คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 628 ข้าไม่ได้เอ่ยวาจาเรื่อยเปื่อย
ตอนที่ 628 ข้าไม่ได้เอ่ยวาจาเรื่อยเปื่อย
จิ่งเสี่ยวซื่อและฉังอันโหวคุกเข่าร้องอ้อนวอนกล่าวโทษตนเองอยู่หน้าสุสานบรรพบุรุษ ฉินหลิวซีมองไปรอบๆ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ มาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง หยิบธูปออกมาสี่ดอกจุดอยู่ใต้ต้นไม้ ร่ายคาถาเรียกผีทั้งห้าทิศ
ควันธูปลอยขึ้น กลายเป็นเส้นตรงราวกับถูกมือไร้รูปของผู้ใดดึงเอาไว้ มีเงาจางๆ เงาหนึ่งปรากฏตัวขึ้นใต้ต้นไม้ ยื่นศีรษะออกมา แม้จะกลัวฉินหลิวซีแต่ก็อดทนต่อความเย้ายวนของกลิ่นธูปไม่ได้ สูดหายใจเข้าลึกด้วยความโลภอยู่หลายครั้ง
“อยากสูดกลิ่นเปล่าๆ หรือไม่ ออกมา” ฉินหลิวซีจ้องเขม็งไปยังวิญญาณเจ้าที่ตรงหน้าเล็กน้อย
วิญญาณเจ้าที่นั่นตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ ในที่สุดก็โผล่ออกมาจากต้นไม้ ยืนท่าทางเขินอายอยู่ตรงหน้าฉินหลิวซี เอ่ยอึกอัก “ท่าน ท่านปรมาจารย์”
ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว วิญญาณเจ้าที่ตนนี้ติดอ่างหรือ
“เจ้าติดอ่างหรือ”
“มะ ไม่ ไม่ใช่ขอรับ” วิญญาณเจ้าที่อ้าปากเอ่ยตอบ ฉินหลิวซีจึงเห็นว่าลิ้นด้านในของเขาเหลือเพียงครึ่งเดียว ดังนั้นยามเอ่ยจึงไม่คล่องแคล่วนัก
“พูดจายังพูดไม่ชัดเจ้ายังกล้ามากินธูปของข้าหรือ” ฉินหลิวซีตีหน้าขรึม
นี่ก็โชคร้ายสักหน่อยแล้ว ถึงเรียกผีที่พูดจาไม่คล่องแคล่วออกมา ต้องใช้ความอดทนใจเย็นในการฟัง
วิญญาณเจ้าที่ ลิ้นขาดไม่ใช่ความผิดของข้าสักหน่อย
เขาเอ่ยท่าทางน้อยใจ “หรือจะให้ขะ ข้า ข้าน้อยไป”
ไม่ใช่ว่าเขาต้องการทำให้นางคลางแคลงใจ แต่เป็นเพราะธูปนี้หอมเกินไป และนานมากแล้วที่เขายังไม่เคยกินธูปที่หอมเพียงนี้ เขาหิวแล้ว
“ช่างเถิด” ฉินหลิวซีโบกปัดมือก่อนจะเอ่ย “เล่าสถานการณ์ตอนที่สุสานบรรพบุรุษตระกูลจิ่งถูกแตะต้องให้ข้าฟังสักหน่อย”
วิญญาณเจ้าที่ส่งเสียงอ่าขึ้นมา พยายามเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนมองเห็นอย่างละเอียด
ฉินหลิวซีตั้งออกตั้งใจใช้ความอดทนฟังจนจบ ก็คือว่านักพรตไท่หยางมาถึงสุสานแห่งนี้ เพิ่งลงมือวางค่ายอาคม พอค่ายอาคมสำเร็จ ปรมาจารย์ไท่เฉิงก็มาถึง
สำหรับการกระทำของไท่หยางในครั้งนี้ แน่นอนว่าปรมาจารย์ไท่เฉิงโกรธมาก ทั้งยังเห็นศพเดินได้นั่น ยิ่งเพิ่มความโกรธขึ้นไปอีก เขาไม่เคยคาดคิดแม้เพียงนิดว่าไท่หยางผู้นี้จะลอบฝึกฝนวิชาชั่วร้ายมนต์ดำมากมายเช่นนี้
ภายใต้ความโกรธ ปรมาจารย์ไท่เฉิงยังหลงเหลือมิตรภาพเอาไว้เล็กน้อย หวังว่านักพรตไท่เฉิงจะสามารถทำลายวิชาชั่วร้ายด้วยตนเอง ไม่ต้องให้เขาต้องลงมือ จัดการกับศพเดินได้ เรื่องนี้ก็นับว่าจบลงแล้ว
