คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 599 น้ำสกปรกราดลงบนศีรษะตัวเองแล้ว
ตอนที่ 599 น้ำสกปรกราดลงบนศีรษะตัวเองแล้ว
ลวี่เซี่ยวซานรู้สึกว่าโลกทั้งใบของตัวเองพังทลายลง มาเยี่ยมสหายสนิทอย่างมีความสุข แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะตกลงจากเมฆลงไปบ่อโคลนในทันที เพียงเพราะคำทำนายของนักพรตหญิงท่านหนึ่ง
นางไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อภาพลวงตาเหล่านั้นถูกฉีกออกอย่างโหดร้าย ความเป็นจริงที่เปื้อนเลือดปรากฏขึ้นมาในด้านที่โหดร้ายและน่ากลัวมากที่สุด เต็มไปด้วยข้อสงสัยและช่องโหว่
“พี่หญิงเจียง ข้าควรทำอย่างไรดี” ลวี่เซี่ยวซานบีบแขนของเจียงเหวินเหยียนไว้แน่น ราวกับกำลังคว้าเส้นฟางช่วยชีวิตไว้
เจียงเหวินเหยียนตบมือนางเบาๆ กล่าวว่า “ซานเหนียง ไม่มีกฎหมายใดในต้าเฟิงที่ห้ามไม่ให้สตรีที่หย่าร้างแต่งงานใหม่ ดังคำกล่าวที่ว่าหากในใจบุรุษไม่มีความสัมพันธ์นี้อีกต่อไป ข้าก็จะไปจากท่าน หากคนในตระกูลของจังหย่งเป็นพวกหน้าซื่อใจคดจริงๆ ไยเจ้ายังต้องพัวพันอยู่กับพวกเขาไม่ลดละ”
ลวี่เซี่ยวซานตกตะลึงเล็กน้อย
เจียงเหวินเหยียนเห็นว่านางสีหน้าซีดลง ก่อนจะเอ่ย “นี่คือประการแรก ประการที่สอง หากเจ้าทำใจไม่ได้จริงๆ ก็สามารถดูแลรักษาร่างกายของเจ้าให้ดี ให้กำเนิดบุตรสักหนึ่งคน พาบุตรกับสินสอดทองหมั้นมหาศาลของเจ้าย้ายไปอยู่ที่อื่น พวกเขาอย่าได้คิดจะดูดเลือดเจ้าอีก”
แต่หากเป็นนาง นางไม่มีทางให้กำเนิดสายเลือดเช่นนี้ บุรุษที่มีสองขามีเยอะแยะไป เหตุใดต้องเป็นสายเลือดที่ทั้งสกปรกและโหดเหี้ยมเช่นนี้ คลอดออกมาก็จะมีปัญหาพัวพันมากมาย
ลวี่เซี่ยวซานน้ำตาไหลไม่ขาดสาย
“ตอนนี้ต้องเชิญหมอท่านอื่นมาจับชีพจรให้เจ้าก่อน ดูว่าร่างกายของเจ้าเป็นดั่งที่ท่านเจ้าอาวาสน้อยกล่าวว่าอ่อนแอจนไม่รับการบำรุงจริงๆ หรือไม่ แล้วพวกเราค่อยวางแผน ทั้งยังมีอาเจียว หากนางตั้งครรภ์จริงๆ เด็กคนนั้นเป็นลูกของใคร นางทำอะไรลงไปบ้าง ข้าไม่เชื่อว่าจะถามไม่ได้ความอะไรเลย” เจียงเหวินเหยียนเอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถิด ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะยืนอยู่เคียงข้างเจ้า เจ้าก็จริงๆ เลย เป็นถึงบุตรสาวตระกูลแม่ทัพ จงเข้มแข็งเดี๋ยวนี้ ร้องไห้งอแงจะเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของท่านพ่อเจ้า”
ลวี่เซี่ยวซานอยากจะยิ้ม แต่นางจะยิ้มออกมาได้อย่างไร โลกของนางกลับหัวกลับหางโดยสิ้นเชิง
เจียงเหวินเหยียนเป็นคนเด็ดเดี่ยว รีบให้คนสนิทไปเชิญหมอประจำจวนมาทันที บอกว่าตัวเองไม่สบายเล็กน้อย เมื่อหมอประจำจวนมาถึงก็ผลักไสให้จับชีพจรให้ลวี่เซี่ยวซาน
ความจริงแล้วเจียงเหวินเหยียนเชื่อคำพูดของฉินหลิวซี แต่ลวี่เซี่ยวซานไม่เชื่อ เช่นนั้นก็ให้หมอประจำจวนจับชีพจรก่อน
หมอประจำของจวนกั๋วกงเป็นหมอทหารเก่าที่ติดตามท่านกั๋วกง ทักษะวิชาแพทย์ก็ล้วนดีทั้งนั้น เมื่อจับชีพจรก็ขมวดคิ้ว
“ท่านหมอเจิ้ง หากท่านมีอะไรเอ่ยตามตรงได้เลย” เมื่อเจียงเหวินเหยียนเห็นสีหน้าของเขาก็ให้เขากล่าวตามความเป็นจริง
