คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 602 หย่าสามี ตั้งเรือนสตรี
ตอนที่ 602 หย่าสามี ตั้งเรือนสตรี
จังหย่งไม่ได้เหมือนมารดาและคนอื่นๆ ที่ไม่ค่อยได้ไปสังสรรค์ข้างนอก และไม่ได้เหมือนน้องชายผู้ไร้สมองของตัวเองที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจทำตัวเป็นจอมเสเพล เนื่องจากมีสินสอดอันมากมายของลวี่เซี่ยวซานภรรยาผู้นี้ ในวันปกติทั่วไปเขาจึงไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่งตัวสง่างาม มีความใจกว้าง จึงสามารถแสร้งทำเป็นบุรุษผู้สูงศักดิ์ที่สงบนิ่ง ใจกว้าง และอ่อนโยนได้ แล้วยังมีเฉียวจื่อหลิงที่ช่วยผูกมิตรกับบรรดาผู้สูงศักดิ์บางท่าน เขาไม่เพียงแต่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับผู้มีอำนาจในเมืองหลวงเท่านั้น ซ้ำยังรู้ว่าใครล่วงเกินได้และใครที่ไม่ควรล่วงเกินเป็นอันขาด
มู่ซื่อจื่อที่อยู่ตรงหน้าก็คือผู้ที่ไม่สามารถล่วงเกินได้อันดับต้นๆ
หากกล่าวถึงทายาทเพียงคนเดียวของผู้สูงส่งในเมืองหลวง ก็ไม่ได้มีเพียงมู่ซื่อจื่อแค่คนเดียว แต่เขาเป็นคนที่สถานะสูงส่งที่สุดอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่ได้เกิดจากภรรยาเอก แต่เพียงเพราะเขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของทั้งสองจวน ซ้ำยังเป็นน้องชายแท้ๆ ของฮองเฮา สามารถทำตัวเหิมเกริมในเมืองหลวงได้
หากเอ่ยอย่างไม่น่าฟังก็คือตราบใดที่มู่ซีไม่ได้ต้องการจะกบฏ เขาจะเหิมเกริมอย่างไร จะทำตัวไร้เหตุผลแค่ไหน ตราบใดที่ไม่ไปเหยียบเส้นขีดจำกัดของฮ่องเต้ เขาก็จะสามารถสงบสุขและมั่งคั่งไปจนตาย
ดังนั้นเมื่อเห็นมารดาเฒ่ากับน้องชายน้องสาวไปล่วงเกินจอมมารผู้นี้เข้า จังหย่งก็รู้สึกมึนหัวไปหมด สายตามืดมน
หากมู่ซีบ้าคลั่งสังหารพวกเขาทั้งตระกูลขึ้นมา เขาก็สามารถหนีพ้นความผิดได้เชื่อหรือไม่
จังหย่งก็เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทันทีที่เดินเข้ามาก็คุกเข่าลงตรงหน้ามู่ซี ท่าทางต่ำต้อย “ท่านซื่อจื่อ ข้าน้อยหละหลวมในการดูแลคนในครอบครัว ทำให้คนในครอบครัวไม่รู้จักกาลเทศะ ไปรบกวนท่านซื่อจื่อเข้า ข้าน้อยขออภัยท่านเป็นอย่างยิ่ง ขอท่านซื่อจื่อผู้ยิ่งใหญ่จิตใจกว้างขวาง อย่าได้ถือสาพวกเขาเลยขอรับ”
เขาเอ่ยพลางโขกศีรษะคำนับสามครั้ง จากนั้นก็ดุน้องชายน้องสาวและคนอื่นๆ “ยังไม่คุกเข่ารับผิดต่อท่านซื่อจื่ออีก ท่านแม่ป่วยอยู่ พวกเจ้ากลับลากนางออกมาทำตัวเหลวไหล เป็นเพราะปกติข้ากับพี่สะใภ้ของพวกเจ้าตามใจพวกเจ้ามากเกินไปหรือ จึงได้ทำให้พวกเจ้าไม่รู้ความเช่นนี้”
คำกล่าวฟังดูดี แต่ไม่มีใครโง่ พากันกลอกตา จังหย่งผู้นี้เสแสร้งเก่งจริงๆ
จังเอ้อร์และคนอื่นๆ พากันคุกเข่าลง
มู่ซีเหลือบมองพวกเขา เอ่ยว่า “ทำไมหรือ คุกเข่าลงตรงหน้าข้า คิดจะใช้ความคิดเห็นของราษฎรมาบีบบังคับให้ข้าต้องยกโทษให้พวกเจ้าหรือ”
“ข้าน้อยมิกล้า” จังหย่งยิ้มอย่างหมดปัญญา “เป็นคนในครอบครัวข้าที่เสียมารยาทก่อน ทำให้ท่านซื่อจื่อต้องตกใจ”