ทว่าหากไท่หยางยอมฟังคำนั้น เรื่องราวก็คงไม่ต้องมาถึงอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองไม่สามารถพูดคุยกันได้ จำต้องลงมือเท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะฉินหลิวซีจัดการกับปรมาจารย์ไท่เฉิงก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าไท่หยางไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของศิษย์พี่ผู้นี้ได้อย่างแน่นอน
เขาถูกคนวางแผนจัดการทั้งยังถูกมนต์สะท้อนกลับ มีบาดแผลภายใน ทว่าไท่หยางมีศพเดินได้นั่นที่ไม่รู้ดูดวิญญาณผู้คนไปมากเพียงใดจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ปรมาจารย์ไท่เฉิงได้รับบาดเจ็บ
นักพรตไท่หยางกลับไม่ได้ลงมือร้ายแรงกับศิษย์พี่ของเขา เพียงแย่งอาวุธวิเศษหยินหยาง และพาศพน้อยเดินได้หนีไป
ปรมาจารย์ไท่เฉิงโกรธมาก รีบทำให้สุสานของตระกูลจิ่งกลับมาสภาพเป็นปกติ ไม่ได้สนใจว่าเป็นตำแหน่งมงคลหรือไม่ รีบตามไท่หยางไปทันใด
“เจ้าสิ่งนั้นเก่งเพียงนี้เลยหรือ” ฉินหลิวซีมองไปยังวิญญาณเจ้าที่
วิญญาณเจ้าที่นึกถึงศพเดินได้ตัวน้อยนั้น พยักหน้าพลางเอ่ย “ร้าย ร้ายกาจกว่าผี พลังหยินรุนแรง”
สีหน้าของฉินหลิวซีไม่น่ามอง
ให้ตายเถอะ
ฉินหลิวซีมองไปยังวิญญาณเจ้าที่ตรงหน้าอีกครั้ง เอ่ย “เจ้าอยู่ที่นี่มานานกี่ปีแล้ว ต้องการไปจากที่นี่หรือไม่”
วิญญาณเจ้าที่อยู่ที่นี่มานานและไม่ได้ไปไหน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความหวังเมื่อครั้งมีชีวิตนั้นไม่สมปรารถนา ไม่อาจปล่อยวางได้จึงกลายเป็นความยึดติด เมื่อตายไปแล้วจึงถูกผูกติดกับสถานที่ใดที่หนึ่งบนโลกมนุษย์ ไม่ยอมจากไปไหน
เมื่อเวลาผ่านนานไป พวกเขาอยากทิ้งความยึดติดหนีไป นอกเสียจากการหาตัวตายตัวแทน หรือมีปรมาจารย์สวรรค์มาปลดปล่อย แต่เวลาผ่านนานไป หัวใจของพวกเขาก็ยิ่งไม่มั่นคงได้ง่าย บางครั้งอาจเป็นเพราะการปะทุแตกออกมาของปัจจัยบางประการ ทำให้กลายเป็นวิญญาณร้ายทำร้ายผู้คน
วิญญาณเจ้าที่ตรงหน้านี้ ดวงวิญญาณยังคงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ทำร้ายผู้คน ฉินหลิวซียินดีจะส่งเขา
วิญญาณเจ้าที่ปรีดาขึ้นมา ทว่าไม่นานก็ส่ายศีรษะ เอ่ย “ขอบ ขอบคุณท่านปรมาจารย์มาก ช่วยเผาไก่สักตัวให้ข้าได้กินได้หรือไม่ แล้วข้ายินดีที่จะไป”
ไยเจ้าจึงไม่ขึ้นสวรรค์เล่า ข้อเรียกร้องมากมายจริงๆ
ฉินหลิวซีกลอกตาให้เขา แต่เอ่ยกับเถิงเจา “ไปเอาไก่ตัวนั้นที่จิ่งซื่อมา”
เถิงเจา “…”
หน้าด้านเกินไปหรือไม่ แย่งไก่ที่คนเขาเซ่นไหว้น่ะหรือ
สมองคิดเช่นนี้ เท้ากลับซื่อสัตย์ เดินไปยังสุสานฝั่งนั้น อุ้มเอาไก่ตัวอวบอ้วนตัวนั้นเดินหนีมาภายใต้สายตาจับจ้อง เอ่ยทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยค “เอาไปเซ่นผี”
จิ่งเสี่ยวซื่อ “!”
