เจียงเหวินเหยียนเอ่ย “เจ้าอย่าคิดปิดบังข้า ซานเหนียง เจ้าคือสหายสนิทของข้า สำหรับข้าแล้วเจ้าก็เหมือนกับน้องสาวของข้า มิเช่นนั้นข้าก็คงไม่เป็นกังวลเรื่องทายาทของเจ้า เดิมทีคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เจ้าอาวาสน้อยอยู่ ใช่ว่าใครก็เชิญมาได้ จึงได้ขอให้นางจับชีพจรให้เจ้า แต่เจ้ากลับ…เฮ้อ”
ลวี่เซี่ยวซานสูดหายใจ ถามว่า “พี่หญิงเจียง ท่านเชื่อเจ้าอาวาสน้อยผู้นี้ขนาดนั้นเชียวหรือ นางมีความสามารถเช่นนั้นจริงๆ หรือ”
เจียงเหวินเหยียนเผยให้เห็นรอยยิ้มขมขื่น มองไปรอบๆ ห้องที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ก่อนจะเอ่ย “เจ้าลองดูสิ ห้องนอนของข้ามีอะไรแตกต่างไปหรือไม่”
ลวี่เซี่ยวซานชะงักไปครู่หนึ่ง มองสำรวจดู นางเคยมาที่นี่หลายครั้ง บางครั้งก็เข้ามาเยี่ยมอาการป่วยในห้องนอน จึงได้คุ้นเคยกับการตกแต่งห้องนอนของนางเป็นอย่างดี
ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีความแตกต่างไปจากเดิมเป็นอย่างมาก
“เหตุใดจึงไม่เห็นอ่างปลาแล้ว โต๊ะเครื่องแป้งไม้จันทน์แดงเล็กๆ ของท่านก็ไม่มีแล้ว” ลวี่เซี่ยวซานมองไปรอบๆ ไม่เห็นของทั้งสองอย่างนี้
การเลี้ยงปลาในห้องนอนเป็นเรื่องที่เห็นได้ยาก ดังนั้นนางจึงจำสิ่งนี้ได้ขึ้นใจ
เจียงเหวินเหยียนแสยะยิ้ม “ปลาตัวนั้นตายแล้ว หากมันไม่ตาย คาดว่าคนที่ตายก็คงเป็นข้า”
ลวี่เซี่ยวซานตกใจเป็นอย่างมาก “พี่หญิงหมายความว่าอย่างไร”
ทั้งสองคนเป็นสหายสนิทกัน และเกรงว่าตอนนี้ลวี่เซี่ยวซานจะถูกขังอยู่ในกรงอันแสนหวานโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเจียงเหวินเหยียนจึงไม่ปิดบังสิ่งที่เกิดขึ้นกับนาง เล่าให้ลวี่เซี่ยวซานฟังทุกอย่าง
“ตอนนี้ในห้องนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่กลับทำให้ข้ารู้สึกสดชื่นขึ้น ทุกอย่างเป็นเพราะคำชี้แนะของท่านเจ้าอาวาสน้อย มิเช่นนั้นอาการขี้โมโหหงุดหงิดง่ายของข้าเกรงว่าจะค่อยๆ รุนแรงขึ้น อาการป่วยของข้าเป็นเพราะถูกคนต่ำช้าผู้หนึ่งเอาเปรียบ แต่เจ้า ซานเหนียง หากเป็นจังหย่งจงใจให้เจ้ากินอาหารบำรุงเหล่านั้นจริงๆ เช่นนั้นพวกเขาก็โหดร้ายยิ่งกว่าเหลียนอี” เจียงเหวินเหยียนกัดฟันพลางเอ่ย “ดูเหมือนเหลียนอีจะคิดว่าข้าไปขัดขวางอนาคตที่ดีของนางจึงได้ทำร้ายข้าเช่นนี้ แต่จังหย่ง แม่สามีของเจ้าและคนอื่นๆ ล้วนเป็นคนในครอบครัวเจ้า จงใจวางแผนทำเช่นนี้จะต้องเป็นคนที่โหดร้ายแค่ไหน”
นางจับมือลวี่เซี่ยวซาน เอ่ย “ซานเหนียง หากคนในตระกูลเดิมของเจ้ายังอยู่ พวกเขาก็คงไม่กล้าเช่นนี้ แต่เจ้ากลับเป็นบุตรกำพร้า สิ่งที่พวกเขาทำ เกรงว่าจะทำให้ไม่มีทายาทสืบต่อไป”