มู่ซีรู้สึกรำคาญผู้ที่หน้าไหว้หลังหลอกอย่างจังหย่งเป็นที่สุด ต่อหน้าแสร้งทำเป็นหมดปัญหา ไม่เป็นอันตราย และต่ำต้อย แต่ในใจกลับด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของตัวเองไปแล้ว ซ้ำยังด่าว่าตัวเองก็เป็นเพียงแค่จอมเสเพลไร้ประโยชน์ที่รู้จักเลือกมาเกิด
ใช่แล้ว การที่รู้จักเลือกเกิดเป็นทักษะอย่างหนึ่ง หากเก่งจริงเจ้าก็มาเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยสิ
จังหย่งได้สาปแช่งในใจจริงๆ ด่าคนในตระกูลว่าโง่เหมือนหมู ด่ามู่ซี แต่สิ่งที่มีอยู่ในหัวของเขาคือความกังวลมากกว่า ควรจะทำอย่างไรจึงจะปลีกตัวออกไปจากตรงนี้ได้
มีเสียงรถม้าดังกึกก้องขึ้นมา ผู้ที่มาดูความครึกครื้นพากันหลบทาง ทันทีที่รถม้าหยุดลง ก็มีคนลงมาจากรถม้า
เป็นเจียงเหวินเหยียนและลวี่เซี่ยวซาน ด้านหลังยังมีองครักษ์กับสาวใช้บึกบึนหลายคน
ใบหน้าของลวี่เซี่ยวซานทาแป้งหนา มองออกว่าสีหน้าไม่ค่อยดีสักเท่าใด โดยเฉพาะเมื่อเห็นจังหย่งและคนอื่นๆ คุกเข่าอยู่ที่พื้น ความโกรธก็ค่อยๆ พุ่งทะยานขึ้น
นางคิดไม่ถึงว่าคนในครอบครัวแม่สามีเหล่านี้จะไร้ยางอายได้ขนาดนี้ ซ้ำยังหาฉินหลิวซีจนพบ ต้องการจะทำอะไร
คิดจะบีบบังคับให้นางกลับไป หรือคิดจะใช้เสียงจากภายนอกทำให้นางประนีประนอม
เมื่อจังหย่งเห็นลวี่เซี่ยวซานก็ลุกขึ้นมา เดินไปหา กล่าวว่า “ซานเหนียง เจ้ามาได้อย่างไร”
“หากข้าไม่มา จะได้รู้ถึงธาตุแท้ของพวกเจ้าได้อย่างไร” ลวี่เซี่ยวซานสะบัดมือของเขาออก แสยะยิ้มพลางเอ่ย “ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพวกเจ้าจะทำได้ถึงขั้นนี้ แต่งงานกันมาห้าปี พวกเจ้าทั้งครอบครัวสวมหน้ากากกี่อันกันแน่”
จังหย่งขมวดคิ้ว “ซานเหนียงเจ้าจะทุบตีด่าว่าฆ่าแกง พวกเราก็กลับไปคุยกันที่จวนดีหรือไม่”
“ไม่จำเป็น”
ลวี่เซี่ยวซานกล่าวเย้ยหยัน “เดิมทีข้าคิดว่าครั้งหนึ่งที่เคยได้เป็นสามีภรรยาก็พบกันด้วยดีและจากกันด้วยดี สิ่งที่เจ้าทำกับข้า ก็ถือเสียว่าข้าตาบอด แต่ในเมื่อพวกเจ้าไร้ยางอายเช่นนี้ เช่นนั้นก็อย่าฝันเลย”
นางหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งออกมาแล้วโยนใส่จังหย่ง กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าไม่ลงนามหนังสือหย่าร้างก็พอแล้วหรือ เจ้าไม่ลงนาม ข้าก็สามารถหย่าสามีได้!”
ใครบอกกันว่าหนังสือหย่ามีเพียงบุรุษเท่านั้นที่เขียนได้ สตรีก็เขียนได้ นางเขียนหนังสือหย่าสามีโดยอ้างว่าพ่อแม่สามีไม่เมตตา อาหญิงเล็กกับอาชายเล็กใจร้าย และสามีไม่ซื่อสัตย์ไร้คุณธรรม ซ้ำยังจดบันทึกคดีที่ศาลปกครองด้วย
สายตาจังหย่งเกรี้ยวกราด เปิดดูเอกสารอย่างรุนแรง เมื่อเห็นว่าเป็นหนังสือหย่าจริงๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างออกจากร่างกายไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่ ไม่ได้นะ ซานเหนียง พวกเราเป็นสามีภรรยากัน ข้าไม่ยอมรับ” จังหย่งร้อนใจจนบ้าไปแล้ว สีหน้าเริ่มบ้าคลั่งขึ้นมา ก้าวเข้าไปเพื่อที่จะคว้าแขนของลวี่เซี่ยวซาน
เจียงเหวินเหยียนระมัดระวังอยู่เล็กน้อย ลากลวี่เซี่ยวซานออกมา องครักษ์ก้าวไปข้างหน้าในทันทีแล้วขวางเขาไว้