หมอเจิ้งจึงเอ่ย “ชีพจรของแม่นางน้อยเบาและอ่อนแอ ข้าเห็นว่าลิ้นท่านมีฝ้าหนาเคลือบอยู่ มีความเย็นชื้น หัวใจมีไฟเพิ่มขึ้น หยางในตับสูงขึ้น ในวันปกติทั่วไปได้กินอาหารบำรุงมากเกินไปหรือไม่”
ในหัวของลวี่เซี่ยวซานมึนไปหมด พูดไม่ออก
เจียงเหวินเหยียนถอนหายใจ เอ่ย “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ซ้ำยังกินอาหารบำรุงทุกวัน”
“เช่นนี้ไม่เหมาะสม ม้ามและกระเพาะของแม่นางน้อยอ่อนแอ ชี่และเลือดเสียหายทั้งคู่ ไม่ได้ปรับสภาพรากฐานให้ดีซ้ำยังบำรุงตามอำเภอใจจะทำให้ม้ามและกระเพาะทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ธาตุไฟเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ร่างกายเหนื่อยล้าอ่อนแรง”
“แต่สีหน้าของนางก็มีเลือดฝาดไม่ใช่หรือ”
หมอเจิ้งส่ายหน้าพลางเอ่ย “เป็นเพียงภาพลวงตาผิวเผินเท่านั้น ริมฝีปากแดง แก้มแดง ล้วนเป็นสัญญาณของการขาดหยิน ไม่ว่าท่านจะกินอาหารบำรุงมากมายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้ม้ามและกระเพาะอ่อนแอมากขึ้นเท่านั้น”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากกินอาหารบำรุงเช่นนี้ต่อไป”
“เช่นนั้นก็จะเป็นปัญหาใหญ่แล้ว การกินอาหารบำรุงต้องควบคู่ไปกับการระบายสิ่งไม่ดีออก เมื่อสิ่งไม่ดีหมดไปยาบำรุงก็จะได้ผล การเปิดหนึ่งปิดหนึ่งเป็นความลึกลับของอาหารบำรุง แต่หากเน้นการบำรุงแต่ไม่รู้จักระบายสิ่งที่ไม่ดี เมื่อใช้เป็นเวลานานก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างแน่นอน ร่างกายก็จะทรุดโทรมและไม่สามารถฟื้นตัวได้อีก” ท่านหมอเจิ้งเอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “แม่นางน้อยอายุยังน้อย ถึงแม้รากฐานจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ถึงช่วงอายุที่จะต้องกินอาหารบำรุงมากมาย อย่าได้รีบร้อนไปเสียทุกเรื่อง เพราะอะไรที่มากไปไม่ใช่เรื่องดี”
ลวี่เซี่ยวซานกำหมัดแน่น ถามว่า “ท่านหมอ ท่านว่าร่างกายของข้าสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่”
“แม้ว่าชี่กับเลือดจะเสียหายทั้งคู่ แต่หากดูแลให้เหมาะสม โอกาสก็จะมาถึง บุตรที่ดีย่อมมาเอง” หมอเจิ้งเอ่ยว่า “แต่ถึงแม้ตอนนี้ท่านจะมีบุตร ก็ไม่สามารถกินอาหารบำรุงเช่นนี้ได้ ประการแรกร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว ประการที่สอง การบำรุงมากเกินไปจะทำให้ทารกในครรภ์มีขนาดใหญ่เกิน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งในการคลอด”
ลวี่เซี่ยวซานเลือดขึ้นหน้า เล็บจิกลึกเข้าไปในฝ่ามือ
เจียงเหวินเหยียนเอ่ย “ท่านหมอเจิ้ง ยังมีสตรีอีกหนึ่งคน อยากจะขอให้ท่านช่วยจับชีพจรดูว่านางตั้งครรภ์หรือไม่”
เจียงเหวินเหยียนได้ให้คนไปพาอาเจียวเข้ามา
ในใจของอาเจียวกำลังหวาดหวั่นและไม่สบายใจ เมื่อเห็นลวี่เซี่ยวซานก็ร้องเรียก “คุณหนู”
ลวี่เซี่ยวซานเหลือบมองนาง “ช่วงนี้เจ้ามักจะรู้สึกง่วงนอน ให้หมอช่วยจับชีพจรให้เจ้าสักหน่อยเถิด”
อาเจียวตกตะลึง ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ หัวใจของนางเต้นรัว นางอยากจะปฏิเสธ แต่กลับถูกสาวใช้สองคนกดนางนั่งลงบนเก้าอี้แล้วดึงมือนางมา