เมื่อเจียงเหวินเหยียนเอ่ยคำนี้ออกมาก็ตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว
ก่อนหน้านี้นางเห็นว่าลวี่เซี่ยวซานใบหน้าแดงระเรื่อ มีความสุขเป็นอย่างมาก ก็คิดจริงๆ ว่าตระกูลจังเป็นตระกูลเกษตรกรรมและศึกษาตำราที่ซื่อสัตย์ ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์และจิตใจดี ดังนั้นน้องหญิงผู้นี้จึงได้สบายใจเช่นนี้ อย่างไรเสียก็ได้แต่งงานกับผู้ที่มีความใส่ใจ นับว่าเป็นโชคดีของสตรีจริงๆ
แต่ฉินหลิวซีกลับเปิดเผยภาพลวงตา เอ่ยว่าสภาพร่างกายของลวี่เซี่ยวซานนั้นอ่อนแอจนไม่สามารถรับการบำรุงได้ หากคนตระกูลจังรู้เรื่องนี้แต่ยังคงให้นางบำรุง เช่นนั้นจุดประสงค์คืออะไร
ตราบใดที่ซานเหนียงเสียชีวิต สินสอดทองหมั้นจำนวนมากที่นางนำไปด้วย เส้นสายที่ท่านพ่อของนางทิ้งไว้ให้ เกรงว่าจะตกอยู่ในมือของตระกูลจังทั้งหมด เนื่องจากจังหย่งรู้จักเสแสร้ง เขาก็จะเสแสร้งทำเป็นคนที่มีความรักอันลึกซึ้ง
เจียงเหวินเหยียนแกะเรื่องราวเหล่านี้ออกเป็นชิ้นๆ แล้ววางไว้ตรงหน้าลวี่เซี่ยวซาน ดวงตามีร่องรอยของความเจ็บปวด
ลวี่เซี่ยวซานสั่นไปทั่วทั้งตัว เอ่ยว่า “พวกเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ ท่านก็รู้ว่าข้าแต่งเข้าไปหลายปี แต่ก็ไม่มีแววว่าจะตั้งครรภ์มาโดยตลอด ดังนั้นจึงได้กระตือรือร้นที่จะบำรุง บำรุงกำลัง แล้วก็รักษาอาการมดลูกเย็น ไม่ว่าจะเป็นโสม เขากวาง อาเจียว[1] ถังเช่าอะไรเหล่านั้น ทั้งยังมีรังนก ข้าก็กินมาแล้วทั้งหมด ความจริงแล้วข้าก็ไม่อยากกิน แต่พวกเขาพากันเกลี้ยกล่อมข้า ในจวนไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ร่างกายของข้าจึงจะสำคัญที่สุด ข้าคิดว่า…”
นางเอ่ยพลางน้ำตาไหลพราก
“คนข้างกายเจ้าไม่มีใครรู้เลยหรือ”
ลวี่เซี่ยวซานยิ้มอย่างขมขื่นพลางเอ่ย “ท่านก็รู้ว่าข้าแต่งงานกับตระกูลที่ต่ำกว่า แม้แต่แม่สามีเองก็มีคนปรนนิบัติอยู่ไม่กี่คน ข้าก็ไม่อยากให้พวกเขาคิดมาก หลายปีมานี้คนเก่าแก่ข้างกายข้าหลายคนก็ล้วนแยกย้ายกันไปไม่น้อย เหลือเพียงพวกอาเจียวกับหรูอี้ เปลี่ยนกลุ่มคนใหม่ ซึ่งทั้งหมดถูกคัดเลือกโดยพ่อค้าทาส ดูแล้วล้วนเป็นคนซื่อสัตย์ หลายปีมานี้ก็อยู่กันอย่างสงบไม่มีเรื่องอะไร ข้า…”
นางไม่กล้าเอ่ยต่อไปอีก ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ในจวนนั้น