มารดาตระกูลจังและคนอื่นๆ ได้สติกลับมา เข้าไปแย่งหนังสือหย่ามาดู ด่าเสียงแหลมว่า “เจ้าบ้าไปแล้ว เจ้ากล้าเขียนหนังสือหย่าได้อย่างไร เจ้าก็แค่บุตรกำพร้า ไม่มีบิดามารดา แต่งเข้าตระกูลจังของพวกเรามาหลายปีก็ไม่มีบุตร พวกเราก็ยอมทนแล้ว เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเขียนหนังสือหย่าเช่นนี้ พวกเราไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด”
นางฉีกหนังสือหย่าเป็นชิ้นๆ ยัดเข้าไปในปากเคี้ยวสองสามทีแล้วกลืนลงไป ฉีกยิ้มพลางเอ่ย “ไม่มีหนังสือหย่าแล้ว”
ลวี่เซี่ยวซานและคนอื่นๆ ตกตะลึงกับความหยาบคายเช่นนี้ นี่มันคนไร้เหตุผลอะไรกัน
“เจ้ากลืนลงไปก็ไม่มีประโยชน์ หนังสือหย่านี้ได้ถูกยื่นที่ศาลปกครองแล้ว” ลวี่เซี่ยวซานยิ้มเย้ยหยันพลางเอ่ย “ข้าได้ตั้งเรือนสตรีขึ้นมาเอง ไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกับตระกูลจังของพวกเจ้าอีกต่อไป”
ไยจึงได้เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ยังคงเป็นเพราะกลอุบายของเจียงเหวินเหยียน จังหย่งไม่ยอมลงนามหนังสือหย่าร้าง ยืดเยื้อมานานจึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ยอมสละสินสอดครึ่งหนึ่งบริจาคเข้าสู่คลังของอาณาจักร เพื่อแลกกับชีวิตที่อิสรภาพ
นางสืบทอดตระกูลลวี่ทั้งตระกูล และแม้ว่าจะเหลือสินสอดเพียงครึ่งเดียว แต่ก็เพียงพอสำหรับนางที่จะอยู่อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต
เดิมทีลวี่เซี่ยวซานก็เป็นบุตรกำพร้าของแม่ทัพใหญ่ผู้ปกป้องแผ่นดิน และด้วยสถานะเช่นนี้ นางจึงเต็มใจที่จะบริจาคสินสอดครึ่งหนึ่ง ซ้ำยังได้รับการคุ้มกันจากนายหญิงใหญ่จวนกั๋วกง แล้วใครกันจะแนะนำให้เจ้าอย่าหุนหันพลันแล่นที่จะหย่าร้าง
เห็นหรือยังลวี่เซี่ยวซานได้คืนสู่อิสรภาพอย่างรวดเร็วและตั้งเรือนสตรี เมื่อออกมาจากศาลปกครอง นางก็ได้ยินว่าคนตระกูลจังไปหาเรื่องฉินหลิวซี จึงได้รีบมาพร้อมกับเจียงเหวินเหยียน
นางก็มีความกลัวเล็กน้อย แต่โชคดีที่ตัวเองเด็ดขาดพอ มิฉะนั้นจะไม่ถูกตระกูลจังก่อความวุ่นวายจูงจมูกอีกหรอกหรือ
เมื่อมารดาตระกูลจังได้ยินว่านางยื่นเรื่องและตั้งเรือนสตรี ซ้ำยังสละสินสอดครึ่งหนึ่ง ก็กล่าวสาปแช่งนางทันที “แม่ไก่ไข่ฝ่ออย่างเจ้าบ้าไปแล้วหรือ กล้าดีอย่างไรมาจัดการสินสอดโดยพลการ นั่นล้วนเป็นของตระกูลจังของพวกเรา…”
“ท่านแม่!” จังหย่งดวงตาแดงก่ำ จ้องมองมารดาอย่างดุเดือด
มารดาตระกูลจังตระหนักได้ว่าเอ่ยผิดไป จึงได้รีบปิดปากทันที
มู่ซีกลับปรบมือ เอ่ย “ข้าเข้าใจแล้ว คาดว่าคนยากจนอย่างพวกเจ้าเหล่านี้ได้ถือว่าสินสอดของลูกสะใภ้เป็นของพวกเจ้าเอง มิน่าล่ะจึงได้กังวลขนาดนี้ ที่โวยวายเช่นนี้ เป็นเพราะถูกปล้นถุงเงินไปนี่เอง เฮ้อ วางแผนปอกลอกสินสอดของลูกสะใภ้อย่างโจ่งแจ้ง ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนฆ่าอย่างลับๆ กระมัง แล้วก็ใครนะ ซ้ำเจ้ายังเป็นรองบัณฑิตจิ้นซื่อลำดับหนึ่ง คุณธรรมเช่นนี้ ข้าล่ะเป็นห่วงราษฎรต้าเฟิงจริงๆ ดูเหมือนว่าข้าต้องไปคุยกับพี่เขยสักหน่อยแล้ว”
สีหน้าของคนตระกูลจังเปลี่ยนไปอย่างมาก ขู่ ต้องเป็นคำขู่แน่ๆ
เมื่อฉินหลิวซีดูความครึกครื้นจนพอแล้ว จึงเดินออกมาจากประตูด้านใน
มู่ซีตาเป็นประกาย ก้าวเข้าไปข้างหน้า “เจ้านักต้มตุ๋น ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่นี่”