นิ้วมือทั้งสองของท่านหมอเจิ้งวางลงไป เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “แม้ว่าระยะเวลาจะยังไม่นาน แต่ชีพจรราวกับลูกปัดที่กำลังวิ่ง คาดว่าเป็นชีพจรมงคล หากต้องการยืนยันการวินิจฉัยอีกครั้ง ก็ให้ผ่านไปอีกสักหน่อยค่อยจับชีพจรก็จะแม่นยำแล้ว”
สีหน้าของอาเจียวเปลี่ยนไป มองไปยังลวี่เซี่ยวซานในทันที เมื่อเห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างของนางราวกับอาบยาพิษก็อดตัวสั่นไม่ได้
ทันทีที่หมอเจิ้งจากไป อาเจียวก็คุกเข่าลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “คุณหนู…”
“ใครเป็นบิดา”
อาเจียวสีหน้าซีดอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่กล้ากล่าวอะไร ลวี่เซี่ยวซานถีบนาง จากนั้นก็ง้างมือขึ้นตบ “สารเลว”
…
ฉินหลิวซีไม่ได้พบลวี่เซี่ยวซานอีก แต่ได้รู้จากเจียงเหวินเหยียนว่านางกับตระกูลจังมีการโวยวายเกิดขึ้นซึ่งบันเทิงเป็นอย่างมาก
จวนในปัจจุบันของตระกูลจังเป็นสินสอดของลวี่เซี่ยวซาน ได้ยินมาว่านางได้ติดต่อกับผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของบิดาที่จวนติ้งกั๋วกง จากนั้นก็ขับไล่คนในครอบครัวแม่สามีออกไปจากจวนที่เป็นสินสอดของนางด้วยความอาฆาตแค้น การลงมือนี้ทำเอาตระกูลจังไม่ทันได้เตรียมตัวตั้งรับ คิดว่าลวี่เซี่ยวซานเสียสติไปแล้ว
หลังจากที่ไล่คนออกไป ลวี่เซี่ยวซานก็ไปหาจังหย่งให้ลงชื่อหนังสือหย่า หากไม่ยอม นางก็จะนำเลือดที่ไหลออกมาจากท้องของอาเจียวใส่ชามมาวางตรงหน้าเขา ตราบใดที่ดื่มเลือดมารหัวขนต่อหน้าสาธารณชน นางก็จะไม่หย่า
ฉินหลิวซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับพฤติกรรมเด็ดเดี่ยวของลวี่เซี่ยวซาน ในเมื่อนางมีความโหดร้ายเช่นนี้ เหตุใดจึงได้ก้าวเข้าไปในกรงอันแสนหวานนั้น
ลวี่เซี่ยวซานไม่ได้มาหานาง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดคนตระกูลจังจึงสืบพบว่าที่จู่ๆ ลวี่เซี่ยวซานก็กลายเป็นบ้าล้วนเป็นเพราะฉินหลิวซีที่เรียกกันว่าหมอลัทธิเต๋าซึ่งเป็นนักต้มตุ๋นมาเอ่ยเรื่องไร้สาระ ทำให้ตระกูลจังที่ใช้ชีวิตอยู่มาดีๆ ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่บ้านแตกสาแหรกขาด
ดังนั้นน้องชายและน้องสาวผู้ไร้สมองของจังหย่งจึงได้เลือดขึ้นหน้าในทันที พาท่านแม่เฒ่าไปตามหาโรงประมูลจิ่วเสียนซึ่งเป็นที่อยู่ของฉินหลิวซีจนพบ และเริ่มแสดงละครฉากใหญ่
ทุกคนต่างบอกว่ายอมทำลายวิหารสิบแห่งแต่จะไม่ทำลายงานแต่งหนึ่งครั้ง ทั้งๆ ที่ฉินหลิวซีเป็นผู้ที่ออกบวช แต่กลับสนับสนุนเรื่องการหย่าร้าง ไม่กลัวถูกสวรรค์ลงโทษหรือ
เมื่อเห็นว่าราษฎรที่มามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ มารดาตระกูลจังก็คุกเข่าที่หน้าประตูใหญ่ของโรงประมูลจิ่วเสียน ขอร้องให้ฉินหลิวซีเมตตาปล่อยตระกูลจังไป อย่าให้เป็นเพราะคำพูดเหลวไหลของนางทำให้คู่รักที่สวยงามต้องพลัดพรากจากกัน
เถิงเจามองดูตัวตลกที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้ามืดครึ้ม จากนั้นก็หันไปมองอาจารย์ผู้ไร้มโนธรรมข้างๆ เขาที่กำลังนั่งยองๆ พลางกระเทาะเมล็ดแตงอยู่บนหลังคาดูความครึกครื้น ก็ยิ่งรู้สึกหดหู่มากขึ้น
น้ำสกปรกนี้ราดบนศีรษะตัวเองแล้ว แต่นางกลับไม่สนใจเลยแม้แต่นิด ซ้ำยังแทะเมล็ดแตง คนอะไรกัน