ปกติแม่สามีจิตใจดี ไม่ค่อยออกไปข้างนอก อาหญิงเล็กก็เหมือนสตรีตระกูลใหญ่ ส่วนสามีก็ศึกษาตำราอยู่ที่เรือนเป็นส่วนใหญ่ นางในฐานะลูกสะใภ้ก็ไม่อาจออกไปเพ่นพ่านข้างนอกได้ เกรงว่าคนในตระกูลแม่สามีจะไม่พอใจ แม้ปากจะบอกว่าให้นางออกไปเดินเล่น แต่ยิ่งพวกเขาใส่ใจเช่นนี้ นางก็ยิ่งไม่อาจเอาแต่ใจได้ นานวันเข้าความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดของนางก็คือเจียงเหวินเหยียนจวนกั๋วกง สถานที่ที่ไปบ่อยที่สุดก็คือจวนกั๋วกง
และจวนกั๋วกงก็มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ตระกูลจังเองก็ยินดีที่นางมีสหายสนิทแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้คนโต เนื่องจากนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจียงเหวินเหยียน สหายของภรรยาก็เหมือนสหายของสามี เฉียวจื่อหลิงและจังหย่งจึงได้เป็นสหายกัน และได้แนะนำเส้นสายให้เขารู้จักไม่น้อย
ตอนนี้ดูเหมือนว่าล้วนเป็นการวางแผนทั้งหมดหรือไม่
เจียงเหวินเหยียนโอบนาง ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรดี ถามว่า “แล้วหมอล่ะ หรือว่าไม่มีใครมองเรื่องนี้ออกเลย”
“หมอที่ข้าพบล้วนเป็นหมอของเชียนจิงถัง ล้วนเชี่ยวชาญด้านโรคของสตรี ต่างก็ไม่ได้เอ่ยอะไร ล้วนบอกว่าข้ามีภาวะมดลูกเย็น วาสนายังมาไม่ถึง สามีข้าก็พอรู้เกี่ยวกับแพทย์แผนจีนอยู่บ้าง มักจะบอกว่ายามีพิษสามส่วน พวกไข้หวัดเล็กน้อย ให้เขาจัดยาให้ก็พอแล้ว สองปีมานี้ข้าไม่ได้พบหมอท่านอื่นเลยจริงๆ”
ในใจเจียงเหวินเหยียนรู้สึกมืดมน
“พี่หญิงเจียง คงไม่ใช่เช่นนั้นหรอกกระมัง สามีของข้าใส่ใจข้าเป็นอย่างมากจริงๆ จะเป็นเช่นนั้น จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” ลวี่เซี่ยวซานเงยหน้าขึ้นด้วยความหวั่นใจเป็นอย่างมาก
“ตัวเจ้าเองเชื่อหรือไม่” เจียงเหวินเหยียนถอนหายใจเบาๆ เอ่ยตามตรง ลวี่เซี่ยวซานขาดการแนะนำสั่งสอนจากมารดาจึงทำให้ไร้เดียงสามากเกินไป ท่านแม่ของนางจากไปเร็ว ท่านพ่อก็เป็นบุรุษที่ไม่ละเอียดอ่อน จึงให้แม่บ้านเป็นคนดูแล นางไม่ออกนอกลู่นอกทางนับเป็นความรับผิดชอบของบ่าว แต่ความรู้นอกเหนือจากนี้ อย่างเช่นใจคนก็ไม่สามารถแยกแยะได้แล้ว
และที่แย่ที่สุดก็คือท่านพ่อของนางได้หาคนจากตระกูลเกษตรกรรมที่ศึกษาตำราให้แก่นาง มีคนในตระกูลน้อย จริงใจซื่อสัตย์ แต่งเข้าไปในตระกูลที่ต่ำกว่า มีสินสอดก้อนโตอยู่ในมือ จึงสามารถยืนได้อย่างมั่นคง แต่พวกเขาแผนสูง ไม่เล่นบทแม่ผัวลูกสะใภ้ แต่ใช้การขังไว้ในกรงอันแสนหวาน ส่งนางเข้าไปในกรงที่จุ่มด้วยน้ำผึ้งแล้วค่อยปล่อยมดออกมาให้กัดกินคนที่อยู่ในกรงทีละน้อย