ฉังอันโหวโขกศีรษะลงกับพื้นคร่ำครวญ ท่านพ่อ ลูกอกตัญญู แม้แต่ไก่ตัวเดียวก็ปกป้องเอาไว้ให้ท่านไม่ได้
ฉินหลิวซีใช้กิ่งไม้เสียบไก่ตัวนั้นเอาไว้ จุดไฟขึ้นมา วางย่างไว้บนกองไฟ เผาจนผิวค่อนข้างดำแล้ว จากนั้นวาดยันต์เซ่นไว้ ‘ไก่เผา’ นั่นก็มาโผล่อยู่ในมือวิญญาณเจ้าที่
วิญญาณเจ้าที่มอง ‘ไก่เผา’ ในมืออย่างค่อนข้างอธิบายได้ยาก
“เจ้าเห็นข้าเผาเองกับมือด้วยตาของตัวเอง เป็นการเผาอย่างแท้จริงไม่ผิดแน่ กินเถิด กินเสร็จจะได้ออกเดินทาง” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ
วิญญาณเจ้าที่ ช่างเถิด อย่างไรก็ยังดีกว่าปล่อยให้ท้องหิว
รอเขากินไก่ตัวนั้นเสร็จ ในมือพลันมีก้อนเงินทองปรากฏขึ้นหลายก้อน บนร่างกายยังมีชุดเสื้อผ้าใหม่
วิญญาณเจ้าที่รู้สึกซาบซึ้งไม่น้อย ในตอนที่ฉินหลิวซีเชิญยมทูตมา คารวะทั้งสองด้วยความซึ้งใจ ก่อนจะล่องลอยไปอย่างรวดเร็ว
หากยังไม่ไป เขาเกรงว่าบรรพบุรุษตระกูลจิ่งจะลุกออกมาจากสุสานแย่งของเหล่านี้จากเขาไป อย่างไรก็เป็นของที่ฉินหลิวซีแย่งมาจากพวกเขาเอามาให้
ความเคลื่อนไหวทางนี้ของเหล่าฉินหลิวซี ฉังอันโหวสังเกตได้ตั้งนานแล้ว หลังเสร็จสิ้น เดินมาทางฉินหลิวซีก็เอ่ยถาม “ที่นี่มีอะไรหรือ”
“ทำไม อยากเจอผีหรือ” ฉินหลิวซีปรายตามองเขา
ฉังอันโหวรีบหุบปากทันใด ไม่ เขาไม่ต้องการ
กลุ่มคนเดินลงเขา ฉินหลิวซีเล่าถึงสิ่งที่วิญญาณเจ้าที่มองเห็นอย่างง่ายๆ เตรียมให้เถิงเจาอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลจิ่ง นางจะไปหาปรมาจารย์ไท่เฉิง
เถิงเจาไม่พอใจเล็กน้อย แต่รู้ว่าหากตนเองยังจะดื้อไป สิบถึงสิบเอ็ดส่วนจะกลายเป็นภาระ จึงไม่ได้งอแงจะตามไปด้วย
จิ่งเสี่ยวซื่อเห็นเช่นนั้นจึงบอกจะอยู่กับเขาจนกว่าฉินหลิวซีจะกลับมา
ฉังอันโหวท่าทางลังเลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉินหลิวซี ส่งตั๋วเงินตำลึงปึกหนึ่งไปให้ ก่อนจะเอ่ย “วิชาการแพทย์ท่านสูงส่ง ช่วย…”
“ท่านพ่อ” จิ่งเสี่ยวซื่อดึงเขากลับมาอีกฝั่ง รู้สึกโกรธขึ้นมา กัดฟันเอ่ย “หมอหลวงบอกแล้ว ท่านดูแลร่างกายก็พอแล้ว ไยจึง…นางเป็นนักพรตหญิง”
ฉังอันโหวหน้าแดงหูแดง จ้องเขาเขม็ง
เวลานี้ฉินหลิวซีคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม เอ่ย “ข้าเคยบอกแล้ว ท่านโหวมีลูกชายเพียงคนเดียว ไม่ใช่การเอ่ยเรื่อยเปื่อย ชีวิตของท่านมีบุตรชายเพียงคนเดียว” นางเหลือบมองร่างกายส่วนล่างของเขา เอ่ย “เช่นนั้นท่านโหวรักษาตัวให้ดีเถิด”
ฉังอันโหวหน้าเขียวขึ้นมา ส่งเสียงหยันหนักๆ สะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป
เขาไม่เชื่อ ไม่มีหมอรักษาได้ เขาก็จะไปหาหมอเทวดา
จิ่งเสี่ยวซื่อส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา โค้งคารวะให้ฉินหลิวซี เอ่ยขอโทษ
ฉินหลิวซีไม่สนใจ บอกเถิงเจาและจิ่งเสี่ยวซื่อเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้าน ดูว่ามีคนป่วยใดให้ฝึกฝนฝีมือ ตัวนางหยิบเอาผังแปดเหลี่ยมและหญ้าซือ โดยยึดวิธีทำนายแบบต้าเหยี่ยน
เมื่อผลการทำนายออกมา นางมองผลหลับที่ปรากฏขึ้น ดวงตาหรี่ลง โอ้ มีคนชั่วหรือ