แต่ตัวลวี่เซี่ยวซานเอง แม้กระทั่งคนที่อยู่รอบตัวนาง รวมถึงตัวเองด้วยก็ไม่มีใครมองออก คิดว่าอีกฝ่ายจิตใจดีและใส่ใจจริงๆ อย่างไรเสียความสุขบนใบหน้าของลวี่เซี่ยวซานก็ไม่ใช่ของปลอม นางมองไม่ออกว่าไม่สบาย แต่เป็นคนที่สุขภาพแข็งแรงดี
ใครจะไปคิดว่ารากฐานของนางอ่อนแอไปแล้ว
ที่กล่าวกันว่าครอบครัวเกษตรกรรมที่ศึกษาตำรานั้นล้วนซื่อสัตย์ ความจริงแล้วล้วนเป็นผู้ที่หน้าซื่อใจคดจอมปลอม
จิตใจของคนเช่นนี้ น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งชั่วร้ายที่เห็นอย่างโจ่งแจ้งเสียอีก
“ข้า ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย” ลวี่เซี่ยวซานร้องไห้ออกมา ความสุขอันหอมหวานของนางในหลายปีมานี้ล้วนเป็นเพียงภาพลวงตาหรือ
[1] อาเจียว เป็นยาแผนจีนที่เป็นเจลาตินที่สกัดจากหนังลา
ตอนที่ 599 น้ำสกปรกราดลงบนศีรษะตัวเองแล้ว
ลวี่เซี่ยวซานรู้สึกว่าโลกทั้งใบของตัวเองพังทลายลง มาเยี่ยมสหายสนิทอย่างมีความสุข แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะตกลงจากเมฆลงไปบ่อโคลนในทันที เพียงเพราะคำทำนายของนักพรตหญิงท่านหนึ่ง
นางไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อภาพลวงตาเหล่านั้นถูกฉีกออกอย่างโหดร้าย ความเป็นจริงที่เปื้อนเลือดปรากฏขึ้นมาในด้านที่โหดร้ายและน่ากลัวมากที่สุด เต็มไปด้วยข้อสงสัยและช่องโหว่
“พี่หญิงเจียง ข้าควรทำอย่างไรดี” ลวี่เซี่ยวซานบีบแขนของเจียงเหวินเหยียนไว้แน่น ราวกับกำลังคว้าเส้นฟางช่วยชีวิตไว้
เจียงเหวินเหยียนตบมือนางเบาๆ กล่าวว่า “ซานเหนียง ไม่มีกฎหมายใดในต้าเฟิงที่ห้ามไม่ให้สตรีที่หย่าร้างแต่งงานใหม่ ดังคำกล่าวที่ว่าหากในใจบุรุษไม่มีความสัมพันธ์นี้อีกต่อไป ข้าก็จะไปจากท่าน หากคนในตระกูลของจังหย่งเป็นพวกหน้าซื่อใจคดจริงๆ ไยเจ้ายังต้องพัวพันอยู่กับพวกเขาไม่ลดละ”
ลวี่เซี่ยวซานตกตะลึงเล็กน้อย
เจียงเหวินเหยียนเห็นว่านางสีหน้าซีดลง ก่อนจะเอ่ย “นี่คือประการแรก ประการที่สอง หากเจ้าทำใจไม่ได้จริงๆ ก็สามารถดูแลรักษาร่างกายของเจ้าให้ดี ให้กำเนิดบุตรสักหนึ่งคน พาบุตรกับสินสอดทองหมั้นมหาศาลของเจ้าย้ายไปอยู่ที่อื่น พวกเขาอย่าได้คิดจะดูดเลือดเจ้าอีก”
แต่หากเป็นนาง นางไม่มีทางให้กำเนิดสายเลือดเช่นนี้ บุรุษที่มีสองขามีเยอะแยะไป เหตุใดต้องเป็นสายเลือดที่ทั้งสกปรกและโหดเหี้ยมเช่นนี้ คลอดออกมาก็จะมีปัญหาพัวพันมากมาย
ลวี่เซี่ยวซานน้ำตาไหลไม่ขาดสาย
“ตอนนี้ต้องเชิญหมอท่านอื่นมาจับชีพจรให้เจ้าก่อน ดูว่าร่างกายของเจ้าเป็นดั่งที่ท่านเจ้าอาวาสน้อยกล่าวว่าอ่อนแอจนไม่รับการบำรุงจริงๆ หรือไม่ แล้วพวกเราค่อยวางแผน ทั้งยังมีอาเจียว หากนางตั้งครรภ์จริงๆ เด็กคนนั้นเป็นลูกของใคร นางทำอะไรลงไปบ้าง ข้าไม่เชื่อว่าจะถามไม่ได้ความอะไรเลย” เจียงเหวินเหยียนเอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถิด ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะยืนอยู่เคียงข้างเจ้า เจ้าก็จริงๆ เลย เป็นถึงบุตรสาวตระกูลแม่ทัพ จงเข้มแข็งเดี๋ยวนี้ ร้องไห้งอแงจะเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของท่านพ่อเจ้า”
ลวี่เซี่ยวซานอยากจะยิ้ม แต่นางจะยิ้มออกมาได้อย่างไร โลกของนางกลับหัวกลับหางโดยสิ้นเชิง
เจียงเหวินเหยียนเป็นคนเด็ดเดี่ยว รีบให้คนสนิทไปเชิญหมอประจำจวนมาทันที บอกว่าตัวเองไม่สบายเล็กน้อย เมื่อหมอประจำจวนมาถึงก็ผลักไสให้จับชีพจรให้ลวี่เซี่ยวซาน
ความจริงแล้วเจียงเหวินเหยียนเชื่อคำพูดของฉินหลิวซี แต่ลวี่เซี่ยวซานไม่เชื่อ เช่นนั้นก็ให้หมอประจำจวนจับชีพจรก่อน
หมอประจำของจวนกั๋วกงเป็นหมอทหารเก่าที่ติดตามท่านกั๋วกง ทักษะวิชาแพทย์ก็ล้วนดีทั้งนั้น เมื่อจับชีพจรก็ขมวดคิ้ว
“ท่านหมอเจิ้ง หากท่านมีอะไรเอ่ยตามตรงได้เลย” เมื่อเจียงเหวินเหยียนเห็นสีหน้าของเขาก็ให้เขากล่าวตามความเป็นจริง
หมอเจิ้งจึงเอ่ย “ชีพจรของแม่นางน้อยเบาและอ่อนแอ ข้าเห็นว่าลิ้นท่านมีฝ้าหนาเคลือบอยู่ มีความเย็นชื้น หัวใจมีไฟเพิ่มขึ้น หยางในตับสูงขึ้น ในวันปกติทั่วไปได้กินอาหารบำรุงมากเกินไปหรือไม่”
ในหัวของลวี่เซี่ยวซานมึนไปหมด พูดไม่ออก
เจียงเหวินเหยียนถอนหายใจ เอ่ย “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ซ้ำยังกินอาหารบำรุงทุกวัน”
“เช่นนี้ไม่เหมาะสม ม้ามและกระเพาะของแม่นางน้อยอ่อนแอ ชี่และเลือดเสียหายทั้งคู่ ไม่ได้ปรับสภาพรากฐานให้ดีซ้ำยังบำรุงตามอำเภอใจจะทำให้ม้ามและกระเพาะทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ธาตุไฟเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ร่างกายเหนื่อยล้าอ่อนแรง”
“แต่สีหน้าของนางก็มีเลือดฝาดไม่ใช่หรือ”
หมอเจิ้งส่ายหน้าพลางเอ่ย “เป็นเพียงภาพลวงตาผิวเผินเท่านั้น ริมฝีปากแดง แก้มแดง ล้วนเป็นสัญญาณของการขาดหยิน ไม่ว่าท่านจะกินอาหารบำรุงมากมายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้ม้ามและกระเพาะอ่อนแอมากขึ้นเท่านั้น”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากกินอาหารบำรุงเช่นนี้ต่อไป”
“เช่นนั้นก็จะเป็นปัญหาใหญ่แล้ว การกินอาหารบำรุงต้องควบคู่ไปกับการระบายสิ่งไม่ดีออก เมื่อสิ่งไม่ดีหมดไปยาบำรุงก็จะได้ผล การเปิดหนึ่งปิดหนึ่งเป็นความลึกลับของอาหารบำรุง แต่หากเน้นการบำรุงแต่ไม่รู้จักระบายสิ่งที่ไม่ดี เมื่อใช้เป็นเวลานานก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างแน่นอน ร่างกายก็จะทรุดโทรมและไม่สามารถฟื้นตัวได้อีก” ท่านหมอเจิ้งเอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “แม่นางน้อยอายุยังน้อย ถึงแม้รากฐานจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ถึงช่วงอายุที่จะต้องกินอาหารบำรุงมากมาย อย่าได้รีบร้อนไปเสียทุกเรื่อง เพราะอะไรที่มากไปไม่ใช่เรื่องดี”
ลวี่เซี่ยวซานกำหมัดแน่น ถามว่า “ท่านหมอ ท่านว่าร่างกายของข้าสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่”
“แม้ว่าชี่กับเลือดจะเสียหายทั้งคู่ แต่หากดูแลให้เหมาะสม โอกาสก็จะมาถึง บุตรที่ดีย่อมมาเอง” หมอเจิ้งเอ่ยว่า “แต่ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะมีบุตร ก็ไม่สามารถกินอาหารบำรุงเช่นนี้ได้ ประการแรกร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว ประการที่สอง การบำรุงมากเกินไปจะทำให้ทารกในครรภ์มีขนาดใหญ่เกิน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งในการคลอด”
ลวี่เซี่ยวซานเลือดขึ้นหน้า เล็บจิกลึกเข้าไปในฝ่ามือ
เจียงเหวินเหยียนเอ่ย “ท่านหมอเจิ้ง ยังมีสตรีอีกหนึ่งคน อยากจะขอให้ท่านช่วยจับชีพจรดูว่านางตั้งครรภ์หรือไม่”
เจียงเหวินเหยียนได้ให้คนไปพาอาเจียวเข้ามา
ในใจของอาเจียวกำลังหวาดหวั่นและไม่สบายใจ เมื่อเห็นลวี่เซี่ยวซานก็ร้องเรียก “คุณหนู”
ลวี่เซี่ยวซานเหลือบมองนาง “ช่วงนี้เจ้ามักจะรู้สึกง่วงนอน ให้หมอช่วยจับชีพจรให้เจ้าสักหน่อยเถิด”
อาเจียวตกตะลึง ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ หัวใจของนางเต้นรัว นางอยากจะปฏิเสธ แต่กลับถูกสาวใช้สองคนกดนางนั่งลงบนเก้าอี้แล้วดึงมือนางมา
นิ้วมือทั้งสองของท่านหมอเจิ้งวางลงไป เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “แม้ว่าระยะเวลาจะยังไม่นาน แต่ชีพจรราวกับลูกปัดที่กำลังวิ่ง คาดว่าเป็นชีพจรมงคล หากต้องการยืนยันการวินิจฉัยอีกครั้ง ก็ให้ผ่านไปอีกสักหน่อยค่อยจับชีพจรก็จะแม่นยำแล้ว”
สีหน้าของอาเจียวเปลี่ยนไป มองไปยังลวี่เซี่ยวซานในทันที เมื่อเห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างของนางราวกับอาบยาพิษก็อดตัวสั่นไม่ได้
ทันทีที่หมอเจิ้งจากไป อาเจียวก็คุกเข่าลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “คุณหนู…”
“ใครเป็นบิดา”
อาเจียวสีหน้าซีดอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่กล้ากล่าวอะไร ลวี่เซี่ยวซานถีบนาง จากนั้นก็ง้างมือขึ้นตบ “สารเลว”
…
ฉินหลิวซีไม่ได้พบลวี่เซี่ยวซานอีก แต่ได้รู้จากเจียงเหวินเหยียนว่านางกับตระกูลจังมีการโวยวายเกิดขึ้นซึ่งบันเทิงเป็นอย่างมาก
จวนในปัจจุบันของตระกูลจังเป็นสินสอดของลวี่เซี่ยวซาน ได้ยินมาว่านางได้ติดต่อกับผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของบิดาที่จวนติ้งกั๋วกง จากนั้นก็ขับไล่คนในครอบครัวแม่สามีออกไปจากจวนที่เป็นสินสอดของนางด้วยความอาฆาตแค้น การลงมือนี้ทำเอาตระกูลจังไม่ทันได้เตรียมตัวตั้งรับ คิดว่าลวี่เซี่ยวซานเสียสติไปแล้ว
หลังจากที่ไล่คนออกไป ลวี่เซี่ยวซานก็ไปหาจังหย่งให้ลงชื่อหนังสือหย่า หากไม่ยอม นางก็จะนำเลือดที่ไหลออกมาจากท้องของอาเจียวใส่ชามมาวางตรงหน้าเขา ตราบใดที่ดื่มเลือดมารหัวขนต่อหน้าสาธารณชน นางก็จะไม่หย่า
ฉินหลิวซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับพฤติกรรมเด็ดเดี่ยวของลวี่เซี่ยวซาน ในเมื่อนางมีความโหดร้ายเช่นนี้ เหตุใดจึงได้ก้าวเข้าไปในกรงอันแสนหวานนั้น
ลวี่เซี่ยวซานไม่ได้มาหานาง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดคนตระกูลจังจึงสืบพบว่าที่จู่ๆ ลวี่เซี่ยวซานก็กลายเป็นบ้าล้วนเป็นเพราะฉินหลิวซีที่เรียกกันว่าหมอลัทธิเต๋าซึ่งเป็นนักต้มตุ๋นมาเอ่ยเรื่องไร้สาระ ทำให้ตระกูลจังที่ใช้ชีวิตอยู่มาดีๆ ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่บ้านแตกสาแหรกขาด
ดังนั้นน้องชายและน้องสาวผู้ไร้สมองของจังหย่งจึงได้เลือดขึ้นหน้าในทันที พาท่านแม่เฒ่าไปตามหาโรงประมูลจิ่วเสียนซึ่งเป็นที่อยู่ของฉินหลิวซีจนพบ และเริ่มแสดงละครฉากใหญ่
ทุกคนต่างบอกว่ายอมทำลายวิหารสิบแห่งแต่จะไม่ทำลายงานแต่งหนึ่งครั้ง ทั้งๆ ที่ฉินหลิวซีเป็นผู้ที่ออกบวช แต่กลับสนับสนุนเรื่องการหย่าร้าง ไม่กลัวถูกสวรรค์ลงโทษหรือ
เมื่อเห็นว่าราษฎรที่มามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ มารดาตระกูลจังก็คุกเข่าที่หน้าประตูใหญ่ของโรงประมูลจิ่วเสียน ขอร้องให้ฉินหลิวซีเมตตาปล่อยตระกูลจังไป อย่าให้เป็นเพราะคำพูดเหลวไหลของนางทำให้คู่รักที่สวยงามต้องพลัดพรากจากกัน
เถิงเจามองดูตัวตลกที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้ามืดครึ้ม จากนั้นก็หันไปมองอาจารย์ผู้ไร้มโนธรรมข้างๆ เขาที่กำลังนั่งยองๆ พลางกระเทาะเมล็ดแตงอยู่บนหลังคาดูความครึกครื้น ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้น
น้ำสกปรกนี้ราดบนศีรษะตัวเองแล้ว แต่นางกลับไม่สนใจเลยแม้แต่นิด ซ้ำยังแทะเมล็ดแตง คนอะไรกัน